บัญชามังกรเดือด - บทที่ 358 ลอบสังหารไร้ยางอาย
บัญชามังกรเดือด บทที่ 358 ลอบสังหารไร้ยางอาย
มองดูแผ่นหลังของเจี๋ยวโกวที่จากไป จ้าวเฟิงพูดด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาว่า : “ฝากพี่เจี๋ยวโกวบอกกับเถ้าแก่ด้วยว่า ผมจ้าวเฟิง จะไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน!”
“อีกไม่นาน ตระกูลจ้าว ก็จะกลายเป็นตระกูลจ้าวของผมจ้าวเฟิง!”
“ไม่ใช่สิ เป็นตระกูลจ้าวของเถ้าแก่!”
“ผมจ้าวเฟิง จะตรงอยู่ในอำนาจของเถ้าแก่ผู้เดียวเท่านั้น!”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พี่เจี๋ยโกว เหล่าอู่ไม่มีประโยชน์แล้ว เขาตายได้แล้ว”
เจี๋ยโกวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “เขาจะเป็นคนตายเร็ว ๆ นี้”
เวลา 10 นาฬิกา
ดวงอาทิตย์สว่างสดใส
ณ เมืองเอกของมณฑลหยุนชวน การจราจรคับคั่ง
ในใจกลางเมือง ที่รายล้อมไปด้วยอาคารสูง สิ่งปลูกสร้างที่ประกอบไปด้วยบ้านเก่าหลายหลัง สะดุดตาเป็นพิเศษ
ตามหลักแล้ว สถานที่เช่นนี้ ไม่ควรมีสิ่งปลูกสร้างรูปแบบเก่าปรากฏอยู่
มันควรจะได้รับการปรับปรุงมานานแล้วถึงจะถูก
ทว่า ไม่ว่าสภาพแวดล้อมรอบ ๆ จะพัฒนาไปอย่างไร บ้านเก่าเหล่านี้ กลับไม่มีใครกล้าที่จะมาแตะต้อง
ไม่เพียงเท่านั้น รถที่สัญจรไปมา ต่างก็ขับอ้อมไกล ๆ
และไม่มีรถคันไหนกล้าบีบแตร
เนื่องจากที่นี่ เป็นศาลบรรพบุรุษของตระกูลจ้าว
ตระกูลจ้าว เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลอันดับ 1 ของมณฑลหยุนชวน
ครั้งหนึ่ง เคยมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหม่ พยายามทำอะไรบางอย่าง ต้องการรื้อถอนบ้านเก่าเหล่านี้ เพื่อสร้างแลนด์มาร์ก
ประธานกรรมการบริหารของบริษัทมาเจรจากับตระกูลจ้าวด้วยตัวเอง
แม้แต่หน้าตาของผู้รับผิดชอบของตระกูลจ้าวก็ไม่ได้พบเจอ จนกระทั่งเขากลับไปที่บริษัทในวันถัดมา เขาพยายามที่จะจัดการประชุม แต่กลับพบว่าเขาถูกไล่ออกจากบอร์ดบริหารแล้ว
บริษัทก็ถูกซื้อกิจการ
ผู้ซื้อ ก็คือตระกูลจ้าว
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ตระกูลจ้าวก็เลยกลายเป็นสิ่งต้องห้าม
ศาลบรรพบุรุษของตระกูลจ้าวในวันนี้ มีรถหรูจอดเรียงแถวหน้าประตู และสามารถมองเห็นชายชุดดำผู้แข็งแกร่งที่ระมัดระวังตัวอยู่ทุกที่รอบ ๆ
หากใครที่คุ้นเคยกับตระกูลจ้าวได้เห็นภาพนี้ พวกเขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าตระกูลจ้าวกำลังจัดประชุมตระกูลอีกครั้ง
โดยปกติ ตระกูลจ้าวจะมารวมตัวกันที่นี่ปีละครั้งเท่านั้น นั่นก็คือ การประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ
แต่ในปีนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขามีการจัดประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง
นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว
มีเพียงตอนที่ตระกูลเกิดเรื่องที่สำคัญขึ้นเท่านั้น พวกเขาถึงจะมารวมตัวประชุมตระกูลที่นี่ในวันที่ไม่มีการประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ
สองครั้งติดกัน พบเจอได้ยากมาก
เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลจ้าวกันแน่?
หลายคนรู้สึกวิตกกังวล มองดูบ้านที่มีกำแพงสูง ไม่กล้าคาดเดา
ภายในบ้าน ลูกหลานตระกูลจ้าวสิบกว่าคน สีหน้าเคร่งขรึม
ถายใต้การนำของจ้าวเทียนเล่อเจ้าบ้าน พวกขาเปิดศาลบรรพบุรุษ และจุดธูปหน้าแผ่นป้ายบรรพบุรุษ
เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของจ้าวเทียนเล่อ ทุกคนต่างรู้ว่า ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
ในห้องโถงใหญ่ที่สง่างาม มีความเงียบ และความหนาวเย็น
หลังจากจุดธูปเสร็จแล้ว จ้าวเทียนเล่อในฐานะเจ้าบ้าน ได้เชิญชายชราผมขาวสองสามคนให้นั่งลง
ชายชราเหล่านี้ ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในตระกูลอีกแล้ว
เพียงเพราะอายุมาก และมีความอาวุโส ดังนั้นจ้าวเทียนเล่อจึงเคารพพวกเขาอยู่บ้าง
ชายชราเหล่านั้นก็รู้จักวางตัว ไม่ไปนั่งที่ข้างโต๊ะประชุม แต่มานั่งที่โซฟาแถวหลัง
แม้ว่ามาเข้าร่วมประชุม แต่มีท่าทีชัดเจนว่ามาเพื่อฟังเท่านั้น ไม่แสดงความคิดเห็น
หลังจากนั้น จ้าวเทียนเล่อก็ค่อย ๆ กวาดสายตามอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ทุกคนนั่งสิ”
ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่มีออร่าสังหารและใบหน้าไร้อารมณ์ ดึงเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีตำแหน่งหลักออกมา
หลังจากที่จ้าวเทียนเล่อนั่งลง คนอื่น ๆ ก็นั่งลงทั้งสองข้างของโต๊ะ ตามความอาวุโสและตามสถานะ
ขวามือของจ้าวเทียนเล่อ มีผู้ชายวัยกลางคนที่มีสายตามืดมนเยือกเย็นนั่งอยู่
เขาเป็นบ้านสามของตระกูลจ้าว และเป็นน้องชายแท้ ๆ ของจ้าวเทียนเล่อ มีชื่อว่า จ้าวเทียนจี
ด้านหลังของจ้าวเทียนจี มีจ้าวข่ายลูกชายของเขานั่งอยู่
จ้าวข่ายเองก็มีใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่
ทุกคนรู้สึกว่าบรรยากาศเคร่งขรึม เลยไม่มีใครพูดอะไร
จ้าวเทียนจีหันไปมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่าที่อยู่ตรงข้าม เขายิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า : “ พี่รอง พี่ใหญ่ไม่มาอีกแล้วเหรอ?”
“เขานี่รู้จักซ่อนตัวสบาย ๆ การประชุมบรรพบุรุษ ก็ไม่ยอมเข้าร่วม”
จ้าวเทียนเล่อ ก็คือพ่อของจ้าวซวู่ ในบรรดาพี่น้องสามคน อยู่ในอันดับที่สอง
ที่นั่งที่ว่างเปล่าซ้ายมือของเขา เดิมสงวนไว้ให้พี่ใหญ่ จ้าวเทียนเผิง
หลายปีมานี้ จ้าวเทียนเผิงเข้าร่วมการประชุมของตระกูลน้อยมาก ทว่า ต่อให้เขาไม่มี ที่นั่งของเขาก็ไม่มีใครกล้ามาแทนที่
เพราะสมาชิกตระกูลต่างรู้ว่า ตำแหน่งเจ้าบ้านในวาระนี้ แต่เดิมควรจะเป็นของจ้าวเทียนเผิง
จ้าวเทียนเผิงเป็นพี่ใหญ่ อีกทั้งประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย กล้าหาญและมีไหวพริบ
เดิมทีเป็นลูกรัก คิดไม่ถึงเลยว่า กลับโดนความรักครอบงำ เพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ก็เลยทะเลาะกันกับนายท่าน
หลังจากที่นายท่านเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ยังไม่แต่งงานจนถึงตอนนี้
ไม่มีกะจิตกะใจบริหารเรื่องในตระกูล จึงทำให้จ้าวเทียนเล่อผู้อยู่อันดับที่ 2 ต้องมานั่งตำแหน่งเจ้าบ้าน
บ้านใหญ่ไม่มีผู้สืบทอด ตำแหน่งของจ้าวเทียนเผิงในตระกูลจึงค่อนข้างละเอียดอ่อน
สามารถพูดได้ว่า เป็นคนสันโดษสมรรถะ ตัดขาดสังคม
ทุกคนก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปประจบประแจงเขา
ถึงขนาดที่ ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ห่างไกลหลายคนที่มีตำแหน่งค่อนข้างสำคัญในตระกูล พวกเขาไม่ได้มองจ้าวเทียนเผิงอยู่ในสายตา
สองพรรคพวกที่สำคัญที่สุดของตระกูลจ้าวในปัจจุบัน ก็คือ จ้าวเทียนเล่อ และจ้าวเทียนจี
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเทียนจี จ้าวเทียนเล่อก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “พี่ใหญ่โทรมาหาฉันแล้ว เขาไปตงไห่เพื่อสำรวจโครงการการลงทุน”
“พี่ใหญ่ใช้ชีวิตสันโดษสมรรถะเคยชินแล้ว เขาไม่อยากมา พวกเราก็อย่าไปบังคับเลย”
“น้องสาม นายยังมีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”
“ถ้าไม่มีละก็ ฉันจะได้ประกาศ ว่าการประชุมใหญ่ในวันนี้ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ”
จ้าวเทียนจีพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ
ในที่สุดก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ภายใต้การกวาดสายตาที่น่าเกรงขามของจ้าวเทียนเล่อ สมาชิกตระกูลหลายสิบคน ต่างรับรู้ถึงแรงกดดัน
พวกที่แอบอยู่ในพรรคพวกเดียวกันกับจ้าวเทียนจี รู้สึกกินปูนร้อนท้อง ต่างพากันก้มหน้า
“วันนี้ที่เรียกประชุมด่วน ก็เป็นเพราะจดหมายฉบับหนึ่ง”
“จดหมายฉบับนี้มีคนส่งมาให้ฉันเมื่อเช้านี้ มาจากมณฑลเจียงหนาน เขียนโดยอานกั๋ว”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องประชุม
มณฑลเจียงหนาน คือเป้าหมายต่อไปที่ตระกูลจ้าวของพวกเขาต้องการครอบครอง!
นี่เป็นแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้นานแล้ว
มีเพียงการครอบครองเจียงหนานเท่านั้น ที่จะทำให้ตระกูลจ้าวของพวกเขามีอิทธิพลมากพอที่จะแย่งความเป็นมหาอำนาจทั่วทั้งทิศใต้
และอานกั๋ว ก็เป็นราชาแห่งเจียงหนาน
จู่ ๆ เขาก็ส่งจดหมายมา เขาต้องการจะทำอะไร?
“สำหรับเนื้อหาในจดหมาย ฉันยากจะเชิญน้องสามอ่านให้ทุกคนฟัง”
จ้าวเทียนเล่อผลักซองจดหมายหนังวัวไปตรงหน้าของจ้าวเทียนจีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เมื่อเห็นว่าจ้าวเทียนจีลังเล จ้าวเทียนเล่อก็ยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า : “ ทำไม น้องสาม มีปัญหาอะไรไหม?”
จ้าวเทียนจีส่งเสียงหึ่ยด้วยความเย็นชา แล้วพูดว่า : “ไม่มีปัญหาอะไร”
เขาได้รับรายงานจากจ้าวข่ายลูกชายของเขาแล้ว รู้ว่าจ้าวข่ายลอบสังหารโดยพลกาล แถมภารกิจยังล้มเหลว
ดังนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่า ที่อานกั๋วส่งจดหมายมา น่าจะเกี่ยวกับเรื่องการลอบสังหาร
แต่เขาเองก็แปลกใจว่า ในจดหมายของอานกั๋ว จะพูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง
เขาเปิดซองหนัง แล้วดึงจดหมายออกมา เมื่อเห็นตัวอักษร 6 คำ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง
หลังจากนั้น ใบหน้าก็แดงขึ้น
จ้าวเทียนเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “น้องสาม ในจดหมายเขียนอะไร อ่านเสียงดัง ๆ “
สมาชิกตระกูลเองต่างก็แปลกใจ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของจ้าวเทียนจี
จ้าวเทียนจีกัดฟัน โยนจดหมายลงบนโต๊ะ แล้วพูดนิ่ง ๆ ว่า : “ทุกคนดูเองแล้วกัน”
สมาชิกตระกูลคนหนึ่งรีบหยิบจดหมายขึ้นมา และเมื่อเขาเห็นข้อความในนั้น ก็ทำสีหน้าไม่น่าเชื่อ
“ลอบสังหารไร้ยางอาย?”
“นี่อานกั๋วหมายความว่ายังไง ใครลอบสังหารเขา?”
“หรือว่า?”
สายตาของทุกคนต่างจ้องไปที่ใบหน้าของจ้าวเทียนเล่ออีกครั้ง
จ้าวเทียนเล่อพูดด้วยความโกรธว่า : “ใช่แล้ว!”
“ฉันเองก็เพิ่งจะรู้ ว่ามีสมาชิกตระกูลจ้าวของเราส่งคนไปลอบสังหารอานกั๋วโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“อีกทั้งยังล้มเหลว”
“เช้าตรู่วันนี้ อานกั๋วเลยส่งคนเอาจดหมายมาให้ฉัน”
“ลอบสังหารไร้ยางอาย!”
“นี่เขากำลังตบหน้าตระกูลจ้าวของพวกเรา!”