บัญชามังกรเดือด - บทที่ 396 คุณชายใหญ่
บัญชามังกรเดือด บทที่ 396 คุณชายใหญ่
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างดุร้าย
เรื่องดำเนินการมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นละครอีกต่อไปแล้ว
“จ้าวเทียนจี นึกไม่ถึงเลยว่ากูคิดใคร่ครวญวางแผนเสียอย่างแยบยลดิบดี แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้มึงมีชีวิตรอดไปได้!”
“จ้าวเทียนเผิง มึงรู้ความจริงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วสินะ?”
“แต่กูแค่คิดไม่ถึงว่ามึงจะไปขอความช่วยเหลือจากฉินเทียน!”
“คนในตระกูลจ้าวของพวกมึงนี่จริง ๆ เลยนะ กระจอกชิบหาย!”
“เลี่ยวเจี๋ย ฟังคำสั่งของฉันไว้!”
“ถ้าเกิดจ้าวเทียนเผิงมันกล้าแตะต้องตัวกู พวกนายก็กำจัดทุกคนในตระกูลจ้าวที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งให้สิ้นซากได้เลย!”
“ให้ตระกูลจ้าวสูญสิ้น!”
มีความโหดเหี้ยมปรากฏบนใบหน้าเลี่ยวเจี๋ย
เขาค่อย ๆ ยกดาบขึ้นมา ยิ้มอย่างดุร้ายพลางพูด: “พี่น้องทุกคน ถึงเวลาพิสูจน์กำลังความสามารถของพวกเราแล้ว”
“ฟังคำสั่งของฉัน ทุกคนที่บังอาจต่อต้าน กำจัดให้สิ้นซาก!”
สมุหราชองครักษ์หกคน บวกกับลูกน้องคนสนิทของพวกเขาที่ถูกปลุกระดมตั้งแต่แรก เมื่อรวมกันแล้วก็ยังคงเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมาก ๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้แล้ว เหล่าผู้คนในตระกูลที่เกรงกลัวความตาย ก็คุกเข่าขอร้องอ้อนวอนอย่างหวาดกลัว
พวกเขาไม่แคร์เลยว่าใครจะเป็นเจ้าบ้าน ยังไงก็ตามชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่มีวันได้เป็นเจ้าบ้านอยู่แล้ว พวกเขาแค่อยากมีชีวิตรอดต่อไป
เหล่าผู้รับผิดชอบในตระกูลอื่นที่อยากได้ผู้ช่วยในตอนแรก ตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีแล้วเหมือนกัน
จ้าวเทียนเผิงรีบพูดเสียงดังว่า: “ทุกท่าน อย่าลืมเรื่องที่พวกคุณตอบตกลงผมในเมื่อกี้นี้นะ!”
“ขอแค่เจอมือสังหาร พวกคุณก็จะช่วยตระกูลจ้าวกำจัดทิ้ง!”
“ผมจ้าวเทียนเผิงพูดคำไหนคำนั้น ตระกูลจ้าวเป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงต่อพวกคุณทุกคน!”
ที่แท้ที่เขาจงใจพูดคำพูดแบบนั้นก่อนงานแต่งจะเริ่ม ให้ทุกคนตอบตกลงช่วยเหลือเขานั้น
ก็เพื่อสถานการณ์ ณ ตอนนี้นี่เอง
เขารู้อยู่ว่าทันทีที่แตกหักกัน เมื่อสมุหราชองครักษ์ทั้งหกเปิดศึกเข่นฆ่าอย่างยิ่งใหญ่ละก็ มันต้องเป็นอะไรที่น่าสยดสยองมาก ๆ อย่างแน่นอน
ถึงแม้เขาจะขอความช่วยเหลือจากฉินเทียนแล้ว ทว่าฉินเทียนและผู้ช่วยของเขา รวมแล้วก็มีแค่สามคนเท่านั้น
จ้าวเทียนเผิงไม่ไว้วางใจ!
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเทียนเผิงแล้ว เหล่าผู้รับผิดชอบในตระกูลเหล่านั้นก็ยังคงลังเลใจอยู่เช่นเคย
อย่างไรเสีย การเข้าร่วมสงครามอย่างผลีผลาม อาจทำให้เสียชีวิตได้เลย
จู่ ๆ จี้ซิงก็หัวเราะออกมา
หัวเราะได้ดูมีความสุขมาก ๆ
เขามองดูฉินเทียนที่ถูกผู้คนรายล้อม ยักคิ้วพลางพูด: “ดีมาก”
“ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าพวกเราจะอยู่ในแนวรบเอกภาพเดียวกันแล้ว”
“ขอแค่นายเอ่ยปากขอร้อง ฉันก็จะช่วยนายจัดการลูกหมาป่าพวกนี้ เป็นไง?”
“นายคิดมากเกินไปแล้ว”ฉินเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นคำหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เคลื่อนไหวสักที
เงาร่างของเขากระพริบ พุ่งตรงไปทางเลี่ยวเจี๋ย
เดิมทีเลี่ยวเจี๋ยยังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เลย ในเมื่อแผนการถูกเปิดโปง งั้นก็ฆ่าล้างอย่างยิ่งใหญ่ยกหนึ่ง ใช้วิธีการที่ดุดันดั่งสายฟ้าสยบทุกคน
จู่ ๆ ก็เห็นว่าฉินเทียนพุ่งตรงเข้ามา เขาจึงชะงักไปชั่วขณะ แล้วตะคอกเสียงดังโดยสัญชาตญาณคำหนึ่ง ก่อนจะฟันดาบมาทางฉินเทียน
เขาไม่เคยเห็นฉินเทียนลงมือมาก่อน
ในความคิดและมุมมองของเขา เด็กหนุ่มอย่างฉินเทียนแค่เก๊กทำเป็นเท่ยังทำไม่ได้เลย จึงไม่มีทางมีทักษะวิชากังฟูที่แท้จริง
แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่ามือตนจะเบาลง ไม่รู้เพราะเหตุใด ดาบที่อยู่ในมือก็ปรากฏอยู่บนมือฉินเทียน
เกิดลางสังหรณ์ในใจ เขาจึงตะโกนอย่างตะลึงและเตรียมพร้อมที่จะหลบหนี
ฉินเทียนยกดาบที่อยู่ในมือขึ้นมาแล้วฟาดฟันลงมา ตัดศีรษะเขาลงมาโดยตรง
พูดตามตรงเลยว่าฉินเทียนโกรธเกรี้ยวแบบนี้น้อยมาก ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ และเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องนี้ ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นตันใจมากจริง ๆ
และสิ่งที่พวกเลี่ยวเจี๋ยกระทำมันทำให้เขาโกรธเกรี้ยวมาก ๆ
ผู้มีคุณธรรมคือรับเงินผู้อื่นมาเพื่อสะเดาะเคราะห์แทนผู้อื่น ก่อนหน้านี้จ้าวเทียนเล่อให้พวกเลี่ยวเจี๋ยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ
มีใครที่ไม่ถูกตระกูลจ้าวเลี้ยงดูอย่างดิบดีจนมีทุกวันนี้บ้าง?
แต่สุดท้ายแล้วพวกมันกลับทำเรื่องสิ้นมโนธรรม แทงข้างหลังเจ้านายแบบนี้
เพราะฉะนั้นพวกมันสมควรโดนฆ่า
เมื่อเห็นว่าเสี้ยววินาทีที่ฉินเทียนกระพริบตา เขาก็ตัดศีรษะของเลี่ยวเจี๋ยไปได้อย่างชิลสบาย เหล่าสมุหราชองครักษ์ที่เหลือ รวมไปถึงลูกน้องทั้งหมดก็ถึงกับตะลึงงันไปเลย
“พวกมึงยังมัวยืนบื้ออยู่ทำไมวะ?”
“ลุยสิ!”
“เข้าไปพร้อมกัน!”
“หมัดสองข้างยากที่จะต่อกับศัตรูสี่มือ เอาให้มันเหนื่อยตายไปเลย!”จ้าวเฟิงตะคอกเสียงดังอย่างดุร้าย
พวกหลู่ซิ่นรู้อยู่ว่าตัวเองทำกรรมไว้อย่างหนัก วันนี้ถ้าเกิดไม่ใช่คุณตายก็คือฉันตาย พวกเขาตอบสนองกลับมาได้แล้ว ก่อนจะตะคอกเสียงดังพลางพุ่งตรงไปทางฉินเทียน
ฆ่าเลี่ยวเจี๋ยไปแล้วหนึ่ง ยังระบายความแค้นเคืองออกมาไม่หมด
ฉินเทียนกวัดแกว่งดาบพลางพุ่งตรงเข้าไปในหมู่คน
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ทำให้จี้ซิงตะลึงงันไปเลย
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการรายล้อมจากยอดฝีมือที่มากมายขนาดนี้ ฉินเทียนต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว เขาก็จะสามารถกอบกู้ภาพลักษณ์หน้าตากลับมาจากการถูกฉินเทียนมองข้ามตอนคารวะเหล้าในเมื่อคืน
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฉินเทียนที่ดูหล่อเหลางดงามไร้พิษภัยจะเป็นคนที่บ้าคลั่งขนาดนี้!
ทุกตำแหน่งที่เขาเคลื่อนผ่าน จะมีเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด!
นอกเหนือจากเลี่ยวเจี๋ยแล้ว สมุหราชองครักษ์อีกห้าคนที่เหลือหนีไม่รอดเลยแม้แต่คนเดียว ล้วนตายอยู่ใต้ดาบฉินเทียน
สุดท้าย ลูกน้องพวกนั้นตกใจจนอกสั่นขวัญหายแล้วจริง ๆ แถมลูกพี่ของพวกเขาก็ตายหมดแล้ว พวกเขาจะยังมีกำลังใจสู้ต่อไปได้ยังไง?
“ได้โปรดไว้ชีวิตด้วยครับ!”
“ทุกอย่างเป็นเพราะพวกเลี่ยวเจี๋ยบีบบังคับพวกเรา!”
“พวกเราแค่ดำเนินงานตามพวกมันนะครับ เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
ทุกคนคุกเข่าลงพื้นจนเห็นเป็นแถบสีดำ พวกเขาทิ้งอาวุธที่อยู่ในมือทิ้ง หมอบคลานอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ร่างของฉินเทียนเต็มไปด้วยเลือด เหมือนเทพสังหารที่มาจากนรก
ในที่สุดก็สามารถระบายอารมณ์ร้าย ๆ ออกมาได้สักที รู้สึกสดชื่นไม่น้อยเลย
เขาโยนดาบทิ้ง แล้วพูดกับจ้าวเทียนเผิงที่อยู่บนเวทีว่า: “นายท่านจ้าว คนพวกนี้ฝากให้ตระกูลจ้าวของพวกคุณจัดการต่อแล้วกัน”
จ้าวเทียนเผิงรู้สึกช็อกมากจนพูดไม่ออกตั้งนานแล้ว
เขาอ้าปากค้างอยู่ครึ่งวัน ก่อนจะคุกเข่าลงเสียงดังตึก แล้วตะโกนพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ: “ขอบคุณคุณฉินมาก ๆ ครับ!”
“ท่านผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของตระกูลจ้าวเราเลยนะครับ!”
“ผมจ้าวเทียนเผิงขอสาบานต่อฟ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลจ้าวจะนับคุณฉินเป็นเจ้าครับ!”
จ้าวเทียนจี รวมไปถึงเหล่าผู้คนในตระกูลจ้าว ล้วนคุกเข่าลงแล้วพูดอย่างเสียงดัง: “ขอบคุณคุณฉินมาก ๆ !”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลจ้าวจะนับคุณฉินเป็นเจ้า!”
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะฉินเทียน ตระกูลจ้าวของพวกเขาคงถูกลูกนอกสมรสอย่างจ้าวเฟิงยึดครองไปแล้วจริง ๆ
พูดได้เลยว่าฉินเทียนเป็นผู้พยายามกอบกู้สถานการณ์ที่เลวร้ายอันตรายให้กลับคืนสู่สภาพปกติ เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้กลับมาถูกต้องดั่งเดิม
เหล่าผู้คนในตระกูลที่ขอพึ่งพาอาศัยจ้าวเฟิงในก่อนหน้านี้ ก็แค่ถูกบีบให้จำใจต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
ตอนนี้คนชั่วถูกสังหารไปแล้ว พวกเขาจึงยังยินดีที่จะยืดอกเป็นคนตระกูลจ้าวที่องอาจผ่าเผยอยู่แล้ว
พวกเขาเริ่มโห่ร้องกันอย่างมีความสุข
เหตุร้ายอันน่าทึ่งยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้น ก็จบลงไปก่อนแล้ว
เมื่อจี้ซิงรวมไปถึงเหล่าผู้คนในตระกูลอื่น ๆ เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ต่างก็ยังตอบสนองกลับมาไม่ค่อยได้
“ไอ้แซ่ฉิน ความแค้นที่มึงติดค้างเป่ยเจียงของเราจะคิดยังไง?”
“กูยอมรับว่ามึงเก่งมาก”
“ทว่าหนี้แห่งเลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
หลังจากที่อวี๋เซิ่งและหลัวจิงเงียบสงบไป ในที่สุดก็ปะทุออกมา
พวกเขาเดินตรงเข้ามาทางฉินเทียนด้วยดวงตาที่แดงเถือก
ฉินเทียนขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ เขาไม่อยากลงไม้ลงมือกับผู้คนในเป่ยเจียงจริง ๆ และทำแบบนั้นไม่ได้ด้วย
เมื่อเห็นแบบนี้ เถียหนิงซวงและหม่าหงเทาจึงเดินตรงเข้ามาในทันที ต่างแยกกันไปประจันหน้ากับอวี๋เซิ่งและหลัวจิง“ถ้าเกิดพวกมึงจะสู้ พวกเราจะสู้เป็นเพื่อนเอง!”พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
แค่ไอสังหารที่อยู่บนตัวพวกเขา อวี๋เซิ่งและหลัวจิงก็รู้แล้วว่านี่เป็นด่านที่พวกเขาผ่านไปไม่ได้
ดวงตาของพวกเขาแดงเถือกขึ้นมาอีกครั้ง กัดฟันแน่นไม่พูดอะไร
นึกไม่ถึงเลยว่าลูกน้องที่อยู่ข้างกายฉินเทียนจะมีศักยภาพระดับนี้ด้วยงั้นเหรอ!
ภายใต้สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างยืนกรานและไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน จู่ ๆ จ้าวเฟิงก็หัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา
“พี่เจี๋ย ในที่สุดพี่ก็มาสักทีนะ!”
“ฆ่าฉินเทียนซะ!”
“ฆ่ามัน แล้วดอกผลแห่งชัยชนะก็จะยังเป็นของพวกเราอยู่!”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ต่างหันหน้ากลับไปมอง
เห็นเพียงตรงตำแหน่งประตูทางเข้า มีชายวัยกลางคนที่สีหน้าท่าทางดูเย็นชาคนหนึ่งยืนอยู่คนหนึ่งตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
ในมือเขามีดาบที่ดูหนักมาก ๆ หนึ่งเล่ม เป็นดาบใหญ่ที่ลักษณะดูดุร้ายมาก
แค่ยืนนิ่ง ๆ ก็มีไอสังหารที่ทำให้คนมองรู้สึกแม้แต่ผีสางเทวดายังไม่กล้าเข้าใกล้!
จี้ซิงผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้นว่า: “ฉินเทียน ฝากมันไว้กับฉันเอง!”
ในเวลาแรกเขาก็สัมผัสได้แล้วว่านี่คือยอดฝีมือคนหนึ่ง เมื่อกี้ตอนเห็นฉินเทียนเข่นฆ่าอย่างยิ่งใหญ่ เขาก็รู้สึกคันไม้คันมือตั้งนานแล้ว
เจี๋ยโกวไม่ได้สนใจจ้าวเฟิงแต่อย่างใด และไม่มีท่าทีที่จะปะทะกับจี้ซิงด้วยแม้แต่น้อย
สายตาของเขาค่อย ๆ กวาดมองมา สุดท้ายสายตาเขาก็ร่วงลงบนตัวฉินเทียน
เมื่อเห็นฉินเทียน เขาจึงยักคิ้วและมีความแปลกใจปรากฏในแววตา เขายิ้มกรุ้มกริ่มพลางถาม: “คุณชายใหญ่ครับ มีคนอยากพบหน้าคุณ คุณกล้ามากับผมหรือเปล่าครับ?”