บัญชามังกรเดือด - บทที่ 397 มือสายฟ้า
บัญชามังกรเดือด บทที่ 397 มือสายฟ้า
คุณชายใหญ่?
เมื่อได้ยินคําสรรพนามที่เจี๋ยโกวเรียกฉินเทียน ทุกคนก็ต่างผงะไปเลย
ดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะสนิทกันมาก ๆ เลย?
จ้าวเฟิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้น: “พี่เจี๋ยโกว พี่พูดอะไรอยู่ครับเนี่ย?”
“ไอ้แซ่ฉินนั่นมาเที่ยวก่อความวุ่นวาย พี่รีบฆ่ามันสิ!”
“เราตกลงกันแล้วว่าพี่ช่วยให้ผมได้ยึดครองตระกูลจ้าว แล้วผมจะถวายชีวิตรับใช้พี่!”
หลังจากพูดจบ เขาก็อยากพุ่งตรงเข้าไปเช่นกัน
จ้าวเทียนเผิงยกเท้าถีบเขาจนลมกลิ้งลงไปกับพื้น จ้องเขม็งไปทางเจี๋ยโกวด้วยดวงตาที่แดงเถือก กัดฟันแน่นแล้วพูด: “ที่แท้มึงก็เป็นคนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังนี่เอง!”
“ตระกูลจ้าวของเราไปมีความแค้นอะไรต่อมึง? มึงถึงกับต้องลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้!”
“วันนี้ในเมื่อมึงมาแล้ว งั้นเลือดก็ต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
เมื่อคนอื่นที่เหลือเห็นว่าเจี๋ยโกวมาตัวคนเดียว อารมณ์ของพวกเขาก็ปะทุออกมา เริ่มใช้กำลังทหารเข้าปราบ
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่โกรธเกรี้ยว สีหน้าของเจี๋ยโกวไม่เปลี่ยนไปเลย
เขากวาดตามองดูทุกคนอย่างเย็นเยือก ภายในแววตามีความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีตั้งแต่กำเนิดรั่วไหลออกมา
ราวกับว่าตระกูลร่ำรวยและทรงอิทธิพลในทิศใต้เหล่านี้ที่อยู่ในสายตาเขา เป็นเพียงตัวตลกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
“คุณชายใหญ่ คุณไม่กล้าเหรอครับ?”
“ถ้าเกิดไม่กล้า งั้นก็อย่ามาทำลายเรื่องดี ๆ ของเรา จากไปตอนนี้ยังทันนะครับ”
เขาแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดกับฉินเทียนอีกครั้ง
“คุณฉิน อย่าติดกับดักมันเชียวนะครับ! ไปกับมันไม่ได้เด็ดขาด!”
“คุณไม่ต้องเป็นห่วง คนของเรามีเยอะขนาดนี้ ต้องฆ่ามันได้แน่นอนครับ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอสังหารอย่างน่ากลัวที่อยู่บนตัวเจี๋ยโกว จ้าวเทียนจีจึงพูดกับฉินเทียนด้วยความหวาดกลัว
สีหน้าของฉินเทียนหม่นหมองจนน่ากลัว
เขาจ้องมองเจี๋ยโกวพลางพูดอย่างเย็นเยือก: “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม ผมจัดการเองได้”
“ทุกคนรอผมอยู่ที่นี่”
“นำทาง!”
พอพูดจบ เขาก็มุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก
เจี๋ยโกวยักคิ้ว ไม่ได้สนใจเสียงร้องตะโกนของจ้าวเฟิง ก่อนจะหันหลังแล้วก้าวเท้ายาวเดินจากไป
ทั้งสองคนต่างไม่พูดอะไรเลย รักษาระยะห่างที่แน่นอน คนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง ข้ามผ่านถนนที่คึกคัก มาถึงปากทางเข้าซอยที่เงียบสงบหนึ่งซอย
สุดปลายขอบเขตของซอยดังกล่าว มีบ้านที่มีบริเวณกว้างใหญ่หนึ่งหลัง
ตรงประตูทางเข้าหน้าบ้าน มีผู้คุ้มกันยืนอยู่สองคน กล้ามเนื้อนูนปูด ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งพละกำลัง แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือ
หากคนประเภทนี้อยู่ในตระกูลร่ำรวยและทรงอิทธิพลทั่วไปละก็ สามารถเป็นบูชาอู่ได้โดยสมบูรณ์ ได้รับการเคารพยกย่องจากผู้คนในตระกูล
แต่ทว่า ณ วินาทีนี้ พวกเขากลับคู่ควรกับการเฝ้าประตูอยู่ที่นี่
เมื่อพวกเขามองเห็นฉินเทียน จึงพูดอย่างเย็นชา: “หยุดก่อน”
“พกอาวุธติดตัวมาหรือเปล่า? หลังจากผ่านการค้นตัวจากพวกเราแล้ว นายถึงจะมีเข้าไปได้!”
ฉินเทียนยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับ: “เอาสิ”
ทั้งสองคนเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง เตรียมพร้อมที่จะค้นตัวฉินเทียน
ฉินเทียนยกเท้าถีบออกไปสองทีจนเสียงดังตึกตึก ถีบพวกเขาจนร่างกระเด็นออกไป ก่อนจะร่วงลงลานหน้าบ้านอย่างจัง
เขาเดินเข้าไปด้วยท่าทางทะนงตัว พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “แหกตาหมา ๆ ของพวกมึงแล้วดูดี ๆ !”
“อย่างพวกมึง ก็บังอาจบอกว่าจะค้นตัวคุณชายอย่างฉันงั้นเหรอ!”
มีเสียงร้องอย่างตะลึงดังออกมาจากลานหน้าบ้าน และมีเงาดำสองร่างพุ่งตรงเข้ามา
ลมปราณที่อยู่บนตัวพวกเขาจลาจล อากาศบริเวณรอบ ๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งสองจะเป็นยอดฝีมือที่ไม่ด้อยไปกว่าเจี๋ยโกวเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเจี๋ยโกวนั้นก็เดินตามอยู่ด้านหลังเช่นกัน ปิดกั้นทางถอยของฉินเทียนเอาไว้
เขายิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “คุณชายใหญ่ครับ เมื่ออยู่ต่อหน้าเฮียไท่เจี๋ยของเรา เกรงว่าคุณคงโชว์ความน่าเกรงขามของคุณไม่ได้แล้วล่ะ”
“ยังไม่รีบทำความเคารพเฮียไท่เจี๋ยอีก!”
ฉินเทียนแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วมองไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในศาลา
ชายดังกล่าวกำลังชงชาพลางยิ้มตาหยี ราวกับมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกยังไงอย่างนั้น
ฉินเทียนยิ้มอย่างเย็นชาพลางพูด: “อันดับ 7 ของแปดนายพลแห่งตระกูลฉิน มือสายฟ้า ไท่เจี๋ย”
“นึกไม่ถึงเลยว่าจากกันหลายปี นายจะพัฒนากลายเป็น‘เฮียไท่เจี๋ย’แล้ว”
ไท่เจี๋ยหัวเราะฮ่า ๆ เสียงดัง: “คุณชายใหญ่ครับ ไม่ได้เจอกันนานยังสบายดีนะครับ!”
“อันดับ 7 ของแปดนายพลนั่นเป็นเรื่องตอนคุณจากไปจากตระกูลฉิน ตอนนี้อันดับผมอยู่ที่อันดับ 5 แล้ว”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะบอกคุณ อดีตแปดนายพลนำโดยห้าราชา แต่ตอนนี้ล้วนรับฟังคำสั่งจากนายหญิงใหญ่โดยตรง”
“เพรางั้นการที่คุณสังหารเจิ้นเทียนหนานในฉู่โจวนั้น ทำให้นายหญิงใหญ่พิโรธมาก ๆ เลยนะครับ”
ฉินเทียนแสยะยิ้มอย่างเย็นเยือก: “ดังนั้นมันเลยส่งตัวนายมาอวิ๋นชวน อาศัยกำลังของตระกูลจ้าวมาจัดการฉัน?”
ไท่เจี๋ยส่ายหน้า ยิ้มแล้วตอบกลับ: “ตระกูลจ้าวแห่งอวิ๋นชวนเป็นการเดินหมากหนึ่งขั้นที่ผมคาดการณ์ไว้ตั้งนานแล้ว”
“ก็เหมือนดังถงจิ่งวางหมากในเป่ยเจียง ผมขอพูดตามตรงเลยนะครับคุณชายใหญ่ ห้าราชาแปดนายพลของตระกูลฉินเราเลือกเป้าหมายของตัวเองเอง ล้วนมีการวางหมากลงในเมืองต่าง ๆ ในทิศใต้”
“ที่ทำแบบนี้เพราะเหตุใดนั้น คงไม่ต้องให้ผมอธิบายหรอกมั้ง?”
ฉินเทียนไม่พูดอะไร
เขารู้อยู่ว่าตระกูลฉินตั้งอยู่ในซีเป่ย ประเพณีนิยมของสังคมกล้าหาญ ทว่าสภาพแวดล้อมกลับเลวร้ายเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงอยากย้ายไปทิศใต้มาโดยตลอด
แต่ทว่าเขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ถ้าเกิดที่ไท่เจี๋ยพูดมาเป็นความจริง งั้นห้าราชาแปดนายพลคงวางหมากในทิศใต้แล้ว
ครั้งก่อนตอนไปเป่ยเจียง ผู้วางหมากคือถงจิ่ง
ครั้งนี้ในอวิ๋นชวย ผู้วางหมวกก็เปลี่ยนเป็นมือสายฟ้า
แม้ฐานะตำแหน่งและการเรียกชื่อของแปดนายพลจะอยู่ต่ำกว่าห้าราชาเล็กน้อย แต่ทว่าทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะบุคคลที่เกิดขึ้นในยุคหลัง
พูดได้เลยว่าอิทธิพลและศักยภาพของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าห้าราชาเลย
“พวกนายจะวางหมากยังไงฉันไม่สน แต่ว่าอย่าเกี่ยวข้องถึงฉันก็พอ”
“ทันทีที่เกี่ยวข้องถึงฉัน ก็อย่าหาว่าฉันโหดเหี้ยมไร้ความปราณีก็แล้วกัน!”ฉินเทียนพูดอย่างเย็นชา
ไท่เจี๋ยถอนหายใจแล้วพูดว่า: “พูดตามตรงเลยนะครับ คุณชายใหญ่หนีออกจากตระกูลมานานหลายปี ปัจจุบันคุณทำให้ทุกคนในตระกูลฉินเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่”
“ครั้งก่อนถงจิ่งนำพากองกำลังทั้งเป่ยเจียง ยังไม่สามารถทำอะไรคุณได้ กลับมาพร้อมกับความล้มเหลว ทุกคนยังคิดอยู่เลยว่าเขาจงใจปล่อยไก่เพราะคำนึงถึงมิตรภาพเก่า”
“อย่างที่ทุกคนรู้ ๆ กัน ในตระกูลฉิน ถงจิ่งถือว่ารักและเป็นห่วงคุณชายใหญ่มากที่สุดแล้ว”
“แต่ทว่าดูจากตอนนี้ ถงจิ่งคงจะทุ่มกำลังสุดความสามารถแล้วล่ะ คุณชายใหญ่แข็งแกร่งขึ้นแล้วจริง ๆ ”
ฉินเทียนแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “นายรู้ก็ดีแล้ว”
“ตอนนี้รีบถอนกำลังออกไปซะ ต่อไปอย่าได้ย่างกรายเข้ามาทิศใต้อีกแม้แต่ก้าวเดียว”
“แล้วฝากบอกยัยแก่นั่นและทุกคนในตระกูลฉินด้วยว่า ต่อไปอย่าปรากฏอยู่ในชีวิตของฉัน”
“ไม่แน่ ฉันอาจจะไว้ชีวิตนายได้”
ไท่เจี๋ยหัวเราะเสียงดังลั่น
“คุณชายใหญ่ครับ ถึงแม้คุณจะแข็งแกร่งขึ้น และทำให้พวกเราทุกคนเปลี่ยนมุมมองใหม่”
“แต่ทว่าการเป็นคนน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องรู้จักตนเองดีด้วยนะครับว่าเป็นเช่นไร”
“คุณอย่าลืมนะว่าผมไม่ใช่ถงจิ่ง ในสายตาของผม มีแค่ภารกิจ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก”
“ตระกูลจ้าวแห่งอวิ๋นชวน ผมยึดไว้แน่ ถ้าเกิดคุณดึงดันที่จะขัดขวางละก็ งั้นก็อย่าหาว่าผมลงมือโหดเหี้ยมแล้วกัน”
“การที่ผมสามารถเชิญคุณมาที่นี่ และพูดคุยเรื่องพวกนี้กับคุณนั้น ถือเป็นการโอบอ้อมอารีมากที่สุดแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ถึงแม้เขาจะยังยิ้มอยู่ ทว่าในรอยยิ้มกลับมีไอสังหารแฝงซ่อนอยู่
ราวกับว่าอากาศบริเวณรอบ ๆ เย็นลง
เจี๋ยโกวยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางถาม: “คุณชายใหญ่ครับ ถึงแม้คุณจะเรียนรู้วิชากังฟูมาบ้าง และสมคบกับกองกำลังต่าง ๆ บ้างแล้วยังไงครับ?”
“เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลฉิน เปรียบเทียบกับเฮียไท่เจี๋ย คุณก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
ฉินเทียนกำลังจะพูดบางอย่าง จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงลมปราณหนึ่ง จึงทำให้สีหน้าอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วรีบหันกลับไปดู
เห็นเพียงในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
ชุดที่ทำมาจากผ้า รองเท้าผ้า ราวกับว่าสีหน้าท่าทางดูเย็นชา มีไอสังหารซ่อนอยู่ในดวงตา
มือของเขาเหมือนติดอยู่กับดาบ
ราวกับว่าดาบโค้งยาว ๆ นั่นกลายเป็นมือแล้วกำลังยืดออก
“จุยเฟิง?”แม้กระทั่งสีหน้าของมือสายฟ้าที่จิบชาอยู่ในศาลาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
ส่วนเจี๋ยโกวนั้นรีบดึงดาบออกมาจากปลอกดาบด้วยใบหน้าที่เย็นยะเยือก
เขาก็เป็นผู้เล่นดาบคนหนึ่งเหมือนกัน กลับพ่ายแพ้ให้จุยเฟิงสามครั้งในหาดหินหนานเจียง
ถึงแม้จุดประสงค์ของเขาคือถ่วงเวลาจุยเฟิงไว้ และเขาก็ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับการต่อสู้นั้นด้วย แต่ทว่ามันก็เป็นการสบประมาทที่เขารับไม่ได้อยู่ดี
เขาอยากหาโอกาสต่อสู้กับจุยเฟิงดี ๆ สักยกมาโดยตลอด
ดูเหมือนกับว่าตอนนี้โอกาสของเขาจะมาถึงแล้ว
จุยเฟิงไม่สนใจใครเลย แต่เป็นการมองหน้าฉินเทียนพลางยิ้มอย่างกระดากอายเล็กน้อย
“ถ้าเกิดต้องการความช่วยเหลือ นายก็ส่งเสียงหน่อยสิ”
บทที่ 396 คุณชายใหญ่
บทที่ 398 เป็นไง