บัญชามังกรเดือด - บทที่ 675 ถึงตาคุณแล้ว
บัญชามังกรเดือด บทที่ 675 ถึงตาคุณแล้ว
หานหลิงเดินนำหน้าฉินเทียน ตรงดิ่งอย่างรวดเร็วไปทางประตูเล็กข้างสวนหลังคฤหาสน์ ขณะที่เดินอยู่ เธอได้พูดออกมาด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ฉินเทียนที่รีบสาวเท้าตามมาได้ยินเท่านั้น
“คนตระกูลหูทั้งยี่สิบแปดชีวิตดับสูญลงที่นี่ คฤหาสน์แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่อาถรรพ์ ถึงที่ดินผืนนี้จะมีมูลค่ามหาศาล แต่ไม่มีใครกล้าซื้อ ฉันเลยใช้เงินซื้อที่แห่งนี้ ทำที่นี่ให้เป็นที่พักสุดท้ายของพวกเขา ป้องกันไม่ให้ใครมารบกวนพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันทำให้หูเฟยได้”
“คราวก่อน ฉันยืมเงินนายสองร้อยล้าน ฉันเอามาปลดหนี้สินทั้งหมด ซื้อที่ดินผืนนี้ และเตรียมความพร้อมสำหรับการอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตที่นี่เพื่อดูแลสุสานของหูเฟย”
“ฉันไม่ใช่คนกลัวตาย แต่เจียวเหลียงรู้จุดอ่อนฉัน เขาข่มขู่ว่าถ้าฉันไม่ยอมแต่งงานด้วย เขาจะส่งคนมาขุดสุสานพวกนี้ เอาศพไปทำลายทิ้ง ฉันไม่มีทางยอมให้คนอย่างเจียวเหลียงมาทำลายที่พักสุดท้ายของหูเฟยได้ ฉันเลยตกลงแต่งงานกับเขา”
“ฉินเทียน ฉันขอโทษที่ฉันต้องแต่งงานกับเจียวเหลียง แต่ฉันไม่มีทางปล่อยให้เจียงเหลียงมายุ่งกับสุสานของหูเฟยได้ ฉันอยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบในปรโลก ไม่ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ที่กลบฝัง”
“ฉินเทียน ฉันจะออกไปล่เจียวเหลียงกับหานไท่ นายรีบหนีไปซะ กลับไปที่ญี่ปุ่น ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
“หนี้สินที่ติดค้าง ฉันจะทยอยใช้คืนให้”
หานหลิงพูดได้เพียงเท่านั้น น้ำตาของเธอก็ไหลพรากออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง นี่คือการจากลากันครั้งสุดท้าย ฉินเทียนได้คารวะสุสานของหูเฟยเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนเธอก็ได้มาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาต้องแยกจากหูเฟยไปตลอดกาล ไม่มีทางได้พบกันอีก
นับจากวันพรุ่งนี้ไป เธอจะกลายเป็นคู่หมั้นของเจียวเหลียง และเป็นคนของสกุลเจียวในท้ายที่สุด ไม่มีทางได้ครองคู่กับหูเฟยอีกต่อไปในชาตินี้
นับจากนี้ไป รอยยิ้มที่เธอมีให้ทุกคนคือรอยยิ้มที่เธอฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น
เมื่อหานหลิงเปิดประตูออกไป ไป๋เสวี่ยที่อยู่ตรงประตูรีบผลักฉินเทียนกลับเข้ามาหลังประตูทันที เธอตื่นตระหนกเพราะรู้ดีว่ามีคนดักรอฉินเทียนอยู่
“ฉินเทียน รีบซ่อนเร็วเข้า พวกมันมาแล้ว”
หานหลิงเองก็ตื่นตระหนกที่ได้เห็นเจียวเหลียงและพวกดักรออยู่ที่นี่ พวกอันธพาลท่าทางน่ากลัวหลายสิบคนพร้อมอาวุธมีคมครบมือไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะเอาชนะได้
“ฉินเทียน รีบหนี—”
เธอหันหลังกลับและต้องการผลักฉินเทียนกลับไปในพื้นที่ของคฤหาสน์ เธอรู้ดีว่าเจียงเหลียงไม่กล้าทำอะไรกับฉินเทียนในพื้นที่คฤหาสน์ แต่ถ้าเป็นพื้นที่นอกคฤหาสน์ เจียวเหลียงย่อมไม่มีทางรามือแน่นอน
เธอพลาดมหันต์ที่พาฉินเทียนมาตรงจุดนี้ เธอทำพลาดที่เปิดโอกาสให้พี่น้องคนสนิทของคนที่เธอรักต้องเผชิญกับอันตรายเพราะความเผลอเรอของเธอ
เจียวเหลียงและหานไท่เกลียดฉินเทียนอย่างมาก ตั้งแต่ที่หานหลิงใช้ข้อตกลงนั้นเพื่อบีบบังคับให้เจียวเหลียงยอมถอย เจียวเหลียงก็วางแผนจะดักเล่นงานฉินเทียนที่ประตูทางด้านหลังคฤหาสน์ เขาคาดเดาและกุมจุดอ่อนของหานหลิงไว้ได้ เขาย่อมรู้ดีว่าจะจัดการยังไง และฉวยโอกาสจากหานหลิงเพื่อครอบครองสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างไร
วันนี้ ฉินเทียนไม่มีทางรอดแน่นอน
เจียวเหลียงหลงรักหานหลิง หานไท่หลงรักไป๋เสวี่ย การที่ทั้งสองสามวนเวียนรอบตัวฉินเทียน แสดงความสัมพันธ์ที่ดีต่อฉินเทียน ยิ่งทำให้คนทั้งสองแค้นใจและหมายเล่นงานฉินเทียนให้หนักขึ้น
ทำไมพวกเธอถึงไม่รับรักพวกเขา
ได้ ในเมื่อไม่ยอมรับรักแต่โดยดี พวกเขาก็จะเล่นงานฉินเทียน ทำให้ฉินเทียนต้องอ้อนวอนขอความเมตตา พิสูจน์ความแข็งแกร่งให้ทั้งสองคนได้เห็นว่าใครกันที่ปกป้องดูแลพวกเธอได้
ต่อให้ได้มาแค่ตัวในตอนนี้ สักวันพวกเขาจะทำให้พวกเธอเปิดใจยอมรับเอง
“หานหลิง ฉันอดทนกับเธอมานานมาก อดทนมาหลายเรื่องมาก ฉันเป็นคนใจกว้างถือมั่นในคุณธรรมมากเลยนะ แต่วันนี้ เธอเดินจูงมือกับคนอื่นแบบนี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติว่าที่สามีของเธอ”
หานหลิงกัดฟันข่มอารมณ์ความรู้สึกที่พรั่งพรูอยู่ในใจ ก่อนจะพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับไปว่า “เจียวเหลียง ทุกคนที่นี่เคยเรียนร่วมโรงเรียนเดียวกันมาก่อน ทำไมต้องใช้ความรุนแรงทำอะไรให้เกินกว่าเหตุด้วยล่ะ ค่อยๆ พูดจากันก็ได้”
“หยุดเลย”
เจียวเหลียงระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที เขาชี้ไปที่ฉินเทียนและสาปแช่งด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
“เธอไม่รู้ว่าไอ้บัดซบนี่ทำอะไรกับฉันไว้ในญี่ปุ่นบ้าง” เจียวเหลียงสบถ ก่อนจะสาธยายเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ฉันไปเจรจากับบริษัทใหญ่ ซานซุยกรุ๊ป ฉันมั่นใจว่าจะคว้าข้อตกลงธุรกิจนั่นมาได้แน่นอน แต่ไอ้บัดซบนี้ทำลายข้อตกลงธุรกิจของฉัน ทำให้ฉันสูญเสียสินทรัพย์ไปก้อนโต”
“ใช่ ไอ้คนแซ่ฉิน” หานไท่ก็ร่วมผสมโรงกับเจียวเหลียงด้วย “ที่แกทำกับฉันไว้บนรถไฟนั่น ฉันขอคิดบัญชีร่วมด้วยคราวนี้ ไม่เจ็บตายไม่เลิกรา”
“คุกเข่าลง ยอมให้พวกเรากระทืบแกซะ ไม่งั้นแกตายแน่”
บรรยากาศมาคุที่เต็มไปด้วยการเอะอะโวยวายและอาฆาตมาตร้ายทำให้หานหลิงและไป๋เสวี่ยหวาดกลัว แต่ผู้หญิงอ่อนแออย่างพวกเธอสองคนไม่มีทางช่วยอะไรใครได้เลยในสถานการณ์แบบนี้
แต่ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเหมือนละครลิงสำหรับฉินเทียน เขาไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางของเจียวเหลียงและหายไถ แต่กลับนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาว่า
“เข้าใจแล้ว” ฉินเทียนหันมาทางหานหลิง พลางก้มศรีษะลงเล็กน้อย “ฉันขอโทษที่เข้าใจเธอผิด”
“ห๊ะ” หานหลิงอุทานออกมาอย่างแปลกใจ เธอไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ไม่เข้าใจเลยว่าฉินเทียนคิดอะไรอยู่
ฉินเทียนหันกลับไปมองกลุ่มอันธพาลที่รายล้อมอยู่ ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับปรากฎรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
ท่าทางของฉินเทียนทำให้หานหลิงรู้สึกราวกับหูเฟยกลับมาแล้ว กลับมาปกป้องเธออีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร หูเฟยที่แข็งแกร่งและเก่งกาจด้านการต่อสู้ก็จะรีบมาปกป้องเธอเสมอ
ภาพซ้อนทับของหูเฟยกับฉินเทียนในคราวนี้ทำเอาหานหลิงแทบร้องไห้ออกมา หูเฟยของเธอเป็นคนแบบนี้ และพี่น้องคนสนิทของหูเฟยก็สืบทอดบุคลิกแบบเดียวกันมาด้วย
สำหรับอันธพาลพวกนี้ ต่อหน้าหูเฟย พวกมันเป็นได้แค่สวะ ท่าทางของฉินเทียนในยามนี้เหมือนกับท่าทางของหูเฟยในตอนนั้น
“ฉินเทียน นายไม่กลัวเหรอ” ไป๋เสวี่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น สำหรับเธอ อันธพาลพวกนี้อันตรายมาก ยิ่งอันธพาลที่มีอำนาจและเงินทองมากมาย ยิ่งอันตรายกับผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอ
ฉินเทียนทรุดตัวลงนั่งยอง เลือกหยิบกิ่งไม้บนพื้นขึ้นมาถือในมืออย่างสบายอารมณ์ เขาเลือกกิ่งไม้ที่มีลักษณะคล้ายแท่งไม้เรียวยาว ความหนาประมาณนิ้วก้อยของเขาเท่านั้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ยิ้มให้บรรดาอันธพาลทั้งหลายอย่างอ่อนโยนแกมเวทนา
“นี่ เดี๋ยวจะให้ดูว่าตีหมาต้องตียังไง”
ฉินเทียนมองไปที่เจียวเหลียงและหานไท่ จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า
“นี่ จะเข้ามาให้ฟาด หรือจะให้ฉันตรงเข้าไปฟาด เลือกเอาตามสบายเลย มาพร้อมกันทั้งฝูงเลยก็ได้นะ”
หานหลิงและไป๋เสวี่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พวกเธอไม่คิดว่าฉินเทียนจะกล้าท้าทายและยั่วโมโหอันธพาลพวกนั้นในรูปแบบนี้ ส่วนเจียวเหลียง หานไท่ และลูกน้องก็นิ่งอึ้งเพราะไม่คิดว่าคนท่าทางอ่อนแออย่างฉินเทียนจะกล้าท้าทายพวกเขาแบบนี้
“เฮ้ย จะมาก็รีบมา ฉันไม่ว่างพอจะรอเล่นกับพวกแกทั้งวันนะ” ฉินเทียนราดน้ำมันเข้ากองไฟอีกรอบ “หรือว่าต้องให้ฉันโยนกิ่งไม้ไปให้พวกแกคาบมาก่อน ถึงจะเข้ามาหาฉันได้”
ห๊ะ ไอ้นี่มันประสาทกลับแล้วเรอะ
เจียวเหลียงและหานไท่ได้แต่คิดเช่นนี้ในใจ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง ประสบการณ์ทั้งหมดในแวดวงอันธพาลที่ผ่านมาบ่งบอกว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่มั่นใจตัวเองสุดๆ ก็คงเป็นบ้าไปแล้ว
บัดซบ นี่มันเหาเรื่องหยามศักดิ์ศรีกันเกินไปแล้ว
“บัดซบเอ๊ย” หานไท่คำรามลั่น “กูจะฆ่ามึง”
หานไท่คำรามก้องพลางพุ่งตัวเข้าใส่ฉินเทียน หมัดขวาข้างเดิมพุ่งตรงแหวกอากาศเข้าไปยังตำแหน่งปลายคางของอีกฝ่าย
แรงลมและเสียงหมัดแหวกอากาศทำให้ไป๋เสวี่ยและหานหลิงสั่นสะท้านด้วยความกลัว ถ้าพวกเธอโดนหมัดนี้เข้าไป ถึงไม่ตายก็คงพิการถาวรแน่นอน
“ลูกพี่ ฆ่ามันเลย”
“เอาเลย ลูกพี่”
“จัดการเลยครับ ลูกพี่”
เสียงลูกน้องอันธพาลร้องเชียร์ดังลั่น พวกเขาโมโหมากกับการยั่วโมโหเชิงหยอกล้อของฉินเทียน แต่พวกเขาออกตัวช้าไป ในเมื่อลูกพี่ของพวกเขาลงมือแล้ว ก็ได้เวลาทำหน้าที่ลูกน้องที่ดี ได้เวลาส่งเสียงเชียร์ให้เต็มที่
“ชกให้คว่ำเลย หานไท่” เจียวเหลียงและคนอื่นๆ พากันโห่ร้องเชียร์ให้หมัดของหานไท่เข้าเป้า
ในความคิดของเจียวเหลียง ฉินเทียนเป็นคนรูปร่างผอมบาง ไม่มีทางรับหมัดที่รุนแรงขนาดนี้ได้แน่นอน ในสมัยที่พวกเขาเรียนที่เดียวกันอยู่นั้น เจียวเหลียงจำได้ว่าฉินเทียนทำอะไรไม่ได้มากนักถ้าไม่มีหูเฟยคอยช่วย รูปร่างเล็ก ต่อให้ฉินเทียนในตอนนี้จะดูกำยำขึ้น ก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรมากนัก
ขณะที่หานไท่ชกหมัดเข้าที่ปลายคางของฉินเทียน หานไท่มีสีหน้าแววตาเย้ยหยัน เขามั่นใจว่าหมัดนี้ต้องจัดการฉินเทียนได้แน่นอน แต่สีหน้าเขากลับเป็นชะงักค้าง
ฉินเทียนใช้เคล็ดวิชามาหลังถึงก่อน ใช้มือซ้ายรับหมัดขวาของหานไท่ไว้ได้ก่อนที่หมัดจะถึงปลายคางของเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
หานไท่รีบใช้กำลังทั้งหมดผลักดันปลายหมัดให้พุ่งทะลวงอุ้งมือของอีกฝ่าย แต่คลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาจากอุ้งมือนั้นทำให้หานไท่รู้สึกเดจาวู
“อีกแล้วเรอะ”
หานไท่อุทานออกมาด้วยความตกใจ สับสนมึนงง และหวาดกลัว
ทันใดนั้น คลื่นความร้อนในมือซ้ายของฉินเทียนก็ทำลายพลังที่หานไท่ตั้งใจส่งไปที่หมัดขวา ก่อนเกิดคลื่นความร้อนแผ่ซ่านมาตามแขนขวา และทำให้หานไท่ร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด
หานไท่ทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด ร้องออกมาเสียงหลง แต่ทว่ามือซ้ายของเขากลับตวัดมีดที่เอวออกมาแทงใส่กลางลำตัวของฉินเทียนในระยะประชิด
พริบตาเดียว กิ่งไม้ในมือขวาของฉินเทียนก็ฟาดลงมาใส่มีดที่พุ่งเข้ามาที่ช่วงท้อง ปัดป้องมีดเล่มนั้นออกไป ขณะที่ฉินเทียนบิดตัวก้าวถอยหลัง เปิดช่องว่างให้จู่โจมในระยะประชิด เท้าขวากระทืบเข้าไปที่ข้อพับเข่าข้างหนึ่งอย่างรุนแรง ก่อนที่กิ่งไม้ในมือขวาจะฟาดลงมาที่ข้อมือราวกับงูฉก สร้างความเจ็บปวดให้หานไท่จนต้องปล่อยมีดในมือซ้าย
เมื่อมีดเดินป่าของหานไท่ร่วงหล่นกระทบพื้น กิ่งไม้ในมือขวาของฉินเทียนก็ฟาดเข้าที่เข่าอีกข้างของหานไท่ เสียงไม้กระทบกระดูกข้อต่อดังก้อง บ่งบอกถึงความรุนแรง และแน่นอนว่าความเจ็บปวดที่ตามมาย่อมสาหัสจนหานไท่ต้องร้องโหยหวนออกมา
ในขณะนี้ หานไท่หมดสภาพต่อสู้แล้ว มือขวาปวดร้อนจากคลื่นพลังที่มือซ้ายของฉินเทียน มือซ้ายถูกฟาดที่ข้อมือจนขยับไม่ได้ ส่วนเข่าก็ปวดบวมเหมือนข้อต่อหลุด ท่าทางดุดันเกรี้ยวกราดของหานไท่หายไปโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงสภาพของคนที่ถูกทำร้ายจนไม่สามรถขยับตัวได้ ถ้าไม่ติดที่มือขวาของหานไท่ยังถูกมือซ้ายของฉินเทียนเกาะกุมไว้อยู่ หานไท่คงลงไปนอนครวญครางบนพื้นแล้ว
ฉินเทียนตัดสินใจปล่อนมือหานไท่ออกจากอุ้งมือ พลางขยับตัวมาประจันหน้ากับเหล่าอันธพาลทั้งหลายอย่างชัดเจน แผ่นหลังของเขาหันไปหาหญิงสาวทั้งสอง สื่อนัยถึงการปกป้องอย่างเต็มกำลัง
“เอาล่ะ ใครจะเป็นคนต่อไป”
ฉินเทียนถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มมุมปาก แววตาฉายความดุดันป่าเถื่อนภายใต้ท่าทางขี้เล่นออกมาอย่างเด่นชัด
“ถ้าไม่เข้ามา ฉันจะเข้าไปหาเองนะ”
บัดซบ เจียวเหลียงสบถในใจ เขาตัวสั่นไปด้วยความโมโหและหงุดหงิด สิ่งที่ฉินเทียนแสดงออกมาบ่งบอกว่าอีกฝ่ายฝึกฝนมาอย่างดี แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียวเหลียงไม่เชื่อว่าสองหมัดจะเอาชนะสี่ฝ่ามือได้ ไม่เชื่อว่าฉินเทียนจะรับมือคนหลายสิบได้
“เฮ้ย ทุกคน ถ้าฆ่ามันได้ กูให้สิบล้าน” เจียวเหลียงตะโกนปลุกใจลูกน้องในขณะที่สาวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “จ่ายสด คนละสิบล้าน จ่ายทุกคน”