บัญชามังกรเดือด - บทที่ 872 ปะทุ
บัญชามังกรเดือด บทที่ 872 ปะทุ
ฉลองหรือ?
เมื่อมองเห็นรอยยิ้มงดงามดั่งมวลผกาของหลิวหรูยู่ที่อยู่ตรงหน้า และท่าทางที่น่าหลงใหลและมีเสน่ห์เหลือล้น ทำให้ฉินเทียนสับสนไปเล็กน้อย
ฉลองเรื่องอะไรกันล่ะ?
แล้วจะไปฉลองกันที่ไหน?
ในเวลานี้ คนที่มีบุคลิกที่โดดเด่นที่สุดอย่างลิฉุนก็เดินเข้ามา และใช้นิ้วที่เรียวยาวชี้ไปยังข้างทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปไกล แล้วกล่าวว่า “ดูทางนั้นสิ”
ฉินเทียนมองตามทางที่นิ้วเรียวยาวนั้นชี้ไป และเห็นข้างทะเลสาบหลงฮู๋ที่มืดสลัวจากระยะไกล มีแสงไฟหลากสี ถูกเปิดให้สว่างไสวขึ้น
ภายใต้แสงไฟ มีโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวถูกวางตั้งไว้แล้ว
หลังจากนั้น ภายในอาคารวิลล่าหลังหนึ่งที่ไม่ได้ใช้งานที่อยู่ใกล้กับหลงฮู๋มากที่สุด ก็มีพ่อครัวที่สวมหมวกใบใหญ่ ถือจานอาหาร และเริ่มเดินออกมาข้างนอก
พ่อครัวหลายสิบคนก้าวเท้าเข้ามา ราวกับสายน้ำที่เดินกันขวักไขว่ จานที่อยู่ภายในมือของพวกเขา เป็นอาหารอันโอชะมากมายหลากหลาย
อานกั๋วกล่าวว่า “ผู้นำฉิน อันที่จริงพวกเรามากันตั้งนานแล้ว และได้รู้ว่าคุณและภรรยาวิ่งรอบไปทั่วมาหลายวัน แล้วกำลังพักผ่อนอยู่ พวกเราจึงไม่กล้าที่จะไปรบกวน”
“ที่ไปเรียกพ่อครัวมาทำอาหารให้ในบ้าน พร้อมทั้งเตรียมอาหารค่ำที่ริมทะเลสาบ ต่างก็เป็นความใส่ใจของหรูยู่ที่เป็นคนคิดขึ้นมา”
“เป็นอย่างไรบ้าง คุณคงจะไม่ว่าพวกเราที่เป็นแขกแย่งบทบาทของเจ้าภาพหรอกใช่หรือไม่?”
หยางยู่หลันสวมชุดทางการที่เธอไม่ได้ใส่มานานมากแล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
“ฉินเทียน เถ้าแก่เหล่านี้เกรงใจมากเกินไปแล้ว พอมาถึงที่บ้าน ก็ยังเชิญพ่อครัวมาด้วยตัวเองอีก”
“แม่เลยทำได้แต่เรื่องที่ไม่สุภาพเท่านั้นแล้ว”
“ไปเรียกซูซูออกมาเถอะ เย็นวันนี้ ให้เจ้าภาพอย่างพวกเรา ได้เพลิดเพลินกับการต้อนรับแขกสักหน่อย”
ไม่ทันได้รอให้ฉินเทียนได้พูดอะไร ภายในวิลล่าที่อยู่ด้านหลัง ก็มีเสียงของซูซูดังขึ้นมา
“หรูยู่ ผู้เฒ่าอาน พวกคุณมาที่นี่กันหมดเลย!”
“ต้อนรับทุกคนได้ไม่ดีแล้ว”
“ระวังด้วย!”หลิวหรูยู่ส่งเสียงกระซิบ และรีบร้อนเดินเข้าไปหา จากนั้นก็ประคองซูซูเอาไว้
ฉินเทียนซาบซึ้งใจมาก เขารู้ว่า ผู้คนเหล่านี้ต่างก็มาเยี่ยมตัวเองทั้งนั้น
ด้วยความกระตือรือร้นภายในใจ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังแล้วกล่าวว่า “ตกลง!”
“คืนนี้ พวกเรามาร่วมรับประทานอาหารค่ำกันเถอะ ไม่เมาไม่กลับ! ”
“เหลิ่งเฟิง เหลยเป้า เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงอีก ฉันรู้ว่าทุกวันที่ผ่านมานี้พวกนายก็ลำบากมากเหมือนกัน”
“ไปเรียกพวกคำสาปสวรรค์มาด้วย พวกนายและพวกพี่น้อง ก็ให้มาเข้าร่วมด้วยกันเถอะ”
พูดตามราง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะโกรธมาก แต่ทว่า เรื่องความเป็นพี่น้องกันมายาวนาน ก็ยากที่จะทำลายลงได้
ที่พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม และยิงปืนขึ้นไปบนฟ้า ก็เพียงเพื่อที่จะข่มขู่พวกเขาสักหน่อย และหมายความว่าให้หลังจากนี้พวกเขาระมัดระวังมากขึ้นกว่านี้
เหลิ่งเฟิงและเหลยเป้ารู้สึกตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตา และรีบร้อนขับรถไปด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไปรับองค์กรคำสาปสวรรค์ที่อยู่สวนสัตว์ร้ายนอกเมือง
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เถียหนิงซวง ผู้เฒ่าหม่าและคนอื่นๆ ต่างก็มากันทั้งหมดแล้ว
ในวันนี้พวกเขา ต่างก็ได้ฟื้นฟูกันไม่น้อยแล้ว อดกลั้นมานานขนาดนี้แล้ว ดวงตาของทุกคนต่างก็เป็นประกายราวกับดวงดาว ดูราวกับว่าพลังภายในร่างกายจะไม่มีที่สิ้นสุด และคล้ายกับจะอดหาเรื่องจะทะเลาะกับคนอื่นไม่ไหวแล้ว
โดยเฉพาะถงชวนและเถียปี้ ราวกับได้รับความห่วงใยเหมือนกับลูกวัวอย่างไรอย่างนั้น
ฉานเจี้ยนก็มาแล้วเช่นกัน เขาและชุยหมิง ผีหวูฉาง รวมไปถึงเสื่อเปื้อนเลือดอย่างชิงเฉินขององค์กรฮุยกุยตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ไปนั่งอยู่เพียงลำพังที่โต๊ะริมสุดตัวหนึ่ง
เรื่องที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดในโลกนี้ น่าจะหลังจากที่พ้นภัยพิบัติมาได้แล้ว ยังคงมีพี่น้องอยู่ ได้ประสบการณ์เวียนว่ายตายเกิดมาแล้ว แล้วยังสามารถอยู่กับคนที่รัก และได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขกับญาติพี่น้องและมิตรสหาย
งานเลี้ยงอันมโหฬาร กับแขกที่มีความสุข
เมื่อดื่มเหล้าจนเริ่มเมา ทันใดนั้นก็มีคนเสนอว่า : เหตุใดไม่เชิญนักแสดงใหญ่ของพวกเรามาร้องเพลงสักเพียงให้ทุกคนฟังเสียหน่อย
ทันทีที่คำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็พากันโหร้องตอบรับ
ทุกคนต่างเริ่มปรบมืออย่างคึกคัก ถงชวน เถียปี้ เหลยเป้าและเหลิ่งเฟิงพวกผู้ชายหยาบคายเหล่านี้ ปกติแล้วต่างก็เป็นแฟนคลับของหลิวหรูยู่
ในวันนี้ไม่เพียงแต่ได้ดื่มเหล้ากับดาราใหญ่อย่างใกล้ชิดเท่านั้น ยังสามารถได้ชอบการแสดงสด ทุกคนต่างตื่นเต้นจนหน้าแดงระเรื่อ และสั่นระริกไปทั่วทั้งตัว
หลิวหรูยู่ก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อยเช่นกัน ในขณะนี้สายตาที่งดงามราวน้ำค้างฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้าวิจิตรงดงามเป็นยิ่งนัก อีกทั้งสดใสราวกับดอกท้อ
ภายใต้เสียงเรียกร้องที่ไม่รู้จบของทุกคน เธอก็ยืนขึ้นมาอย่างงดงามแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนกระตือรือร้นมากขนาดนี้ และวันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงรับที่มงคลของเจ้าสหพันธ์ฉินและภรรยา เช่นนั้นฉันก็คงต้องขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยสักหน่อยแล้ว”
เธอหยิบไมโครโฟนที่เจ้าหน้าที่มอบมาให้ และเดินไปบนศาลากลางทะเลสาบ
เมื่อเสียงเพลงที่ไพเราะดังขึ้น เสียงร้องหวาดหยดย้อยก็เริ่มต้นขึ้น เพลงคืนจันทร์งามริมน้ำฉางเจียง พร้อมกับการเต้นรําแบบสบาย ๆ กับท่าเต้นที่สวยงามและมีเสน่ห์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ทุกคนต่างก็ได้เปิดหูเปิดตาไปด้วย
ในเวลานี้ แสงจันทร์บนท้องฟ้ากำลังสะท้อนอยู่ในทะเลสาบ
ดังคำกล่าวที่ว่า พระจันทร์บนฟ้าก็คือพระจันทร์ในน้ำ รวมกับคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือคนที่รัก
ช่างเหมาะสมกับโอกาสของคืนจันทร์งามริมน้ำฉางเจียงในฤดูใบไม้ผลิเสียจริง ทุกคนต่างก็กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในจินตภาพ ต่างก็มีความสุขในชีวิต แต่ก็เป็นเพียงเท่านี้แล้ว
ดวงตาที่งดงามของหลิวหรูยู่ไหลวน ดูเหมือนกับหยาดน้ำค้างของสายฝน ที่จริงแล้วทุกครั้ง ต่างก็โฟกัสไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของฉินเทียนเสมอ
ในส่วนนี้ ภายในใจของฉินเทียนก็เข้าใจเป็นอย่างดี
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างดาราใหญ่คนนี้ก่อนหน้านี้ และไม่รู้ว่าเป็นผลจากแอลกอฮอล์หรือไม่ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะร้อนขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งค่อนข้างวุ่นวายใจอีกด้วย
ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นเพื่อทำให้สร่างเมา ก็ได้ยินเสียงจากโต๊ะด้านข้างโต๊ะหนึ่ง เขาได้ยินเสียงของหม่าเซวี่ยร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
“พี่สาว พี่เป็นอะไรไป?”
“รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า!”
“พี่ รีบมาเร็วเขาสิ! พี่สาวเป็นลมไปแล้ว!”
อะไรนะ?
ฉินเทียนรู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาด เขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และทุกคนที่อยู่ในอารมณ์เคลิ้มและกำลังจะมึนเมาก็สร่างขึ้นมาทันที เขารีบร้อนเข้าไปหา แล้วเห็นเพียงแค่ตาทั้งสองของซูซูปิดอยู่ ใบหน้าขาวซีด และหมดสติอยู่ภายในอ้อมกอดของหม่าเซวี่ยแล้ว
และสีหน้าของหม่าเซวี่ยก็ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
“ซูซู!”
เขาร้องขึ้นมาอย่างตกใจ และพุ่งตัวไปทันที
หากเกิดเรื่องโชคร้ายขึ้น คงทำให้สถานที่แห่งนี้วุ่นวายเป็นอย่างมาก และไม่มีใครชื่นชมการร้องเพลงของหลิวหรูยู่อีกแล้ว แล้วพวกเขาทั้งหมดรีบไปยังสถานที่ที่เกิดเหตุทันที
สีหน้าของหลิวหรูยู่เปลี่ยสี เธอรีบยกกระโปรงแล้วรีบพุ่งตัวไปทันที
“ฉินเทียน เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่อยากนั้นไปส่งที่โรงพยาบาลกันเถอะ?”หยางยู่หลันมองไปที่ฉินเทียน แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างกังวล
ในตอนนี้ ฉินเทียนได้อุ้มซูซูไว้ในอ้อมแขน และกำลังวัดชีพจรของเธอ ด้วยสีหน้าที่จริงจังมากของเขา
ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น และต่างก็เฝ้ารอผลด้วยความกังวลใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเทียนก็เปิดปากกล่าวขึ้น
“ถึงแม้ว่าชีพจรจะอ่อนแอเล็กน้อย แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นปกติอยู่ น่าจะมีปัญหาไม่มาก”
“บางทีอาจจะเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไปวิ่งมาในช่วงหลายวันมานี้ ซูซูอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้ว่าจะวิตกกังวล แต่เธอก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย”
“ต้องเหนื่อยสะสมมาตลอดจนถึงตอนนี้มันจึงได้ปะทุอย่างนี้”
“แม่ครับ เดี๋ยวผมพาเธอกลับไปเอง แล้วฝังเข็มให้เธอจะรอบหนึ่งเถอะ”
“ผู้เฒ่าอาน ฝากคุณต้อนรับทุกคนแทนผมด้วย ผมดูแลได้ไม่ดีพอ โปรอภัยด้วย”
หลังจากที่ฉินเทียนอธิบายอย่างรีบร้อน ก็อุ้มซุซุ และรีบกลับไปที่วิลล่าอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปในห้อง เขาก็ปิดประตูลง เพราะไม่อยากให้มีใครมารบกวน
เนื่องจากว่าถึงแม้จะดูจากชีพจรแล้ว ซูซูยังถือได้ว่าปกติดีอยู่ แต่ทว่าฉินเทียนมักจะซ่อนความกังวลใจไว้เสมอ
เมื่อคิดไปถึงตอนอยู่เมืองฉิน เขาชอบที่จะนึกถึงท่าทางครั้งสุดท้ายที่เห็นฉินฉีเจอกับซูซู ฉินเทียนมักรู้สึกว่า จะต้องมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นแน่
เขารู้สึกว่า เป็นไปได้มากที่ตัวเองจะต้องใช้กุ่ยเหมินสิบสามเข็ม
หลังจากที่ตรวจสอบอีกรอบแล้ว ฉินเทียนก็ถอดเข็มขัดออก เข็มขัดหนังสีดำเส้นนี้ มีความกว้างกว่าเข็มขัดปกติประมาณหนึ่งนิ้ว เมื่อเปิดออก ข้างในก็มีอีกโลกหนึ่งอยู่
รูเล็กน้อยที่ละเอียดแถวหนึ่ง ถูกเสียบไว้ด้วยเข็มละเอียดสีดำสั้นยาวอยู่เต็มไปหมด
บางทีก็เป็นเหมือนกับขนของวัว หากไม่มองให้ละเอียด แม้แต่มองก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร
แต่สำหรับทั้งตัวเข็มแล้ว พวกเข็มเหล่านี้ไม่ได้ยาวมากนัก และเมื่อเทียบกับเข็มเงินที่นักฝังเข็มชาวจีนใช้กันในท้องตลาด ก็ยาวได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
เข็มยิ่งสั้น ยิ่งละเอียด ความต้องการของผู้ทำการฝังเข็มนั้น ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
สีหน้าของฉินเทียนจริงจังเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้กุ่ยเหมินสิบสามเข็มแล้ว และเขาก็สามารถฝังเข็มได้โดยที่หลับตาได้อยู่
แต่คนที่เคยได้ใช้เข็มชุดนี้ฝังเข็ม รวมถึงบุคคลสำคัญระดับโลกแล้ว ก็มีอยู่มากทีเดียว
แต่ทว่าในตอนนี้ไม่เหมือนกัน
ตอนนี้คนที่เขาต้องการจะช่วยเหลือ คือผู้หญิงของเขา และลูกของเขาที่อยู่ในท้องของผู้หญิงของเขาด้วย
ผู้หญิงและเด็กคนนี้ คือโลกทั้งใบของเขา เป็นดวงประทีปที่คอยส่องแสงให้ชีวิตของเขา