บัญชามังกรเดือด - บทที่ 874 ภัตตาคาร
บัญชามังกรเดือด บทที่ 874 ภัตตาคาร
“ฉินเทียน ลูกพูดความจริงกับแม่ ซูซูเธอไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหม?”
“ช่วงนี้ผมมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ราวกับว่าซูซูจะต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างน่ะครับ”
“แม่เป็นคนที่เคยผ่านมาก่อน รู้ว่าถึงแม้การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วพวกเรายังดูแลเธออย่างระมัดระวังขนาดนั้น อีกทั้งยังให้เธอได้กินอาหารที่ดี ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เธอควรที่จะต้องเปล่งปลั่ง และใบหน้าต้องมีเลือดฝาดถึงจะถูกสิ”
“ฉินเทียน ลูกว่า สาเหตุที่เกิดเรื่องขึ้นกับเธอคืออะไร?”
หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว หยางยู่หลันห็มองไปที่ฉินเทียน แล้วถามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “วางใจถึงครับแม่”
“ถึงแม้ว่าในขณะนี้ซูซูจะอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง แต่ผมก็เป็นถึงหมอเทวดา ที่แม้แต่อาการป่วยของอานกั๋วผมยังสามารถที่จะรักษาให้หายดีได้ หรือจะรักษาเมียตัวเองไม่ได้เลยอย่างนั้นเชียวหรือ?”
“พรุ่งนี้เราจะไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดดูก่อน หลังจากนั้นผมค่อยมาเตรียมสูตรยาบำรุงร่างกายให้กับเธอ”
“นั่นก็ถูก”สีหน้าของหยางยู่หลันเริ่มมีความสุขขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “เรื่องอานกั๋วแม่ไม่รู้หรอก แต่ในตอนแรกที่ซูซูเป็นอัมพาตจนต้องนั่งบนรถเข็น และเหม่อลอย ทำให้หมอหลายคนต่างก็วินิจฉัยว่าจะต้องตายแน่นอน”
“แต่ทว่าลูกกลับสามารถรักษาเธอให้หายได้”
“ครั้งนี้ แม่ก็เชื่อว่าลูกจะไม่ปล่อยให้เธอเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่นอน”
ฉินเทียนกลับมาที่ห้องด้วยความกังวลใจ และเขาก็ไม่ได้บอกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงต่อซูซูด้วย แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องไปตรวจครรภ์ตามกำหนด วันรุ่งขึ้น เขาจึงพาเธอไปที่โรงพยาบาล
หลังจากที่เอาเลือดบางส่วนไปตรวจ ในห้องทำงานของหมอที่รับผิดชอบในการรักษา ฉินเทียนขมวดคิ้วขณะที่นั่งดูผลลัพธ์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตามผลลัพธ์ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า ตัวบ่งชี้ต่าง ๆ ของซูซูนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำทั้งหมด
สีหน้าของหมอผู้รับผิดชอบในการรักษาจริงจังมาก และกล่าวได้ว่าไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
และกล่าวได้อย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ซูซูไม่ได้ถือว่าป่วยอยู่ แต่ทว่าพลังงานและจิตวิญญาณของทั้งร่างกายสูญหายไป และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ก็เสื่อมโทรมลงเช่นกัน
อวัยวะล้มเหลว สมรรถนะเสื่อมโทรมเหรอ?
ทันใดนั้นคำเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นมาในหัว และแม้แต่ตัวเองก็ยังต้องตกใจขึ้นมา
“ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน การแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้ คุณฉิน ผมขอแนะนำว่าให้คุณหาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนเถอะ”
“แม้การแพทย์แผนจีนจะได้ผลช้า แต่ก็สามารถที่จะปรับสภาพทุกด้านได้ ซึ่งน่าจะเห็นผลที่ดีมากกว่า”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนเหรอ? นี่มันไม่จำเป็นต้องออกไปหาจากคนภายนอก เกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าเรียกว่าอันดับหนึ่งแล้ว
หลังจากที่กําหนดทิศทางการรักษาเรียบร้อยแล้ว ฉินเทียนก็พาซูซูกลับไปที่บ้าน และเริ่มค้นคว้าสูตรยา
กระบวนการนี้ ต้องกินเวลาไปเป็นสิบวัน
ไม่กี่วันต่อมา อาจจะเป็นผลของฤทธิ์ยา ทำให้สีหน้าของซูซูดูมีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ทว่าหลังจากที่ผ่านไปสิบวัน ก็ลดดิ่งลงไปอีกครั้ง ใบหน้าเล็กเหลืองซีด ดวงตาทั้งคู่เหมอลอย เมื่อไม่มีเรื่องอะไรก็จะหาวและอยากจะนอน
ฉินเทียนถูกบีบให้ไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงแต่ต้องกุ่ยเหมินสิบสามเข็ม และฝังเข็มแบบเข็มผีตู้ชีให้กับเธอ
เมื่อตอนแรกเริ่ม จะฝังเข็มให้สัปดาห์ละครั้ง แต่ต่อมา จำเป็นต้องฝังให้ทุกๆห้าวัน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนต่อมา ไม่คาดคิดเลยว่าต้องฝังให้ทุกๆสามวัน
ฉินเทียนตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ก็กระวนกระวายใจจนน้ำตาแทบจะไหล นี่เป็นอาการที่แปลกประหลาดที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน นี่ก็เป็นครั้งแรกของเขาเหมือนกัน และรู้สึกว่ากุ่ยเหมินสิบสามเข็มต่างก็ไร้ประโยชน์เสียแล้ว
เมื่อเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น เป็นไปได้มากว่าจะไม่สามารถรักษาซูซูไว้ได้
นี่มันจะดีได้อย่างไร!
ตอนเย็นพลบค่ำตอนเย็นวันนี้ ฉินเทียนเดินเล่นอยู่ในอุทยานมังกรเพียงลำพัง คิ้วของเขาขมวดแน่น หน้าตาบูดบึ้ง เนื่องจากที่สองสามวันนี้ต้องดูแลซูซู เขาจึงดูผอมลงไปมากเลยทีเดียว
ในเวลานี้ เหลิ่งเฟิงรีบร้อนมารายงาน ว่านอกประตูมีชายชรามาคนหนึ่ง และประกาศตัวเองว่าเป็นแขกมาจากตะวันตก ต้องการที่จะมาพบนายน้อย
แขกที่มาจากทิศตะวันตก อยากจะพบนายน้อยอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าของฉินเทียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฉันกับตระกูลฉินไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันแล้ว พวกเขายังจะมาทำอะไรอีก?”
“ไม่พบ!”
ในช่วงเวลาที่เขาจิตใจว้าวุ่นเช่นนี้ จะเอาเวลาว่างที่ไหนไปสนใจเรื่องแตกหักในตระกูลเหล่านั้น
หลังจากที่เหลิ่งเฟิงไปได้ไม่นาน ก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “พี่เทียน ชายชราคนนี้บอกว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนายหญิงและเด็กที่อยู่ในท้อง พี่ยังไม่พบอยู่หรือไม่?”
“นายพูดว่าอะไรนะ?” ฉินเทียนผงะไปครู่หนึ่ง และมีปฏิบัติกิริยาตอบสนองกลับมา เข้ารีบพุ่งตรงไปที่ประตูในทันที
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ มีชายชราคนยืนอยู่ริมถนน ไม่คาดคิดว่าจะเป็นราชาถงจิ่ง
เมื่อมองเห็นฉินเทียน ถงจิ่งรีบร้อนทำความเคารพด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายน้อย พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
สำหรับถงจิ่ง ฉินเทียนให้เกียรติเขาเป็นพิเศษ ชายชราคนนี้ทำดีต่อเขาเสมอ
“ผู้เฒ่าถง คุณมาได้อย่างไร”
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของถงจิ่งเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา แล้วกระซิบกระซาบว่า “นายน้อย นายท่านมาแล้ว”
“เขาอยู่ที่ภัตตาคารของหัวถนน และให้ผมมาเชิญนายน้อย ไปรำลึกอดีตกันสักหน่อยครับ”
นายท่านอย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นคือฉินฉี เขาเป็น่พอของฉินเทียน!
ฉินเทียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ผมไม่มีอะไรที่ดีที่จะพูดกับเขา!”
ถงจิ่งจึงรีบพูดว่า “นายน้อยอย่าพึ่งรีบปฏิเสธ”
“นายท่านกล่าวว่า ครั้งสุดท้ายเขามองอาการของซูซูออก แต่ว่ายังหาทางแก้ไขปัญหาไม่ได้มาตลอด”
“แต่ว่าตอนนี้ หาทางได้แล้ว”
“นายพูดว่าอะไรนะ?”ฉินเทียนผงะไปครู่หนึ่ง เขาจำขึ้นมาได้ทันที ครั้งที่แล้วเขาพาซูซูไปสักการะหลุมศพแม่ที่ตายแล้วของเขาบนเขา ก็ได้พบกับพ่อของเขาฉินฉี
เมื่อตอนที่แยกจากกัน และดูเหมือนว่าฉินฉีจะค้นพบอะไรบางอย่างจากร่างกายซูซู และได้กล่าวเตือนออกมาหลายครั้ง
แต่ทว่าฉินเทียนคิดว่าเขาเสแสร้ง ดังนั้นจึงจากไปด้วยความโกรธ
ไม่คาดคิดเลยว่า ฉินฉีในเวลานั้น สามารถมองเห็นปัญหาออกแล้ว
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เหตุใดฉินฉีถึงสามารถมองอาการของซูซูออกกันล่ะ? เขาไม่ใช่หมอเสียหน่อย
ภายในใจของฉินเทียน สับสนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นายน้อย ไม่มีปมใดในโลกที่ไม่สามารถแก้ไข ยิ่งไปกว่านั้น พวกคุณเป็นพ่อลูกกันอีกด้วย”
“นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ในขณะนี้เรื่องของนายหญิงและลูกในท้องของเธอสำคัญที่สุดนะครับ”
“หรือว่าคุณห่วงเรื่องเล็กจนเสียเรื่องใหญ่อย่างนั้นเชียวหรือ?”
ฉินเทียนกัดฟัน แล้วกว่าว่า “เหลิ่งเฟิง ปกป้องดูแลบ้านให้ดี”
“ผู้เฒ่าถง นำทางไปเถอะ”
“ครับ!”ถงจิ่งดีใจเป็นล้นพ้น แล้วรีบร้อนพาฉินเทียน ออกไปด้านนอกทันที
ตรงสุดหัวมุม มีภัตตาคารขนาดเล็กแห่ง
ในขณะนี้พระอาทิตย์กำลังตกดิน เมื่อมองผ่านหน้าต่าง ก็สามารถมองเห็นโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่
เมื่อมองจากด้านข้าง เมื่อฉินเทียนเจอครั้งแรก ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไร ไม่คาดคิดว่าจอนของเขาจะขาวไปบ้างแล้ว
บนโต๊ะมีอาหารวางไว้อยู่สองอย่าง มีเหยือกเหล้าเหยือกหนึ่ง และมีแก้วเหล้าอีกสองใบ
ภายในแก้วเหล้านั้นเต็มไปด้วยเหล้า ฉินฉีไม่ได้ขยับตะเกียบ และก็ไม่ได้ดื่มเหล้า
เมื่อเขามองดูแล้ว ไม่คาดว่าจะดูไม่สบายใจเล็กน้อย ราวกับเด็กนักเรียนชั้นประถมที่ต้องเผชิญหน้ากับการสอบอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเขามองเห็นฉินเทียน และเขาก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากของเขาขยับ คิดอยากที่จะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดออกมาอย่างไร
ภายใต้ดวงอาทิตย์ตกดิน พ่อลูกทั้งสองคน ตรงข้ามหัวมุมถนน เพียงแต่ว่ามองหน้ากับเงียบ ๆ อยู่หลายนาที
ในที่สุด ฉินเทียนก็หันหัวกลับมา แล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง
“เสี่ยวเทียน——”เมื่อมองดูแล้ว สำหรับฉินเทียนสามารถมองได้ว่า ฉินฉีมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ฉินเทียนขัดจังหวะเขาโดนตรง แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พูดธุระมาเถอะ”
“ที่จริงแล้วซูซูเป็นอะไรกันแน่?”
“แล้วก็ คุณดูอาหารของเธอออกได้อย่างไรกัน?”
ฉินฉียิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเทียน พวกเราพ่อลูกกัน หรือว่าจะไม่อาจพูดคุยกันดี ๆ ได้เลยหรือ?”
“ช่วงปีที่ผ่านมานี้ พ่อผ่านเรื่องลำบากมามากเลย”
“พ่อไม่ได้ขอให้ลูกให้อภัย ขอเพียงหลังจากที่ลูกได้รู้ความจริงแล้ว ก็สามารถเลือกทางที่ถูกต้องได้”
“นั่งลงเถอะ วันนี้ พ่อจะบอกบอกความจริงกับลูก”