บัญชามังกรเดือด - บทที่ 989 งานเลี้ยงยามค่ำคืน
บัญชามังกรเดือด บทที่ 989 งานเลี้ยงยามค่ำคืน
ในอุทยานมังกร บรรดาแขกเหรื่อต่างคุยโวโอ้อวด ดื่มเหล้าไปด้วยร้องเพลงไปด้วย
“มาๆๆ เติมให้เต็ม กูล่ะไม่เชื่อว่าจะดื่มสู้ไอ้ชั่วนั่นไม่ได้!”
เหมยหงเซว่ผู้ซึ่งมีนิสัยตรงไปตรงมา ถือถ้วยใบใหญ่จะมอมหม่าหงเทาให้ล้ม
โต๊ะของพวกเขา มีฉานเจี้ยน ผีหวูฉาง หลังจง อะเปิน หม่าหงเทา ถงชวน เถียปี้และเถียหนิงซวง 9 คน
ไม่เห็นเพียงซุยหมิง
เดิมที 1 โต๊ะมี 8 ที่นั่ง แต่พวกเขาดึงดันจะนั่งเบียดกันเพื่อดวลเหล้า
โชคดีที่โต๊ะใหญ่และกว้างพอ ต่อให้นั่งกัน 9 คนก็ยังมีพื้นที่ว่าง
หม่าหงเทาที่ถูกท้าก็ยกถ้วยยืนขึ้นทันที “ได้ คอยดูว่าคืนนี้ใครจะเป็นคนมอมใครล้มก่อน!”
“พวกเราต้องตกลงกันก่อนนะว่า เดี๋ยวถ้าใครเมาก็ต้องหาวิธีกลับกันเอาเอง อย่าคิดจะให้เหล่าพี่น้องต้องแบกกลับ”
ปกติหม่าหงเทาเป็นคนไม่ค่อยพูด ถึงขั้นนับได้ว่าเป็นคนพูดไม่เก่ง
แต่ตอนนี้ดื่มเหล้าเข้าไป บวกกับรู้สึกดีใจ จึงเปลี่ยนเป็นคนพูดมากขึ้นมา
“ใช่ ใครเมาก็คิดหาวิธีกลับกันเอาเอง เราไม่รับฝากกลับ” หลังจงพูดคล้อยตามพลางหัวเราะ
แม้แต่ฉานเจี้ยนก็เปลี่ยนจากที่ปกติเป็นสุขุม “ดื่ม! ถ้าหม่าหงเถาแพ้เหมยหงเซว่ คืนนี้ก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว สวนสัตว์ร้ายของเราจะไม่เลี้ยงคนอ่อนหัด”
“ถูกต้อง ไม่เลี้ยงคนอ่อนหัด! สู้เขาพี่หม่า เอาพี่หงเซว่ให้ล้มให้ได้!” เถียหนิงซวงร่วมเชียร์ด้วย
ถงชวนกับเถียปี้หัวเราะ “สู้ๆพี่หม่า อย่าให้เสียหน้าพวกเราล่ะ!”
เสียงเชียร์จากฝูงชนกระตุ้นให้หม่าหงเทายืนขึ้นทันทีแล้วโยนถ้วยในมือจนแตก “ใช้ถ้วยมันยุ่งยากเกินไป เหมยหงเสว่ กล้าแข่งดวลไหเหล้ากับกูไหม?”
“กลัวว่านายจะทำไม่ได้น่ะสิ? ตอนที่กูดื่มเหล้า เอ็งยังเป็นแค่ไข่อยู่เลย!” เหมยหงเซว่โยนถ้วยเหล้าตาม “เอาไหเหล้ามา! กูจะดวลกับเขา!”
เหล้านารีแดงสองไหถูกยกขึ้นมาวาง เปิดผนึกดินเหนียวออก กลิ่นหอมของเหล้าก็โชยออกมา
หม่าหงเทาถือไหเหล้าด้วยมือข้างเดียว “อย่าหาว่าฉันรังแกผู้หญิงแล้วกัน ฉันจะดื่มเพื่อคำนับก่อน!”
พูดจบก็เงยหน้าขึ้นเริ่มดื่มกลืน
เหล้าชั้นดีถูกเทเข้าปากของหม่าหงเทา โดยไม่หกแม้แต่หยดเดียว
จากนั้นเหมยหงเซว่ก็หยิบเหล้า 1 ไหตาม เงยหน้าขึ้นแล้วริน “กูไม่จำเป็นต้องกลัวเอ็งๆ!”
ทั้งสองดวลดื่มแข่งกัน คนอื่นๆต่างปรบมือเชียร์ “ดี! ใครดื่มหมดก่อนคนนั้นชนะ ส่วนคนแพ้จะได้แบกกลับวิลล่า!”
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง สมาชิกในกลุ่มต่างก็ดื่มกับเหลิ่งเฟิงจนหน้าแดง
แต่กลับไม่เห็นเหลิ่งเฟิงผู้เป็นหัวหน้าทีม
ฉินเทียนกำลังส่งสายตาค้นหาท่ามกลางฝูงชน ไม่นานก็เห็นเหลิ่งเฟิงนั่งอยู่ข้างหลินเซวี่ย คีบอาหารให้เธออย่างระมัดระวัง
เด็กคนนี้ก้าวหน้าขึ้นเยอะเลยนี่!
กล้าที่จะเอาใจใส่ในพื้นที่สาธารณะแล้ว
ฉินเทียนหัวเราะด่าในใจ แล้วคีบปลาเปรี้ยวหวานให้ซูซู “ค่อยๆกิน ระวังร้อน”
หยางยู่หลันที่อยู่ด้านข้างยิ้มไม่หุบ “ถ้าต้องพูดว่าใครที่รักซูซูจริง ก็ต้องเป็นลูกเขยแสนดีของฉัน ซึ่งเขามีความสามารถมากกว่าแม่อย่างฉันอีก”
“แม่ แม่ก็ได้แต่หัวเราะหนู” ซูซูถูกทำให้หัวเราะจนหน้าแดง เอ่ยขอร้องให้หยางยู่หลันพอด้วยเสียงแผ่วเบา “แม่นั่นแหละ ควรจะสนใจเรื่องหม่าเซวี่ยมากกว่านี้เถอะ”
หม่าเซวี่ยที่กำลังก้มหน้าแกะกุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อก็มองไปที่ซูซูด้วยความงุนงง “พี่ซูซู อยู่ดีๆทำไมจู่ๆถึงพูดถึงฉันได้ล่ะ?”
“ฉันน่ะ อยากให้แม่สนใจเธอมากกว่านี้ เพราะยังไงเธอก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ควรจะกำหนดได้แล้ว”
ทันทีที่ซูซูพูดจบ ฉินเทียนก็ดึงแขนเสื้อเบาๆ
ตอนนั้นเองเธอถึงตัวรู้ว่าพูดผิดไป ในตอนนั้นหม่าเซวี่ยติดตามหม่าหงเทาไปทุกที่ ไม่ทันระวังจึงถูกลูกคนรวยรังแกจึงส่งผลให้เป็นออทิสติก
ต่อมาถึงแม้จะมีหยางยู่หลันคอยดูแล ทำให้เธอมีชีวิตชีวา ช่างพูดขึ้นมาก แต่ก็ยังเลี่ยงหลีกหนีจากอดีต
“ขอโทษนะเสี่ยวเซวี่ย พี่ดื่มมากไปหน่อย จึงพูดผิดไป อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ!”
ขณะที่ซูซูกำลังขอโทษ หม่าเซวี่ยกลับยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่ซูซู พี่ไม่ต้องระวังขนาดนั้นหรอก ฉันได้ก้าวออกมาจากเงามืดในตอนนั้นแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดไม่ตก จมอยู่กับการเข้าใจผิดด้วยการโทษตัวเอง ต่อมาหลังจากได้อยู่กับพวกพี่ ฉันก็เข้าใจว่าฉันไม่ควรติดจมอยู่กับอดีตไม่ยอมก้าวออกมา”
“ชีวิตคนเราขึ้นๆลงๆ ยากที่จะหลีกเลี่ยงอุปสรรค ฉันควรละทิ้งอดีต พยายามที่จะมองไปข้างหน้า”
“ความทรงจำที่น่ากลัวเหล่านั้น ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะยังส่งผลต่ออารมณ์ของฉัน แต่ฉันพยายามที่จะลืมมัน ต้อนรับชีวิตใหม่”
“เยี่ยม! สิ่งที่เซวี่ยเอ๋อร์พูดนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ!” หยางยู่หลันปรบมือคนแรก “คนเราไม่ควรจมอยู่กับอดีต แต่ควรมองไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ!”
“ใช่เสี่ยวเซวี่ย พี่ดีใจจริงๆที่เธอคิดแบบนี้ได้” ซูซูชมอย่างจริงใจ “มา เพื่อฉลองการเปลี่ยนแปลงของเธอ พี่จะดื่มให้เธอหนึ่งแก้ว”
ฉินเทียนพยักหน้าตาม แล้วรินไวน์ผลไม้หมักที่มีแอลกอฮอล์ต่ำให้แต่ละคน “ดื่ม ไวน์แก้วนี้จะต้องดื่ม เสี่ยวเซวี่ยโตขึ้นแล้ว ไม่เลวเลย ดีมาก”
หม่าเซวี่ยไม่คิดว่าคำพูดไม่กี่ประโยคพูดตามความรู้สึกจะทำให้ทุกคนปรบมือชม ใบหน้าเธอแดงขึ้นในทันที
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้เขินอายอีก เธอหยิบแก้วไวน์ผลไม้สีแดงอ่อนตรงหน้าขึ้นมา เงยหน้าดื่มทีเดียวหมดแล้ว
ซูซูติดความตรงไปตรงมาของเธอ จึงหยิบแก้วขึ้นมาดื่มทีเดียวจนหมดตาม “วันนี้ฉันมีความสุขมากจริงๆ!”
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป เหมยหงเซว่กับหม่าหงเทาดื่มกันจนแทบจะกอดกันอยู่แล้ว
สมาชิกในทีมของเหลิ่งเฟิงและสมาชิกในทีมของมังกรซ่อนรูปกอดคอกัน ไม่สามารถแยกได้ว่าใครมอมเหล้าใคร
แม้แต่จ้าวเทียนเผิงผู้สุขุมก็ไม่ค่อยที่ดื่มจนเมาหน้าแดง แต่ก็ยังถือเหล้ายืนกรานดื่มให้หลินหลงให้ได้
จี้ซิงและหลิวชิงเหยาก็เอามือปิดปากมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เชียร์เสียงดัง “ดื่ม ทางที่ดีให้แลกแก้วสุรากัน”
หลินหลงเขกหัวหลิวชิงเหยาอย่างแรงดังโป๊ก “ปล่อยให้ปากเปิดออก”
หลิวชิงเหยากุมหน้าผากนอนอยู่ในอ้อมแขนของจี้ซิง “ฉันโดนทำร้าย ช่วยตีกลับให้ฉันที”
จี้ซิงรีบอุ้มเธอออกอย่างรวดเร็ว “คุณเมาแล้ว ผมจะพาคุณไปสร่างเมา”
เขาต้องบ้าน่ะสิถึงจะไปตีแม่ยายของตนเองได้!
เมื่อเห็นจี้ซิงที่หนีเตลิด ฉินเทียนก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข งานเลี้ยงวันนี้ช่างอิ่มใจจริงๆ!
ในตอนนั้นเองมีเสียงตะโกนดังอย่างรีบร้อนขึ้นที่ประตู “ฉินเทียน! ซูซู รีบช่วยฉันที!”
คนที่มาส่งเสียงสูงด้วยความรีบ แต่ก็ไม่ได้รบกวนฝูงชนที่กำลังดวลดื่ม
มีเพียงฉินเทียนเท่านั้นที่ความรู้สึกไว ได้ยินอย่างชัดเจน
เขาหันหน้ามองไปที่ประตู พบว่าคนที่ถูกกั้นอยู่ด้านนอกคือซูยู่คุน พ่อของซูเหวินเฉิง
เมื่อตอนนั้นที่ซูซูตกลงมาจากตึกกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซูยู่คุนก็ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากมาย
ต่อมาเมื่อฉินเทียนกลับมา จัดการเก็บกวาดคนตระกูลซู ซูเป่ยซานสูญเสียธุรกิจครอบครัวทั้งหมด พาทุกคนกลับสู่บ้านเกิดด้วยความสิ้นหวัง
ดึกขนาดนี้แล้ว ซูยู่คุนมาทำอะไรที่นี่?
พูดตามหลักเหตุผล ตั้งแต่เขาถูกจัดการ น่าจะเห็นฉินเทียนเป็นเหมือนงูหรือแมงป่อง ที่จะต้องหลีกหนี!
เมื่อเห็นฉินเทียนหันหน้าไปมองนอกประตู ซูซูก็มองตามไปแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ลุงรอง? ฉันดูไม่ผิด นั่นคือลุงรอง!”
“แม่คะ แม่รีบไปดูเร็ว ทำไมลุงรองถึงได้มาที่นี่ตอนนี้?”
หยางยู่หลันมองไปตามนิ้วที่ชี้ของซูซู แล้วก็ตกใจตาม
เธอมองไปที่ฉินเทียนทันที “ยังไงซะก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าพูดถึงอดีตพวกนั้นเลย เขามาดึกขนาดนี้จะต้องมีเรื่องด่วนแน่ๆ ให้เขาเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”