บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1003 ความรุ่งโรจน์
บทที่ 1003 ความรุ่งโรจน์
บทที่ 1003 ความรุ่งโรจน์
ในค่ำคืนนั้น ภายในห้องหรูหราของโถงรัศมีวิญญาณ
เฉินซีจัดงานสังสรรค์ที่หรูหราเป็นการส่วนตัว โดยเขาได้สนุกกับสิ่งนี้ไปพร้อมชิงซิ่วอี้ เฉินอวี่ และเฉินอัน ซึ่งมีเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ และเฉินซีก็ไม่ยอมให้คนอื่นมารบกวนช่วงเวลาส่วนตัวนี้
ในระหว่างงานสังสรรค์ เฉินซีดูจะกลายร่างเป็นหญิงชราจอมบงการที่กล่าววาจาไม่รู้เรื่อง และเขาก็โยนคำถามกองโตออกมาไม่จบสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น เฉินฮ่าว น้องชายของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ตระกูลเฉินเปลี่ยนไปอย่างไร ซ่งหลิน ตวนมู่เจ๋อ ตู้ชิงซี ราชาเต่าเฒ่า ราชาจิ้งจอกเก้าหางและคนอื่น ๆ สุขสบายดีหรือไม่…
มีคำถามมากมายเกินไป
แต่เฉินอวี่ก็กล่าวอย่างไหลลื่นและตรงไปตรงมาเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ เขาตอบทุกคำถามที่เฉินซีโยนใส่ ในขณะที่เฉินอันช่วยเสริมเฉินอวี่จากด้านข้างและปกปิดสิ่งที่อีกฝ่ายพลาด ในขณะที่ชิงซิ่วอี้ฟังเงียบ ๆ ที่ด้านข้าง นางชำเลืองมองเฉินซีอยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะเหลือบมองไปทางเด็กน้อยทั้งสอง ซึ่งใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข
แม้ว่าเวลานี้จะเงียบสงบและเรียบง่าย แต่มันก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่หาได้ยากสำหรับคนทั้งสี่ที่อยู่ที่นี่ และไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้แม้จะเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดินก็ตาม
เนื่องจากการได้อยู่กันพร้อมกันหน้าเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงทำให้มันมีค่ามากกว่าเดิม
บางทีเมื่อพวกเขาหวนคิดถึงวันนี้หลังจากที่ผ่านนานไปหลายปี มันก็ยังเป็นความทรงจำที่หอมหวานไม่รู้ลืม
…
รุ่งอรุณในวันรุ่งขึ้น เฉินซีที่ตื่นเต้นตลอดทั้งคืนและไม่ได้นอน ได้ใช้ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างไสว เดินออกจากโถงรัศมีวิญญาณ
พอเขากลับมาอีกที ก็มีอีกคนตามมาติด ๆ
คนผู้นั้นคือชิวอวิ๋นเซิง ในขณะนี้ เสื้อผ้าของอีกฝ่ายเรียบร้อย เรือนผมจัดทรงอย่างพิถีพิถัน และท่วงท่าก็สง่างาม ทำให้เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนผู้สูงศักดิ์ที่อยู่อย่างสุขสบาย
แต่ใบหน้าของเจ้าตัวกลับไม่น่าดูอย่างยิ่ง และอาจเรียกได้ว่าเลวร้ายมาก ใบหน้าของเขาเกือบจะบิดเป็นเกลียว อีกทั้งยังซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง ยิ่งกว่านั้น มีร่องรอยความงุนงงสับสน ราวกับเจ้าตัวได้ประสบกับเหตุไม่คาดคิดครั้งใหญ่ที่ไม่อยากจดจำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาจ้องมองไปยังเฉินซีซึ่งเดินเคียงข้าง ชิวอวิ๋นเซิงก็เป็นเหมือนหนูที่เผชิญหน้าแมว และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่สามารถระงับได้
สิ่งนี้ทำให้คนอื่นใคร่รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่ฉลาดหลักแหลมและพูดจาฉะฉาน ต้องทุกข์ทรมานจนมีสภาพเยี่ยงนี้
ทว่านอกจากท่วงท่าที่ยังคงสบาย ๆ และสง่างามของชิวอวิ๋นเซิงแล้ว ท่าทีของเขากลับเหมือนคนโง่ที่เกิดมาพร้อมกับความพิการทางสมอง
แต่ทั้งหมดนี้มีเพียงเฉินซีและชิวอวิ๋นเซิงเท่านั้นที่รู้คำตอบ
แต่ทั้งคู่ไม่ยอมกล่าวถึงเรื่องนี้ และที่เฉินซีไม่เต็มใจจะกล่าวถึงเรื่องนี้ ก็เพราะเขาเองก็รังเกียจจะกล่าวถึงมันเช่นกัน
ผิดกับชิวอวิ๋นเซิงที่ไม่เพียงไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องนี้ เขายังไม่เต็มใจที่จะไม่นึกถึงมัน เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งคืน เป็นค่ำคืนที่น่าสังเวชที่สุดเท่าที่ตัวเขาเคยประสบมา และคำว่า ‘การมีชีวิตอยู่ที่แย่ยิ่งกว่าตายนั้น’ ไม่เพียงพอที่จะบรรยายถึงเศษเสี้ยวของมันได้!
เขาหวาดกลัว กลัวไปหมด ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะจากไปทันที และไม่ต้องการเห็นหน้าเฉินซีตลอดชั่วชีวิตนี้
เพราะเฉินซีเป็นดั่งปีศาจร้ายไร้หัวใจ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชิวอวิ๋นเซิงจึงอดไม่ได้ที่จะเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขามีทั้งพรสวรรค์ มีสติปัญญาที่ล้ำเลิศ และความสามารถในการวางแผนที่ละเอียดถี่ถ้วนอย่างไม่มีใครเทียบได้ แต่กลับต้องมาเผชิญกับผลลัพธ์เช่นนี้น่ะหรือ? …นับว่าสวรรค์ตามืดบอดโดยแท้
“ท่านเซียนลึกลับผู้สูงส่ง เมื่อคืนท่านไปที่ใดมาหรือ” ในขณะเดียวกัน เฉินอวี่สังเกตเห็นชิวอวิ๋นเซิงที่เดินเข้าไปในห้องโถง และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวหยอกล้ออีกฝ่าย
ชิวอวิ๋นเซิงตัวสั่นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และร่างของเขาก็สั่นเทา ขณะที่ใบหน้าเผยให้เห็นความหดหู่
“ข้ายอมรับแล้วว่าเจ้าเหนือกว่า ดังนั้นอย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีกในอนาคตได้หรือไม่” ชิวอวิ๋นเซิงมองไปทางเฉินซีด้วยท่าทางอ้อนวอน ในขณะที่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“นั่นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเจ้า” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
ชิวอวิ๋นเซิงรู้สึกปลอดโปร่ง และกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ถ้าข้าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แล้วเจ้าตั้งใจจะปล่อยข้าไปเมื่อใด”
เฉินซีกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับข้าหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไปเมื่อข้าเอาชนะตระกูลจั่วชิว และแก้แค้นให้กับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของภพเซียนแล้ว ตกลงหรือไม่?”
ชิวอวิ๋นเซิงดูราวกับถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจังเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดทันที
“ตระกูลจั่วชิว?”
“แก้แค้นให้กับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง?”
“นี่เขาตั้งใจจะทรมานข้าไปชั่วนิรันดร์!”
ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับจากภพเซียน ไม่ว่าจะโง่เขลาเพียงใด เขาก็ทราบดีว่ากองกำลังเหล่านั้นน่ากลัวเพียงใด และการคิดที่จะล้มล้างหนึ่งในนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ตอนนี้เฉินซีกลับกล่าวจริง ๆ ว่าจะปล่อยชิวอวิ๋นเซิงไป เมื่อเขาจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว!
“นี่…นี่…นี่…” ชิวอวิ๋นเซิงไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกของเขาในขณะนี้ได้ และรู้สึกอยากร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมา
“อันใดกัน? หรือว่าเจ้าทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น…” เฉินซีชำเลืองมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเฉยเมย
เสียงของชายหนุ่มยังไม่ทันเลือนหายไปในอากาศ ชิวอวิ๋นเซิงก็ตีหน้าขรึมและกล่าวขัดจังหวะเขาว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
น้ำเสียงของเขาแน่วแน่ ในขณะที่สีหน้าเผยความหนักแน่น แต่ในใจกลับวิตกกังวลแทน
มันช่วยไม่ได้ ถ้าเขาต้องการมีชีวิตอยู่ แม้จะถูกขอให้ปีนภูเขาดาบและกระโดดลงไปในทะเลเพลิง เขาก็ทำได้เพียงรวบรวมความกล้าเพื่อตกลง
“นี่เป็นสิ่งที่ผู้กล้าที่แท้จริงควรกระทำ!”
เฉินซีตบบ่าของชิวอวิ๋นเซิงแล้วกล่าวว่า “อย่าได้มองโลกในแง่ร้ายนัก เจ้าลองคิดอย่างนี้ดู สักวันหนึ่ง ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจเทียมฟ้ากับกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ในภพเซียนจะถูกโค่นล้มด้วยกลยุทธ์และแผนการที่มากมายของเจ้า ซึ่งนอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่สามารถสัมผัสได้ถึงความสำเร็จแบบนั้น?”
ชิวอวิ๋นเซิงจ้องมองเฉินซีอย่างว่างเปล่า ขณะที่เขากล่าวว่า “ฟังดูไม่เลวเลยจริง ๆ”
เฉินซีหัวเราะดังสนั่น “มันไม่ใช่แค่ไม่เลวเท่านั้น เมื่อวันนั้นมาถึง มันจะเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ในชีวิตของเจ้าอย่างแน่นอน”
ชิวอวิ๋นเซิงจับจ้องเฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนเขาจะกล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม้ข้าจะรู้ดีว่าเจ้ากำลังหลอกและกลั่นแกล้งข้า แต่ความปรารถนาของข้าก็พลุ่งพล่านจริง ๆ มันเหมือนกับช่วงเวลาที่ข้ายังเป็นหนุ่มน้อยบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสาและโง่เขลา ราวกับข้าได้ค้นพบเป้าหมายในชีวิตของข้าแล้ว”
“งั้นก็ตั้งใจทำงานซะ” เฉินซีตบไหล่อีกฝ่าย พลางคิดบางอย่างในใจ ‘ช่วงเวลาที่ยังเป็นหนุ่มน้อยบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสาและโง่เขลา? เจ้ายังกล้ากล่าวเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? เจ้าช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน’
เมื่อกล่าวถึงคนประเภทนี้ที่เต็มไปด้วยการโกหกและเล่ห์เหลี่ยม… ก็เห็นมีแต่ต้องเชื่อในการกระทำเท่านั้น อย่าได้เชื่อในคำพูด มิฉะนั้นอาจถูกหลอกลวงได้!
ชิวอวิ๋นเซิงดูจะจมอยู่กับการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งแทน เขาจึงหยุดกล่าว ขณะที่มีเพียงแววตาของเขาเท่านั้นที่รู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย พร้อมกับท่าทางที่บ้าคลั่งและตื่นเต้น
…
มีเมฆขาวมากมายลอยเหมือนปุยฝ้ายบนท้องฟ้าสีคราม
เรือเหาะสมบัติถูกคลื่นอากาศซัดเข้าหา ขณะที่มุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
บนเรือเหาะสมบัติ ชิงซิ่วอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนางจะถามในที่สุด “เจ้าตั้งใจจะใช้ชายคนนั้นหรือ?”
เฉินซีมองไปทางชิวอวิ๋นเซิง ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่มุมหนึ่งบนเรือ ในขณะที่กำลังคิดอย่างหนักพร้อมกับขมวดคิ้ว จากนั้นเฉินซีก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกองกำลังของศัตรูเหล่านั้นในภพเซียน แต่ข้าตระหนักดีว่าการโค่นล้มพวกมันโดยอาศัยความแข็งแกร่งของข้าเพียงอย่างเดียวยังเป็นเรื่องยากอยู่”
“เจ้าคิดจะสร้างกองกำลังของตนเองหรือ?” ชิงซิ่วอี้ดูเหมือนจะหลงในห้วงความคิด ในขณะที่นางกล่าวว่า “นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว ความแข็งแกร่งของคนเราย่อมมีขีดจำกัดในที่สุด การจัดการศัตรูคนเดียวเป็นเรื่องง่าย แต่มันยากมากที่จะทำลายกองกำลังขนาดใหญ่ให้ราบคาบ”
เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวพึมพำ “ตอนนี้ข้าเพิ่งคิดได้เท่านี้ ส่วนวิธีการนำไปใช้นั้นล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในภพเซียน”
“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ชิงซิ่วอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้ารู้อยู่แล้ว” เฉินซีเพียงยิ้มบางออกมา
“ชายคนนั้นถูกข้าควบคุมเพียงชั่วคราวผ่านข้อกำจัด ในเมื่อตั้งใจจะใช้เขา เราจึงต้องกำจัดต้นตอแห่งปัญหาทั้งหมดในอนาคต” จู่ ๆ ชิงซิ่วอี้ก็หันขวับกลับมา จากนั้นก็เดินไปหาชิวอวิ๋นเซิง
เฉินซีตกตะลึง แต่เขาก็ไม่ได้หยุดนาง
ชิวอวิ๋นเซิงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ซึ่งด้วยพลังในปัจจุบันของเฉินซี เขาจึงมิอาจควบคุมชิวอวิ๋นเซิงได้อย่างเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ ชิวอวิ๋นเซิงยังมีสติปัญญาที่น่าทึ่งและฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างมาก บางทีอาจต้องใช้วิธีการที่ทรงพลังบางอย่าง จึงจะทำชิวอวิ๋นเซิงภักดีต่อเฉินซีได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นไม่นาน ชิงซิ่วอี้ก็เดินเข้ามาและกล่าวว่า “ชายคนนั้นเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมอย่างแท้จริง และเขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในภายภาคหน้าหากเขาไม่สามารถฆ่าข้าได้ เขาก็จะไม่กล้าทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเจ้าอย่างแน่นอน”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของเฉินซี เขาไม่กล่าวอะไรเพียงแต่เอื้อมมือไปจับนางไว้
ร่างของชิงซิ่วอี้แข็งทื่อ นางมองไปยังชายหนุ่ม ก่อนจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
มือใหญ่นี้อบอุ่นมาก…
…
สามชั่วยามต่อมา
นิกายกระบี่เก้าเรืองรองอยู่ไกลออกไปในระยะสายตาของพวกเขา
เฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติ แล้วบินไปที่ประตูทางเข้าพร้อมกับชิงซิ่วอี้ เฉินอวี่ และเฉินอัน
เขาจากไปตัวคนเดียวในวันนั้น
ทว่าตอนนี้เขากลับมาพร้อมกับภรรยาและบุตรชาย และการเปลี่ยนแปลงของชีวิตก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้จริง ๆ
“เอ๊ะ นั่นมัน”
“นั่น…นั่น…นั่นคือผู้อาวุโสเฉินซี!”
“สวรรค์! ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว!”
“เร็วเข้า! รีบรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ลุงและประมุขนิกายทราบโดยด่วน!”
เมื่อเห็นร่างของเฉินซี ศิษย์ทุกคนที่เฝ้าประตูทางเข้าก็ตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็แสดงความดีใจสุดขีด ขณะที่พวกเขาเริ่มร้องออกมาเสียงดัง
ท่าทางที่ตื่นเต้นและมีความสุขของพวกเขา ดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะกลายเป็นบ้าไปแล้ว มันทำให้เฉินอวี่กับเฉินอันงุนงงเป็นอย่างมาก
“อะไรนะ!? เฉินซีกลับมาแล้วรึ?”
“ฮ่า ๆๆ! ข้ารู้ว่าเด็กคนนี้จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน!”
“บัดซบ! เหตุใดถึงเพิ่งมารายงานตอนนี้! รีบไปแจ้งผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพื่อไปทักทายเฉินซีที่ทางเข้าพร้อมกับข้า!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ภายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ระลอกเสียงโห่ร้องดังกึกก้องในทันที จากนั้นลำแสงมากมายก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงพุ่งไปยังประตูทางเข้าเป็นแถวภายใต้การนำของประมุขนิกายเวินหัวถิง
ทั่วทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในยามนี้ได้ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างสมบูรณ์ ท้องฟ้าแจ่มใสเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับแพรวพราว และเสียงหวีดหวิวที่ฟังเหมือนเสียงคำรามของมังกร มันทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบก่อนหน้านี้ ทำให้มันเริ่มเดือดพล่าน เต็มไปด้วยผู้คนที่ส่งเสียงจอแจและเสียงอึกทึกครึกโครม
ในขณะนี้ เฉินอวี่กับเฉินอันแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง และพวกเขาก็มึนงงอย่างมาก
แม้พวกเขาจะรู้ตั้งแต่ต้นว่าตอนนี้เฉินซีมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้าแล้ว และเป็นบุคคลที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น แต่เมื่อเห็นฉากที่จอแจและกว้างใหญ่นี้ต่อหน้าต่อตา หัวใจของพวกเขาก็ยังคงตกตะลึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“สักวันข้าจะเป็นเหมือนท่านลุงให้ได้!” เฉินอวี่กำหมัดแน่น ในขณะที่ใบหน้าตื่นเต้นนั้นเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่
“ข้าหวังเพียงว่าท่านพ่อจะไม่ผิดหวังในตัวข้า” เฉินอันขมวดคิ้วและกล่าวหลังจากผ่านไปนาน
ความรุ่งโรจน์และความสำเร็จนั้นถูกสร้างขึ้นโดยบิดาของเขาเอง อีกทั้งยังเป็นแรงกดดันสำหรับเขาอย่างมาก มันกระตุ้นให้เขาไม่กล้าท้อถอย และกลัวอย่างสุดซึ้งว่าจะเดินตามรอยเท้าของบิดาไม่ได้
ใช่แล้ว เขาแค่หวังว่าบิดาของเขาจะไม่ผิดหวังในตัวเขา!