บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1005 ภัยพิบัติมาถึง
บทที่ 1005 ภัยพิบัติมาถึง
บทที่ 1005 ภัยพิบัติมาถึง
ฟ้าดินถูกปกคลุมด้วยความสงบและความเคร่งขรึม
มีเพียงเสียงของเฉินซีเท่านั้นที่เหมือนกับเสียงของธรรมชาติล่องลอยไปในอากาศช้า ๆ มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันเงียบสงบที่ทำให้หัวใจสงบนิ่ง ทำให้อากาศดูจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเต๋าที่อบอวลไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ศิษย์ทั้งหมดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนจากความตื่นเต้นในตอนแรกเป็นเงียบสงบ
แม้แต่เหล่าสัตว์ร้ายบนยอดเขาจรัสตะวันตกในขณะนี้ก็นอนอย่างเงียบ ๆ อยู่บนพื้นและฟังอย่างตั้งใจ
ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่คนเดียวในระยะไกล ขณะที่นางจ้องมองไปยังร่างสูงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางแท่นบวงสรวงเต๋า ดวงตาของนางเปล่งกระกายและเอ่อล้นไปด้วยระลอกคลื่นแห่งความงดงามที่ไม่ธรรมดา
ในยุคบรรพกาลและก่อนที่ลัทธิเต๋าต่าง ๆ จะก่อตั้งขึ้น เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะถ่ายทอดความรู้ของพวกเขาโดยไม่แบ่งแยกนิกายหรือชาติกำเนิด และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสามารถฟังคำสั่งสอนที่ลึกล้ำของพวกเขาและมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับเต๋า
ในเวลานั้น เหล่าเทพอสูรต่างท่องไปทั่วโลกอย่างอิสระ ในขณะที่ปราชญ์มีจำนวนมากมายเหมือนมวลเมฆบนท้องฟ้า ซึ่งเต๋าอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และทุกนิกายต่างแข่งขันกันเอง มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและรุ่งโรจน์ที่สุดของโลกแห่งการบ่มเพาะ
น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผ่านไป โลกแห่งการบ่มเพาะเริ่มสร้างแนวทางการบ่มเพาะที่มีการแบ่งแยกอย่างเข้มงวด สถานการณ์ที่ลัทธิเต๋าเข่นฆ่ากันเองจากความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้น ทำให้เหตุการณ์ที่เต๋าถูกถ่ายทอดไปยังทุกคนไม่มีอีกต่อไป
ภาพที่ปรากฏตรงหน้านาง ทำให้ชิงซิ่วอี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมัยโบราณ อาจมีเพียงความใจกว้างดังกล่าวเท่านั้นที่จะทำให้บุคคลหนึ่งสามารถแข่งขันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในโลก และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาเต๋าในสามภพได้อย่างภาคภูมิ
นี่คือความเข้าใจของนาง
ถ้าใครยังคงยึดมั่นในความรู้ของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว คนคนนั้นก็จะมิอาจบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้
แน่นอนว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ชิงซิ่วอี้เชื่อมั่นในใจนั้น เกี่ยวข้องกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
จากมุมมองของนาง แม้ว่าตอนนี้เฉินซีจะถูกจำกัดด้วยการบ่มเพาะของเขา ทำให้ความเข้าใจของเขาถูกจำกัดไว้ที่ภพมนุษย์ แต่ตราบเท่าที่ชายหนุ่มยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ในขณะที่มีจิตใจกว้างไกลและไม่ย่อท้อ เส้นทางเต๋าของเขาก็จะทอดกว้างออกไปแน่!
…
“เต๋านั้นไม่มีชื่อที่แท้จริง แต่ผู้แข็งแกร่งเรียกมันว่าเต๋า ความลึกล้ำของเต๋ามีอยู่ในฟ้าดิน และมันสะท้อนให้เห็นในทุกสิ่งในโลก ถ้าจิตใจของคนเราปราศจากสิ่งมัวหมอง จิตใจก็จะใสกระจ่าง และเต๋าจะอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง”
“เมื่อหยินและหยางแยกออกจากกัน ฟ้าดินก็ก่อตัวขึ้น ซึ่งการถือกำเนิดของเบญจธาตุได้สร้างโลกขึ้น สายลมกับสายฟ้าได้มอบชีวิตให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่ดวงอาทิตย์สาดแสงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฤดูกาลทั้งสี่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สัจธรรมของเต๋ามีอยู่ในทุกสิ่ง”
“เคล็ดวิชาเป็นตัวแทนของเต๋า และศาสตร์เต๋า…”
เสียงที่ใสกังวานประหนึ่งระฆังยามเช้าของเขายังคงแผ่ออกไปอย่างช้า ๆ ใบหน้าของเฉินซีนั้นสงบนิ่งดุจบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น ขณะที่ร่างของเขาเปล่งกลิ่นอายอันสูงส่งและเคร่งขรึมออกมา
แม้ว่าจะเป็นการถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างสิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบพบเจอในตลอดการเดินทางสู่เต๋า และไม่อาจถือว่าได้สร้างความตกตะลึงไปทั้งใต้หล้าได้ เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าปราชญ์ในสมัยโบราณ แต่ในมุมมองของศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มันเหมือนกับว่าพวกเขาได้รู้แจ้งโดยฉับพลัน มันทำให้เหล่าศิษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมาก และสูญสิ้นความคิดในขณะที่ตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้งอย่างกะทันหันนี้
นี่เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘เต๋าและเคล็ดวิชาทั้งหมดเท่าเทียมกัน’ โดยปกติแล้ว สิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุด คือสิ่งที่เข้าถึงใจผู้คนได้โดยตรงที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่เฉินซีได้เรียนรู้คือคัมภีร์เต๋าสูงสุดและความลึกล้ำของมหาเต๋าที่บรรลุความสมบูรณ์แบบ ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมสวรรค์ คัมภีร์เต๋านิรันดร์ เคล็ดมหาจุติ และความลึกล้ำของมหาเต๋าของธาตุทั้งห้า หยินหยาง วายุ อัสนี และอื่น ๆ เป็นต้น
เขาอธิบายถึงความเข้าใจและประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ด้วยวิธีที่รวบรัดและชัดเจนที่สุด จึงไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าศิษย์ของนิกาย แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนก็ยังหมกมุ่นอยู่กับมันและไม่สามารถหยุดฟังได้
ในตอนท้าย แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนที่บ่มเพาะอย่างสันโดษก็เริ่มฟังเขา และยืนยันสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับว่าผู้เยี่ยมยุทธ์สองคนกำลังแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และพวกเขาก็ได้รับประโยชน์จากมันอย่างมาก ทำให้สามารถไขข้อสงสัยและปัญหามากมายที่ติดค้างอยู่ในใจได้
ทว่าเฉินซีดูจะไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ ในยามนี้ เขากำลังตกอยู่ในภาวะที่แปลกประหลาด จิตใจของเขาทั้งบริสุทธิ์และใสกระจ่าง ในขณะที่ความเข้าใจมากมายผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการถ่ายทอดเต๋า เป็นกระบวนการจัดระเบียบและสรุปทุกสิ่งที่เราได้ครอบครอง เพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการและคงไว้ซึ่งแก่นแท้
มันเหมือนกับการอ่าน บางคนสามารถอ่านหนังสือจนเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้ และบางคนสามารถอ่านหนังสือจนสรุปได้ ในขณะที่บางคนสามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วจึงสรุปได้
การเข้าใจอย่างลึกซึ้งคือ การหลอมรวมความรู้ทั้งหมดที่มีและอนุมานจากมัน ในขณะที่การสรุปเป็นการกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป โดยเหลือแต่สารสำคัญไว้เบื้องหลัง
กระบวนการนี้เป็นเหมือนวัฏจักรชีวิต บุคคลหนึ่งมีประสบการณ์ผ่านกาลเวลา สรุปผลได้ผลเสีย และหมกมุ่นอยู่กับความเข้าใจ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิตได้ไกลขึ้นและสูงขึ้นได้อย่างง่ายดาย
เฉินซีในยามนี้ดูจะหมกมุ่นอยู่กับการสะสมพลัง เขากำลังสรุปทุกสิ่งที่รู้สึกและเข้าใจบนเส้นทางของตน ก่อนที่จะขึ้นสู่ภพเซียนเพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์
เมื่อเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ มันจะเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับชายหนุ่ม และบทสรุปนี้จะปูทางที่กว้างขึ้นสำหรับเขา ทำให้เฉินซีก้าวเดินได้อย่างมั่นคงและราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับการเดินทางครั้งใหม่
…
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว
ในวันนี้ เฉินซีถูกแรงกระตุ้นกะทันหัน และตื่นขึ้นจากภาวะแปลกประหลาดที่เขาหมกมุ่นอยู่ ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยกับจักรวาลอันกว้างใหญ่และลึกล้ำ
สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัด ขณะที่ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองยังคงหมกมุ่นอยู่ในความเข้าใจของพวกเขา และทุกคนก็ขมวดคิ้วในขณะที่ครุ่นคิดอย่างมีสมาธิ ขณะที่บ้างก็ทำท่าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง บ้างยังคงนิ่งเหมือนขุนเขา บ้างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า
แต่แท้จริงแล้วไม่มีสักคนเดียวที่สังเกตเห็นเสียงที่คลุมเครือดุจเสียงของธรรมชาติ หรือเสียงสวดมนต์ของคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ …ที่จู่ ๆ ก็หายไป
เฉินซีไม่ได้รบกวนพวกเขาเมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มยืนขึ้นและมาถึงตรงหน้าเฉินอวี่และเฉินอันเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ปลุกเด็กน้อยทั้งสองจากการทำสมาธิ ก่อนที่จะออกจากแท่นบวงสรวงเต๋าไป
ภายในลานบ้าน ณ ริมสระชำระกระบี่
ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ คนเดียว และเมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้าได้ส่องกระทบใบหน้าที่งดงามของนาง มันก็ส่องประกายที่งดงามและเหมือนความฝัน ทำให้หญิงสาวดูเหมือนเทพธิดาที่อาบไล้ด้วยแสงสวรรค์
ดูเหมือนว่านางจะรออยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว ชิงซิ่วอี้ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นเฉินซี เฉินอัน และเฉินอวี่มาถึง “ข้ากำลังจะไปแล้ว”
เสียงของนางชัดเจนและไร้ตัวตน แต่ก็ให้ความรู้สึกเงียบสงบที่ไม่เหมือนใคร
แต่เมื่อมันกระทบหูของเฉินอัน มันกลับทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาเผยความรู้สึกไม่เต็มใจที่ไม่อาจปกปิดได้
เฉินซีตบไหล่เขาและปลอบใจด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเราจะจากกันตลอดไป และมันเป็นเพียงชั่วคราว เมื่อเจ้าและอวี่เอ๋อร์บ่มเพาะจนถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว เราจะกลับมารวมกันได้อีกครั้ง”
เฉินอันพยักหน้า ในขณะที่เขาหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
ชิงซิ่วอี้ก้าวมาข้างหน้า และยื่นมือไปลูบศีรษะของเฉินอัน จากนั้นนางก็กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าจะรอพวกเจ้าทุกคนในภพเซียน จงอย่าได้เกียจคร้านเล่า”
“อย่าได้กังวลเลยขอรับ ท่านแม่ ข้าจะต้องทำให้ได้อย่างแน่นอน” ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินอันอัดแน่นไปด้วยความแน่วแน่มุ่งมั่น
ชิงซิ่วอี้พยักหน้า ก่อนนางจะหันกลับไปมองที่เฉินซี “ข้าจะไปหาเจ้าเมื่อเจ้ามาถึงภพเซียนแล้ว”
เสียงของนางยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ เมื่อนางเปลี่ยนเป็นแสงที่พร่างพราวและเจิดจ้าอย่างยิ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งในขณะนั้นเอง แม้แต่ฟ้าดินก็เต็มด้วยไปรัศมีสีทองที่สว่างไสวไปทั่วหล้า
ฉากเหล่านี้ดูแพรวพราวและเจิดจรัสเกินไป ราวกับว่าลำแสงสีทองส่องลงมาจากสวรรค์และกำลังปกป้องนาง ยิ่งกว่านั้น คลื่นมังกรคำรามและเสียงร้องของวิหคอมตะดังก้องจากภายในนั้น มันไร้ซึ่งตัวตนและเป็นท่วงทำนองมงคล ขณะที่มันโอบล้อมบริเวณโดยรอบ
“นี่คือการขึ้นสู่สวรรค์หรือ?”
เฉินซี เฉินอวี่ และเฉินอันต่างแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า
ในวันนี้ ชิงซิ่วอี้ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่นับร้อยชาติและตัดกรรมจากชาติที่แล้วของนางจนหมดสิ้น ได้แหวกท้องฟ้าออกแล้วจากไป ในขณะที่ส่องสว่างด้วยแสงสีทองและบังเกิดท่วงทำนองมงคลลงมาจากสวรรค์ ซึ่งทำให้ทั้งโลกตกตะลึง!
ในวันนี้ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบจากต่างพิภพได้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ระหว่างที่พวกเขากำลังนำทัพต่างพิภพเข้าทำสงครามกับสิบนิกายเซียนและหกนิกายอสูร
แดนภวังค์ทมิฬตกอยู่ในความโกลาหลอย่างสมบูรณ์!
แต่ในตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเกือบเก้าร้อยปี ก่อนกลียุคของภพทั้งสามที่ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกหล้าได้ทำนายไว้
“จะแตกหักเลยหรือไม่?”
ในวันนี้ ภายในแดนภวังค์ทมิฬอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต จิตสำนึกอันน่าสะพรึงกลัวจำนวนมากที่ดูเหมือนว่าจะพุ่งขึ้นไปถึงสวรรค์ได้ปรากฏตัวพร้อมกัน ๆ ภายในสถานที่อันเงียบสงบบางแห่ง พวกมันกวาดไปทั่วโลกหล้า ก่อนจะเปล่งเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน
ในวันนี้ นิกายกระบี่เก้าเรืองรองตื่นตัวอย่างเต็มที่และค่ายกลใหญ่คุ้มนิกายได้ถูกเปิดใช้งาน ในขณะที่สามปราชญ์แห่งเก้าเรืองรองและผู้อาวุโสบางคนที่เก็บตัวฝึกฝนได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ
ในวันนี้เองที่หญิงสาวซึ่งแต่งกายเหมือนชาย ได้ร่อนลงมายังยอดเขาจรัสตะวันตก
“โอ้ เด็กน้อยสองคนนี้เป็นหลานชายของข้ากระมัง” ในลานบ้าน หลียางยิ้มขณะที่นางจ้องมองเฉินอวี่กับเฉินอันทันทีที่นางมาถึง และดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของนางก็เต็มไปด้วยความรักที่ไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
นางดึงแผ่นหยกสองชิ้นออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วโยนมันให้แก่เฉินอันกับเฉินอวี่ จากนั้นจึงกล่าวว่า “อ้อ นี่เป็นของขวัญจากอาจารย์ป้า นี่เป็นครั้งแรกที่เราพบกัน จงจำไว้ว่า อย่าได้ให้ใครเห็นสิ่งนี้เป็นอันขาด”
ขณะที่กล่าว นางไม่สามารถหักห้ามตัวเองไม่ให้เดินไปข้างหน้า และเอื้อมไปหยิกใบหน้าของเฉินอวี่และเฉินอัน ซึ่งดวงตาของนางก็เปล่งประกายสดใส เปี่ยมล้นด้วยความรักอันอ่อนโยน
เฉินอวี่กับเฉินอันตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่ทันรู้ตัวแม้แต่น้อย และแม้จะบ่มเพาะมาเกือบร้อยปี แต่คนทั้งสองก็ยังถูกหยิกแก้มเหมือนเด็ก ๆ นั่นทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย
เฉินซีตะลึงกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลียางเช่นกัน ทว่าเห็นสีหน้าเขินอายและขุ่นเคืองของเฉินอวี่กับเฉินอันเพราะถูกแกล้ง ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะโบกมือให้เด็กน้อยทั้งสองจากไป
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป สีหน้าของหลียางก็กลับมาสงบ นางจ้องมองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าได้พบกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามในยมโลกหรือไม่”
เฉินซีพยักหน้า เขาคุ้นเคยกับศิษย์พี่หญิงคนนี้ของเขามานานแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจเลย เมื่อนางกล่าวถึงจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม
“นั่นคือการดำรงอยู่ที่ไม่ธรรมดา” หลียางถอนหายใจ จากนั้นสีหน้าของนางก็จริงจังเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างได้ “แต่เจ้าไม่ควรทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบในตอนนี้”
“ข้าเข้าใจขอรับ” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นความอ่อนล้าที่ไม่สามารถปกปิดได้จาง ๆ ที่หว่างคิ้วของหลียาง ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง “ศิษย์พี่ มีเหตุใดเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ”
หลียางหัวเราะเบา ๆ “เจ้าอยากรู้หรือ?”
เฉินซีพยักหน้า
หลียางเงยหน้าขึ้น ในขณะที่ดวงตาอันเต็มไปด้วยดวงดาวของนางส่องประกาย หญิงสาวจ้องมองท้องฟ้าเป็นเวลานาน ก่อนที่จะกล่าวว่า “ภัยพิบัติเล็ก ๆ ได้ปะทุขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ม่านแห่งกลียุคของทั้งสามภพได้ถูกเปิดออกแล้ว…”
ขณะที่กล่าว นางได้หันหน้ามามองเฉินซี แล้วกล่าวว่า “อยากให้ข้าพาเจ้าไปสัมผัสกับการต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ของทั้งสามภพหรือไม่?”
เฉินซีตกตะลึง ในขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกายแสงเจิดจ้า การต่อสู้ระดับนั้นจะน่าสะพรึงเพียงใดหรือ?
“เจ้าต้องเตรียมพร้อม กองกำลังบางกลุ่มที่ไม่ควรมีอยู่ในภพมนุษย์จะถูกกำจัดหายไปในภัยพิบัตินี้ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้…” หลังจากนางกล่าวประโยคที่เป็นความลับอย่างยิ่ง หลียางก็ยื่นมือของนางออกมาและพลิกขึ้น ทำให้แสงดาวเย็นยะเยือกสาดส่องลงมา จากนั้นหญิงสาวก็หายตัวไปพร้อมกับเฉินซีอย่างรวดเร็ว
เมื่อเฉินซีได้สติ เขาก็พบว่า จู่ ๆ ตนเองก็ยืนอยู่บนยอดเขาโบราณที่ตั้งตระหง่านบนสวรรค์ทั้งเก้า และเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ชายหนุ่มก็มองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและจักรวาลได้!
—————————————