บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1016 คำสั่งของราชันเซียน
บทที่ 1016 คำสั่งของราชันเซียน
บทที่ 1016 คำสั่งของราชันเซียน
บนยอดเขาที่อยู่ในบริเวณเหมืองวิญญาณคราม มีพระราชวังโอ่อ่าและงดงามตั้งตระหง่านอยู่
ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!
เหวยเจิ้ง โหลวเฟิง เสวี่ยคุน และหวงซิน ต่างทะยานผ่านท้องฟ้ามาถึงเนินเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาจัดแจงเสื้อให้เรียบร้อย ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในพระราชวัง
ในบรรดาเซียนสวรรค์ทั้งสี่ เหวยเจิ้งผู้ผอมเหมือนท่อนไผ่มีหน้าที่จัดหาทาส โหลวเฟิงผู้มืดมนรับผิดชอบในการจัดหาที่อยู่อาศัยและแจกจ่ายเครื่องมือสำหรับทาส เสวี่ยคุนผู้อ้วนเหมือนลูกหนัง คล้ายกับเป็นผู้จัดการและรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมศิลากำเนิดวิญญาณคราม
สำหรับหวงซินที่มีรูปลักษณ์ธรรมดาและเคร่งขรึม เขารับผิดชอบในการลาดตระเวนบริเวณเหมือง และมีพลังฝีมืออันร้ายกาจ
“พวกเจ้ามากันครบแล้ว” ภายในห้องโถง ชายวัยกลางคนผมสีขาวในชุดสีดำนั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ รูปร่างของเขากำยำ รูปลักษณ์ห้าวหาญและสง่างาม ทั้งร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
สยงหมิง!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่เป็นเจ้าของเหมืองแห่งนี้
“คารวะ นายท่าน” เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ โค้งคำนับ
“นั่งลง” สยงหมิงโบกมือ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อครู่ ข้าได้รับคำสั่งจากราชันเซียนหลินฮ่าว ข้าเลยเรียกรวมพวกเจ้าทั้งหมด เพื่อหารือร่วมกัน”
“ราชันเซียนหลินฮ่าว!”
เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ดวงตาแข็งค้าง ก่อนที่จะเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
เพราะราชันเซียนคือราชันในหมู่เซียน!
ในทวีปสันติบูรพา ราชันเซียนหลินฮ่าวเป็นเหมือนเทพเจ้าสูงสุด ศูนย์รวมของเหล่าสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลในทวีปนี้ มีเซียนทองคำสามคน เซียนลึกลับกว่าพันคน และองครักษ์ขอบเขตเซียนสวรรค์นับไม่ถ้วนอยู่ภายใต้อาณัติ ดังนั้นอำนาจของเขาจึงเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มหาศาล!
“ทุกคน ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงทราบกันดีแล้วว่า ตลอดสองเดือนที่ผ่านมานี้ เหล่าองครักษ์ภายใต้คำสั่งของราชันเซียนหลินฮ่าว ได้กวาดต้อนเหล่าผู้ข้ามผ่านที่ขึ้นสู่ทวีปสันติบูรพา และส่งไปยังเหมืองต่าง ๆ เพื่อคุมขัง ” เสียงทุ้มของสยงหมิงดังก้องอยู่ในห้องโถง “ซึ่งเหมืองวิญญาณครามของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“นายท่าน เดิมทีข้าก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน ผู้ข้ามผ่านเหล่านั้นเป็นเหมือนมัจฉาและมังกร มีหลายคนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ในภพเซียน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่ควรเกิด ยามปกติไม่มีใครกล้าล่วงเกินพวกเขาอย่างอุกอาจเยี่ยงนี้ แล้วเหตุใดท่านราชันเซียนถึงกระทำการเช่นนี้?”
เสวี่ยคุนที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวขัดจังหวะอย่างอดไม่ได้ “บ่าวขอเรียนด้วยความสัตย์จริง ในช่วงเวลานี้มีผู้ข้ามผ่านเกือบสิบคนตายด้วยน้ำมือข้า และถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง บ่าวเกรงว่า…”
แม้เขาจะกล่าวยังไม่จบประโยค แต่ความหมายที่แฝงอยู่ก็เผยออกมาอย่างชัดเจน
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าสวรรค์จะถล่มลงมา ราชันเซียนก็จะอยู่ที่นั่นเพื่อแบกมันไว้บนบ่า” สยงหมิงโบกมือของเขา “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่จำเป็นต้องส่งผู้ข้ามผ่านมาที่นี่อีก เพราะคำสั่งของราชันเซียนได้ประกาศแล้ว ราชันเซียนต้องการให้เราร่วมมือจับกุมผู้ข้ามผ่านจากแดนภวังค์ทมิฬ”
“กองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้ถูกระดมพลเพียงเพื่อจับกุมผู้ข้ามผ่านเท่านั้นหรือขอรับ?” เหวยเจิ้งรู้สึกงุนงง
สยงหมิงมองเหวยเจิ้งอย่างเฉยเมย “ความคิดของราชันเซียนเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถตัดสินได้หรือ?”
เหวยเจิ้งตกตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างรีบร้อน “บ่าวมิกล้าขอรับ”
“นายท่าน เรามากล่าวถึงนามและรูปลักษณ์ของผู้ข้ามผ่านคนนั้นกันเถอะ เพื่อที่เราจะได้ดำเนินการตามความเหมาะสม” เสวี่ยคุนถามจากด้านข้าง
สยงหมิงพยักหน้า “การที่ข้าเรียกระดมพวกเจ้าทั้งหมดก็เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ผู้ข้ามผ่านคนนั้นมีนามว่าเฉินซี มาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง สำหรับรูปร่างหน้าตา ตัวข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ดังนั้นจงรวบรวมผู้ข้ามผ่านทั้งหมดในเหมืองและตรวจสอบทีละคน”
ทุกคนต่างพยักหน้าพร้อมกัน
“ไปได้แล้ว หากเราสามารถจับกุมชายคนนี้ได้ ท่านราชันเซียนจะประทานสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬให้เป็นรางวัล” สยงหมิงโบกมือ
“สมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ!”
ดวงตาของทุกคนสว่างวาบ เนื่องจากพวกเขาเป็นแค่เพียงเซียนสวรรค์ แม้จะทำตัวเหมือนเป็นเจ้าเหนือหัวในเหมืองวิญญาณครามแห่งนี้ แต่ในโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ ก็ยังห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบเคียงกับศิษย์ของนิกายที่มีชื่อเสียงและกองกำลังเก่าแก่เหล่านั้นได้
ดังนั้น สมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬจึงเพียงพอที่จะกระตุ้นความปรารถนาภายในใจของพวกเขา
…
ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า
ทาสที่กำลังขุดศิลากำเนิดวิญญาณครามในส่วนลึกของเหมืองเริ่มทยอยกลับมาทีละคน
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างจากวันก่อน เนื่องจากบรรดาผู้ข้ามผ่านกลับถูกรวบรวมโดยผู้คุม
“เกิดอันใดขึ้น?”
“หรือว่าเราจะถูกปล่อยตัวแล้ว?”
“อย่าได้มีความคิดเพ้อฝัน เพียงรอดูกันต่อไป”
เหล่าผู้ข้ามผ่านต่างรู้สึกประหลาดใจและงุนงง พวกเขาจึงพูดคุยด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เสี่ยวอวิ๋นก็อยู่ในหมู่ผู้ข้ามผ่าน แต่ใบหน้ากลับดูหม่นหมองและซีดเซียวอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่า การเดินทางไปเหมืองครั้งนี้ต้องกลับมามือเปล่า ทั้งยังสูญเสียบริวารทั้งสองคน และมันทำให้เขาโกรธมาก
“เสวี่ยคุน จำนวนผู้ข้ามผ่านทั้งหมดที่ถูกส่งมาล่าสุดคือเท่าใดกัน? ลองตรวจสอบดูว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ครบหรือไม่” เหวยเจิ้งกวาดสายตามองผู้ข้ามผ่านก่อนจะถามด้วยใบหน้ายับย่น
“ตายไปเก้าคน รวมทั้งหมดเป็นหกสิบสามคน ดังนั้นเราขาดอีกสี่คน” เสวี่ยคุนขมวดคิ้ว “ถ้าข้าจำไม่ผิด สี่คนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มผู้ข้ามผ่านที่เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ เราควรรอหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น หากพวกมันยังไม่กลับมาหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกมันจะต้องตายอย่างไร้ค่าภายในเหมือง” เหวยเจิ้งกล่าวอย่างสบาย ๆ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง จากนั้นดวงตาข้างเดียวที่เหมือนใบมีดเย็นยะเยือกและคมกริบก็กวาดผ่านเหล่าผู้ข้ามผ่านวูบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ตอนนี้จงบอกนามและที่มาของพวกเจ้าซะ หากเราตามหาคนที่เราต้องการพบแล้ว เราจะปล่อยพวกเจ้าทุกคนไป”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ทุกคนก็ตกอยู่ในความโกลาหล
“ข้าน้อยเหวินอี้ จากพิภพพันวิญญาณ!” ผู้ข้ามผ่านคนหนึ่งกล่าวออกมา ซึ่งตั้งใจจะทดสอบว่าคำพูดของเหวยเจิ้งเป็นจริงหรือไม่
“ต่อไป” เหวยเจิ้งกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่มีอันตรายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ทุกคนก็ทยอยกล่าวทีละคน แต่จนถึงคนสุดท้าย ก็ยังไม่มีใครมาจากแดนภวังค์ทมิฬเลยสักคน แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ชื่อเฉินซี
สิ่งนี้ทำให้เหวยเจิ้งและอีกสามคนมองหน้ากัน ต่างรู้สึกผิดหวัง
“ถ้าเจ้าบันทึกที่มาและนามของผู้ข้ามผ่านไว้ตั้งแต่ต้น ก็คงไม่ยากลำบากขนาดนี้” เสวี่ยคุนมองเหวยเจิ้งด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“แล้วผู้ใดจะคาดคิดว่าการจับผู้ข้ามผ่านเหล่านี้ ทำเพียงเพื่อจับกุมหนึ่งในนั้น” เหวยเจิ้งขมวดคิ้ว
“ใต้เท้า ท่านช่วยปล่อยเราไปตอนนี้เลยได้หรือไม่?” ผู้ข้ามผ่านคนหนึ่งถามอย่างระมัดระวัง
“ปล่อยเจ้าไปหรือ? ฮึ่ม! พวกเจ้าคิดที่จะจากไป ทั้งที่เรายังไม่เจอคนที่ตามหา? ฝันเฟื่องเกินไปแล้ว!” เหวยเจิ้ง ตำหนิอย่างเย็นชา
สีหน้าของทุกคนกลายเป็นขาวซีดเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ใต้เท้า ท่านกำลังมองหาผู้ใดกันหรือ? บางทีเราอาจรู้จักคนผู้นั้น หรือบางทีเขาอาจจงใจปกปิดตัวตนและซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเรา” ผู้ข้ามผ่านคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เหวยเจิ้งตกตะลึง จากนั้นสบตากับอีกสามคน ก่อนที่จะตัดสินใจทันทีและกล่าวว่า “คนที่เรากำลังตามหามาจากแดนภวังค์ทมิฬ ส่วนนามของเขาคือเฉินซี ถ้าพวกเจ้ารู้จักและให้ข้อมูลได้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะจากไปได้อย่างปลอดภัยในตอนนี้ เจ้าจะได้รับศิลาอมตะหนึ่งร้อยก้อนเป็นรางวัลอีกด้วย!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ความหวังอันริบหรี่ก็ลุกโชนในใจของทุกคน แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลับไม่รู้เลยว่ามีใครมาจากแดนภวังค์ทมิฬบ้าง ดังนั้นแววตาของพวกเขาจึงหม่นหมองลงทันที
มีเพียงดวงตาของเสี่ยวอวิ๋นที่สว่างวาบเมื่อเขานึกถึงบุคคลหนึ่ง และกล่าวอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้า ข้าน้อยรู้จักคนผู้นี้!”
“โอ้ จงบอกข้าเกี่ยวกับเขามาซะ!” เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะพลิกผัน พวกเขาเห็นแววแห่งความหวังทันที
เสี่ยวอวิ๋นกัดฟัน “เรียนใต้เท้าตามตรง เฉินซีเพิ่งฆ่าบริวารของข้าน้อยไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ตอนนี้เขายังคงอยู่ในส่วนลึกของเหมือง”
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะหลอกใช้พวกเราเพื่อแก้แค้นใช่หรือไม่?” เหวยเจิ้งมองเสี่ยวอวิ๋นอย่างเย็นชา
เสี่ยวอวิ๋นกระวนกระวาย “ทุกสิ่งที่ข้าน้อยกล่าวเป็นความจริง หากใต้เท้าไม่เชื่อ ก็ลองจับเจ้าเด็กนั่นดูก่อน แล้วใต้เท้าจะได้รู้ทันที!”
“งั้นข้าจะไปดูเอง” จู่ ๆ หวงซินก็พุ่งทะยานไปทางเหมืองที่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวถึง
“ฮึ่ม! คิดจะกอบโกยโชคลาภทั้งหมดเหรอ” เหวยเจิ้งคำรามอย่างเย็นชาและตั้งใจไล่ตามหวงซินไป
“พี่เหวย ช้าก่อน เหมืองที่ลึกและเงียบสงบเหล่านั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณครามหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน อาจกล่าวได้ว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จะเป็นการดีกว่าที่จะรออยู่ที่นี่อย่างใจเย็น” เสวี่ยเจิ้นรีบหยุดเหวยเจิ้ง และกล่าวเบา ๆ “เรายังไม่สามารถยืนยันว่าสิ่งที่เจ้าเด็กนั้นกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ ดังนั้นการรีบร้อนอาจทำให้เจ้าประสบเหตุร้ายได้”
เหวยเจิ้งยิ้มอย่างเสแสร้ง ขณะมองไปยังเสวี่ยคุน “เจ้าอ้วนเสวี่ยคุน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่! หากข้าจำไม่ผิด เจ้ากับหวงซินมาจากนิกายเดียวกันใช่หรือไม่?”
เสวี่ยคุนหัวเราะดังสนั่น แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
“ฮึ่ม! ข้าจะให้เจ้าและหวงซินได้ประโยชน์ในครั้งนี้ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น” เหวยเจิ้งคำรามอย่างเย็นชา
“ไว้เราค่อยมากล่าวกันถึงเรื่องนี้ หลังจากหวงซินกลับมาแล้ว” โหลวเฟิงที่อยู่ใกล้ ๆ หัวเราะอย่างเศร้าหมอง ก่อนจะหันไปจ้องมองเสี่ยวอวิ๋นที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นกล่าวช้า ๆ “สหายน้อย ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวจะเป็นความจริง มิฉะนั้น…”
ร่างกายของเสี่ยวอวิ๋นสั่นสะท้านราวกับว่าเขาถูกอสรพิษจ้องเขม็ง และครุ่นคิดในใจ “หากข้าหนีออกจากที่นี่ได้ ข้าจะทำลายล้างไอ้พวกสารเลวอย่างเจ้าให้หมดสิ้น!”
…
ในส่วนลึกของทางเดินที่ชื้น ลึก และเงียบสงบภายในเหมือง สายหมอกที่ปกคลุมไปด้วยเงาสีน้ำเงินเข้มก็พุ่งผ่านพวกเขาไป หมอกหนาแน่นเหมือนน้ำเมื่อพวกมันล่องลอยไปทั่วบริเวณโดยรอบ และส่งเสียงน้ำไหลออกมา
เฉินซีกลั้นหายใจอย่างแน่วแน่ ปล่อยให้ปราณจ้าววิญญาณอมตะกลืนกินทั้งร่างกาย และสร้างเกราะป้องกันแสงป้องกันตัวเขาเองและมู่หลิงหลงภายในนั้น
ฟู่! ฟู่!
เสียงฟู่จากหมอกสีครามที่ปะทะกับม่านแสง และกำลังกัดกร่อนม่านแสงทีละนิด
‘นี่คือปราณวิญญาณครามหรือ? ไม่น่าแปลกใจที่หนานกงฮุ่ยจะได้รับบาดเจ็บจากมัน หากใครไม่มีศิลาอมตะเพื่อเติมเต็มพลังของตัวเอง แม้แต่เซียนสวรรค์ก็อาจจะอยู่ได้ไม่ถึงคืน…’ เฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังของปราณวิญญาณคราม และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในหัวใจ
“คุณชายเฉินซี เราควรทำอย่างไรดี” มู่หลิงหลงฟื้นแล้ว แต่เมื่อนางเห็นปราณวิญญาณครามพวยพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง นางก็อดกังวลไม่ได้
“เมื่อเทียบกับข้างนอกแล้ว ที่นี่ยังปลอดภัยกว่ามาก ข้าจะพาเจ้าออกจากไปเมื่อพลังของข้าฟื้นฟูแล้ว อืม… ข้าคิดว่าคงไม่เกินเจ็ดวัน” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ร่างกายหลักของเขาบ่มเพาะในโลกแห่งดาราอยู่เสมอ และเจ็ดวันในโลกภายนอกก็เท่ากับในนั้นประมาณหนึ่งเดือน เวลานี้เพียงพอสำหรับการควบแน่นพลังงานของกฎ
“เฉินซี!!!”
ในขณะนี้ มีบางสิ่งลอยมาจากทางเดิน และดูเหมือนว่าจะถูกปล่อยออกมาจากที่ไกลมาก ทำให้มันดูคลุมเครือเล็กน้อย
“ผู้ใดกัน?” ดวงตาของเฉินซีจดจ่อ กล่าวด้วยความประหลาดใจ และไม่คาดคิดว่าจะมีคนเรียกชื่อของตนที่นี่
แต่คำตอบที่เขาได้รับคือความเงียบงัน และเสียงนั้นก็ไม่ดังออกมาอีก
“บัดซบ! รีบไปกันเถอะ!”
คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน เมื่อตระหนักได้ว่า คนที่ตะโกนเรียกชื่อของเขา อาจทำเพื่อระบุตำแหน่ง เมื่อคนนั้นได้รับคำตอบแล้ว อาจรีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็เลิกใส่ใจปราณวิญญาณคราม และคว้ามือของมู่หลิงหลงทันทีก่อนจะพุ่งไปยังส่วนลึกของเหมือง
—————————————