บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1017 สังหารเซียนสวรรค์
บทที่ 1017 สังหารเซียนสวรรค์
บทที่ 1017 สังหารเซียนสวรรค์
“คุณชายเฉินซี เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
“มีผู้เยี่ยมยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา!”
“อะไร…เขาตั้งใจจะทำอะไร?”
“ยังไงก็เถอะ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง ๆ เจ้าจงซ่อนตัว แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ภายในทางเดินที่เงียบและลึก เฉินซีนำมู่หลิงหลงพุ่งไปยังส่วนลึกของเหมืองอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ ปราณวิญญาณครามก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น จนเต็มไปทุกหนทุกแห่ง หลังจากนั้น มันเหมือนกับแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก บีบให้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องโคจรปราณจ้าววิญญาณของเขาด้วยพลังทั้งหมดอย่างเต็มที่ เพื่อต้านทานพลังกัดกร่อนอันน่าสะพรึงกลัวของปราณวิญญาณคราม
“ว่าแต่เป็นใครกัน?”
เฉินซีพุ่งตัวข้างหน้าไปพร้อมกับครุ่นคิด แต่นึกอย่างไรก็ไม่ออก ทำให้เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
ตุ๊บ! ตุ๊บ!
ไม่นานหลังจากเฉินซีและมู่หลิงหลงหายไป คลื่นเสียงฝีเท้าประหลาดก็ดังก้องไปทั่วทางเดินอันเงียบ ฟังดูคล้ายเสียงฟ้าร้องอู้อี้ แต่กลับเขย่าหินจนสั่นสะเทือน
ในชั่วพริบตา ร่างกำยำของหวงซินก็ปรากฏขึ้นในสถานที่ที่เฉินซีและมู่หลิงหลงยืนอยู่เมื่อสักครู่
“ดูเหมือนจะเป็นเจ้าเด็กนั้น…” หวงซินแหงนหน้าขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยกระแสวังวนสีเงินดูเหมือนพายุสายฟ้า และมองไปยังส่วนลึกของทางเดินผ่านชั้นของปราณวิญญาณคราม
รอบกายมีกระแสพลังแห่งกฎ เหมือนอสรพิษสีเงินตัวเล็ก ๆ เลื้อยไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกมันกระแทกปราณวิญญาณครามให้กลับไปอย่างง่ายดาย
ชู่ว!
ในชั่วพริบตาต่อมา ก็หายตัวไปจากจุดนั้น ราวกับพยัคฆ์ยามออกล่า ช่างแข็งแรงและดุร้าย ทุกที่ที่พุ่งผ่าน ปราณวิญญาณครามจะถูกผลักดันไปทางด้านข้าง และไม่ส่งผลต่อความเร็วของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เร็วอะไรปานนั้น คนผู้นี้อาจเป็นหนึ่งในสี่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ของเหมืองวิญญาณคราม ข้าไม่สามารถหนีต่อไปได้อีกแล้ว มิฉะนั้น ข้าจะเฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม…” เมื่อสัมผัสได้ถึงฝีเท้าแปลกประหลาดและหนักหน่วงจากทางด้านหลังที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คิ้วที่ขมวดแน่นของเฉินซีก็คลายลง
ผู้เป็นเซียนสวรรค์ที่เข้าใจถึงพลังของกฎนั้น ไม่ใช่คนที่เสี่ยวอวิ๋นและหนานกงฮุ่ยจะสามารถเปรียบเทียบได้ หากเฉินซีพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ผู้เป็นเซียนสวรรค์คนนั้นจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าร่างอวตารของเซียนทองคำ!
เพราะนี่คือมิติเซียน และเซียนสวรรค์ที่แท้จริงได้ควบรวมสี่สระต้นกำเนิดสวรรค์ไว้ในร่างกาย นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของเซียนสวรรค์จะไม่ถูกควบคุมโดยกฎแห่งเต๋าสวรรค์เหมือนในภพมนุษย์
ดังนั้น เมื่อเผชิญกับการไล่ล่าจากผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ ภายในอุโมงค์ที่ลึกจนไม่อาจหยั่งถึง มีแต่ต้องเตรียมพร้อมต่อสู้จึงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด มิฉะนั้นเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันสิ้นหวัง
ไม่นานนักร่างกำยำก็ปรากฏขึ้น ภายในปราณวิญญาณครามมาปกคลุมอยู่บริเวณโดยรอบดุจดั่งราชา ทุกที่ที่เขาผ่าน ปราณวิญญาณครามจะแตกกระจายไปด้านข้าง
‘เป็นเขาเอง…’ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ตอนที่เพิ่งเข้าไปในเหมือง เขาสัมผัสได้ว่ามีเซียนสวรรค์สี่คนและเซียนลึกลับหนึ่งคนอยู่ภายในเหมืองนี้
ในบรรดาพวกเขา เฉินซีได้พบเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง และชายวัยกลางคนตัวอ้วนอย่างเสวี่ยคุน มีเพียงหวงซินเท่านั้นที่อยู่ในอุโมงค์ของเหมือง ดังนั้นเฉินซีจึงสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายของหวงซินเท่านั้น แต่ไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ของหวงซินได้
“ข้าหวงซิน ผู้พิทักษ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ภายใต้คำสั่งของราชันเซียนหลินฮ่าว จงตามข้ามาซะ แล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว มิฉะนั้นการมีชีวิตอยู่อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตายสำหรับเจ้า”
หวงซินหยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากเฉินซีเพียงร้อยยี่สิบจั้ง ดวงตาของเขาเหมือนสายฟ้าฟาดเมื่อจดจ้องไปยังเฉินซีอย่างเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็เผยให้เห็นถึงการควบคุมที่สมบูรณ์
เขาเป็นเหมือนเหยี่ยวกำลังมองมดขณะประกาศคำสั่งของตน ไม่จำเป็นต้องกล่าวเสียงดัง แต่ก็แสดงความเย่อหยิ่งและอำนาจออกมาอย่างชัดเจน
“แม้ว่าเจ้าต้องการจะจับตัวข้า ก็ควรมีเหตุผลใช่หรือไม่?” ใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าสามารถถามท่านราชันเซียนได้” หวงซินไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะสงบสติอารมณ์ได้ ใบหน้าสงบนิ่งถูกปกคลุมด้วยความเฉยเมย
“ราชันเซียนหลินฮ่าว?” เฉินซีขมวดคิ้ว พร้อมกับครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่าในอดีตข้าจะไปล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เข้า บางทีอาจเป็นศัตรูของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียนหรืออาจจะเป็นตระกูลจั่วชิวกระมัง?”
“หรืออาจเป็น ปิงซื่อเทียน?”
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่คิดว่าปิงซื่อเทียนผู้มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนทองคำ จะสามารถทำให้ราชันเซียนต้องเคลื่อนไหวเพื่อตัวเขาได้ เว้นแต่ปิงซื่อเทียนจะใช้ความสัมพันธ์บางอย่าง
ครั้งนี้หวงซินไม่ได้ตอบกลับ ทำเพียงจ้องเฉินซีอย่างเฉยเมย ราวกับกำลังจ้องมองศพ ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ดวงตาของเขาก็หรี่ลง จากนั้นก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดในการขัดเกลากายา? เจ้าขึ้นมาได้อย่างไร…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เฉินซีที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ก็ลงมือ ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายพลุ่งพล่านและเปลี่ยนเป็นพายุฝนฟ้าคะนองจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่หมัดขวา ในขณะที่หมัดของเขาพุ่งทะลุท้องฟ้า
เปรี้ยง!
ฟ้าร้องดังกึกก้อง พวกมันควบแน่นเป็นพลังหมัด และปลดปล่อยกระแสวังวนเจิดจ้าราวกับพายุพัดผ่านฟ้าดิน มันถาโถมลงมาจากกลางอากาศพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
หมัดนี้เป็นหมัดที่ดีที่สุดของขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดในขัดเกลากายาที่เฉินซีเคยได้ใช้ และถ้านี่คือภพมนุษย์ มันก็เพียงพอที่จะบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ในระยะสองหมื่นห้าพันลี้โดยรอบ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน หวงซินกลับไม่ได้ตกใจหรือหวาดกลัว และเขาเพียงกล่าวออกมาเบา ๆ “เจ้าประเมินความสามารถของเจ้าสูงเกินไปนะ!”
ปัง!
ร่างของหวงซินพุ่งทะยานออกไปดุจภูตผี ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วงสดใส เหมือนสายฟ้าสีม่วงที่สั่นคลอนหัวใจและวิญญาณ ยิ่งกว่านั้น พลังอันไร้ขอบเขตเหมือนจะพลุ่งพล่านอยู่บนใบหน้าอันแสนสงบนิ่ง
เขาชี้นิ้วออกไป ทำให้เกิดเปลวไฟสีม่วงขดตัวอยู่รอบมัน ทำให้นิ้วเต็มไปด้วยมวลพลังแห่งกฎ หลังจากนั้น ท้องฟ้าเริ่มแปรปรวน ราวกับมีเปลวเพลิงสีม่วงแผ่ขยายแผดเผาไปทั่วท้องฟ้า
ตูม!
พลังหมัดและพลังดรรชนียังไม่ได้ปะทะกัน แต่เปลวเพลิงสีม่วงก็พวยพุ่งลงมา เหมือนฝูงอาชาป่าที่หลุดจากพันธนาการ พวกมันห่อหุ้มกำปั้นขวาของเฉินซีในลักษณะเอาแต่ใจและครอบงำ
เปลวเพลิงสีม่วงลุกโชนขึ้นในขณะที่ผสานกับกฎ และอุณหภูมิอันน่าสะพรึงกลัวจนดูเหมือนกับว่ามันได้ก่อเปลวไฟในท้องฟ้า
“ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดในการขัดเกลากาย แต่กลับยิ่งผยองพองขน สิ่งนี้มันรังแต่จะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นเท่านั้น…” หวงซินกล่าวอย่างเฉยเมย แม้เสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในอากาศ แต่เสียงแตกร้าวก็ดังก้องแทรกขึ้นมา แขนขวาของเฉินซีถูกบดขยี้ลงทีละนิด ก่อนที่จะถูกเปลวเพลิงสีม่วงเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“อ๊า!!!” ในระยะไกล เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น เป็นเสียงของมู่หลิงหลง
“อ้อ มีสาวน้อยอีกคน” ดวงตาของหวงซินหรี่ลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแขนขวาของเฉินซีจะพิการ แต่ก็ไม่คิดถอย ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาหวงซิน กระโจนไปข้างหน้าเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่พุ่งไปถึงตรงหน้าหวงซิน จากนั้นแขนซ้ายของเขาก็เหยียดออกและคว้าคอของหวงซินไว้แน่น
“ดูเหมือนเจ้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริง ๆ” ร่างของหวงซินไม่ได้ขยับเขยื้อน ในขณะที่ปราณเซียนอันพลุ่งพล่านถูกทักด้วยพลังของกฎ ส่งเสียงดังกังวานไปทั้งร่าง ดูคล้ายกลายร่างเป็นทะเลเพลิงสีม่วง ไม่เพียงแต่สลายพลังโจมตีของเฉินซีได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น มันยังปกคลุมร่างกายของเฉินซีอีกด้วย
ฟู่! ฟู่!
ร่างกายของเฉินซีกำลังถูกเผาไหม้ เนื่องจากพลังอันรุนแรงของกฎพุ่งผ่านร่างกาย และดูเหมือนจะกลายร่างเป็นกองขี้เถ้าในชั่วพริบตา
“ร่างกายของผู้ขัดเกลากายานั้นน่าเกรงขามจริง ๆ ว่ากันว่า มันสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยความคิดเพียงวูบเดียว แต่ถ้าข้าขัดเกลาร่างกายและความคิดของเจ้าจนสมบูรณ์ เจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะมีชีวิตรอด?” ดวงตาของหวงซินคล้ายเผาไหม้เหมือนเปลวเพลิงสีม่วง เขามองเฉินซีและกล่าวอย่างเฉยเมย
“คุณชายเฉินซี ข้าจะช่วยท่านเอง!” มู่หลิงหลงไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากการพุ่งเข้าใส่ได้อีกต่อไป มือของนางฟาดลงมาควบแน่นเป็นดาบสีขาวราวกับหิมะเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง อีกทั้งยังคมกริบเหมือนดาบ มันเปล่งเสียงคำรามของมังกรอันสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“เจ้าก็รนหาที่ตายหรือ?” หวงซินขมวดคิ้วหนาเหมือนเส้นเหล็กที่ถักเข้าด้วยกัน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ กวาดออกไปราวกับแส้เหล็กที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีม่วง
การโจมตีครั้งนี้มีพลังแห่งกฎอันน่าสะพรึงกลัว แม้จะยังไม่เข้าใกล้นางเลยด้วยซ้ำ แต่ทำให้ใบหน้าของมู่หลิงหลงซีดเซียว ทั้งร่างระส่ำระส่ายไปมาเหมือนแหนที่ลอยอยู่กลางทะเล
นางกำลังตกอยู่ในอันตราย!
อย่างไรก็ตาม ร่างหลักของเฉินซีพลันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศทางด้านหลังของหวงซิน พร้อมกับกระบี่สีดำสนิทและไร้ความแวววาวในมือ ก่อนจะแทงทะลุเข้าไปด้านหลังศีรษะของหวงซินโดยตรง
ฟู่!
โลหิตสาดกระเซ็นไปในอากาศ
หวงซินคำรามด้วยความโกรธ คล้ายสัตว์ร้ายที่ใกล้จะถึงแก่ความตาย “สารเลว! แม้ว่าข้าจะต้องตาย เจ้าทั้งคู่ก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า!”
ท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความโกรธ กลิ่นอายของเขาระเบิดขึ้นราวกับพระอาทิตย์ที่แผดเผา จากนั้นแขนก็สั่นสะท้าน แขนแต่ละข้างตบลงไปที่เฉินซีและมู่หลิงหลง หวงซินตั้งใจจะฆ่าคนทั้งสองให้ตกตายตามกันไป
“ไปตายซะ!” น่าเสียดายที่เขายังช้าเกินไป กระบี่ที่แทงเข้าด้านหลังศีรษะถูกหมุนพลิกขึ้น ก่อนจะฟันลงมาอย่างแรง ผ่าหวงซินออกเป็นสองส่วน!
การโจมตีที่เขาตั้งใจจะทำก่อนสิ้นชีพก็ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้เช่นกัน มันคลาดออกจากเป้าหมายเล็กน้อย กระแทกเข้ากับกำแพงหินด้านข้าง ทำให้เกิดเสียงดังโครมครามเหมือนเสียงฟ้าร้อง ก้อนหินกระเด็นกระดอนไปโดยรอบ พื้นดินสั่นสะเทือน
พรู่ด!
จู่ ๆ มู่หลิงหลงก็กระอักโลหิตออกมาเต็มปาก ร่างของนางกระเด็นไปไกลกว่าร้อยยี่สิบจั้ง ใบหน้าเล็ก ๆ ของหญิงสาวซีดเผือดจนแทบโปร่งแสง เพราะแม้การโจมตีของหวงซินจะคลาดเคลื่อนออกจากเป้าหมาย แต่สุดท้าย การโจมตีของเซียนสวรรค์ที่กำลังจะตาย พลังที่ระเบิดออกมาของฝ่ามือนั้นรุนแรงมาก ดังนั้นนางจึงโชคดีที่รอดชีวิตมาได้
ในอีกด้านหนึ่ง เฉินซีกระแทกเข้ากับกำแพงอุโมงค์อย่างรุนแรงเช่นกัน ทั่วทั้งร่างของเขาเปล่งเสียงกระดูกหัก โลหิตไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
“โชคดีที่ร่างอวตารของข้ารอดมาได้…” ร่างหลักของเฉินซีเก็บยันต์ศัสตราออกไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังโลกแห่งดาราอย่างรวดเร็ว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ร่างอวตารของเฉินซีอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขานั่งขัดสมาธิและหายใจหอบ อาการบาดเจ็บทั่วร่างกายฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อาการบาดเจ็บอันน่าสะพรึงกลัวและกระดูกที่หักมากมายก็ได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ขอบเขตเซียนปฐพีในการขัดเกลากายานั้นทรงพลังมาก ตราบเท่าที่แก่นวิญญาณยังคงอยู่ เมื่อนั้นก็สามารถสร้างร่างกายใหม่ได้ด้วยความคิดเพียงวูบเดียว และฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ มันยิ่งใหญ่กว่าการสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่จากโลหิตเพียงหยดเดียว
แต่ทุกครั้งที่ผู้ขัดเกลากายาได้รับบาดเจ็บสาหัส แก่นโลหิตภายในร่างกายจะถูกเผาผลาญอย่างมหาศาล และไม่ใช่สิ่งที่จะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ในชั่วข้ามคืน
“แม่นางมู่สบายดีหรือไม่?” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ยืนขึ้นและมาถึงข้าง ๆ มู่หลิงหลง เขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บ แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าพลังชีวิตของนางเพียงอ่อนแอลงเล็กน้อย แต่ชีวิตของนางก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย “ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปซ่อนตัวหรอกหรือ?”
ผมสีดำขลับของมู่หลิงหลงยุ่งเหยิง ใบหน้าอันงดงามและบอบบางของนางซีดเผือดจนแทบโปร่งแสง นางก้มหน้าเหมือนเด็กน้อยที่กระทำผิด ก่อนจะกล่าวพึมพำ “ข้า… คิดว่าท่านกำลังจะตาย จะให้ข้านิ่งเฉยโดยไม่ช่วยท่านได้อย่างไร..”
เฉินซีตกตะลึง เขาไม่อาจตำหนินางได้อีกต่อไป
“จงผ่อนคลายและพักฟื้นเถอะ ข้าจะคอยคุ้มกันให้เจ้าเอง” เฉินซีออกคำสั่งก่อนจะยืนขึ้นและเดินไปยังศพของหวงซิน เขาตั้งใจจะเก็บกวาดสมบัติจากการต่อสู้
“อืม?” แต่สายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นรอยแยกด้านล่างของกำแพงหินใกล้ ๆ และประกายแสงเหมือนน้ำในทะเลสาบใสกระจ่าง…