บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1025 ม่านกระบี่เบญจธาตุ
บทที่ 1025 ม่านกระบี่เบญจธาตุ
บทที่ 1025 ม่านกระบี่เบญจธาตุ
ตึ้ง! ตึ้ง!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนด้วยอำนาจทำลายล้างประหนึ่งพายุคำราม มันน่าสะพรึงกลัวเสียจนยากอธิบาย
ท่ามกลางคลื่นพลังอันน่าเกรงขามนี้ ทุกสายตาจับจ้องไปยังรอยร้าวจำนวนมากที่เกิดขึ้นบนปราณกระบี่ ซึ่งเฉินซีโจมตีออกไปก่อนหน้านี้ ที่มันค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นและจวนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เขาจะตายหรือไม่? จิตวิญญาณของเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจและสะพรึงกลัวในคราเดียวกัน
ผิดกับผู้ข้ามผ่านคนอื่น ๆ รวมไปถึงมู่หลิงหลงที่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมเนื่องจากทนดูต่อไปไม่ได้
“ไอ้สารเลวเอ๊ย จำสิ่งนี้ไว้เป็นบทเรียนเสีย ชาติหน้าฉันใดก็อย่าได้โง่งมเช่นนี้อีก!” สยงหมิงคำรามลั่น ใบหน้าเผยความเหี้ยมเกรียมไร้ปรานี ทันใดนั้น ปราณในร่างเขาก็โคจรไปทั่ว ตั้งใจใช้การโจมตีคราถัดไปเพื่อพิฆาตเฉินซี!
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้ เฉินซียังคงมีท่าทางที่สงบนิ่งไม่สั่นคลอน เจตจำนงแห่งการต่อสู้ปะทุผ่านดวงตาที่เด่นชัดบนใบหน้าที่สุขุมเยือกเย็นและดุดัน
ตูม!
ตอนนั้นเอง ปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างกายของชายหนุ่มถูกปลดปล่อยออกมาอย่างถึงขีดสุด พลังอันกล้าแกร่งสะท้านสะเทือนไปทั้งเรือนกายประหนึ่งกระแสน้ำคลั่ง เมื่อยันต์ศัสตราในมือข้างนั้นฟาดฟันลงยังเป้าหมาย ร่างทั้งร่างของเฉินซีก็พลันเปล่งประกายด้วยรัศมีเจิดจ้าอันไร้ขอบเขต
การโจมตีในคราวนี้ทั้งแข็งแกร่งและหนักหน่วง ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากภูผาตั้งตระหง่านและยึดตรึงระหว่างฟ้าดินเอาไว้ มันเปี่ยมไปด้วยอำนาจกฎแห่งปฐพี ซึ่งทรงอิทธิพลเหนือสรรพสิ่งใด ๆ ในแผ่นพิภพ
ธาตุดินถูกแทนด้วยสัญลักษณ์คุน สิ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับพื้นดิน ดินเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งมากพอจะรองรับน้ำหนักของทุกสรรพสิ่ง ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตทั้งปวง เป็นสิ่งที่แน่นหนักและไร้ขอบเขตยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ
ในแง่ของความแข็งแกร่ง การโจมตีของกระบี่เล่มนี้เทียบได้กับการโจมตีด้วยกระบี่ทั้งสี่ครั้งที่เฉินซีเคยใช้มาก่อน เมื่อกระบี่เล่มนี้ปลดปล่อยพลังออกมา มันก็ส่งคลื่นเสียงอันแปลกหูให้กึกก้องไปทั้งอากาศ
ที่กลางอากาศ ปราณกระบี่ทั้งสามที่แต่เดิมเกิดรอยร้าวจนแทบจะแตกเป็นสี่ยง ๆ พลันผสานตัวกันอีกครั้ง แม้แต่ปราณกระบี่เส้นแรกที่เฉินซีฟาดฟันออกไป ที่เป็นปราณกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งพฤกษาอันซึมลึกอยู่ภายในเถาวัลย์เขียวขจีจำนวนมากมาย ก็เริ่มฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเช่นเดียวกัน…
เพียงพริบตาเดียว พลังที่เจิดจ้าและรุนแรงของกฎแห่งอัคคี ทอง วารี พฤกษา และปฐพีหลอมรวมเข้าไปภายในปราณกระบี่ทั้งหลาย ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นธาตุทั้งห้าสอดประสานและโคจรพลังเคียงกันและกันเป็นวงกว้าง
ปราณกระบี่ทั้งห้าเส้นลอยคว้างหมุนวนอยู่สูงขึ้นไปเหนือท้องนภา!
ปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้เพียงพอที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ให้แดดิ้น ทั้งยังสามารถทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับต้องหวั่นผวา!
ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบต่างพากันตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นฉากนี้ พวกเขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจได้ ดวงตามากมายเผยประกายแห่งความตกตะลึงเด่นชัด ราวกับว่าภาพตรงหน้าของพวกเขาคือปาฏิหาริย์อันยากจะเชื่อ
เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ชะงักงัน พวกเขาเฝ้าถามตัวเองไม่หยุดว่าหากการโจมตีนี้เพ่งเล็งมาที่พวกตน จะมีผลลัพธ์ใดนอกเหนือจากความตายรออยู่บ้าง?
“นี่มัน…” สยงหมิงสั่นสะท้าน ความมั่นใจและความหยิ่งทระนงซึ่งมีมาแต่เดิมมลายสิ้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสรู้สึกถึงภัยคุกคามที่หมายจะเอาชีวิต
“ตายซะ!” ทันใดนั้น สายตาของเฉินซีที่จับจ้องไปยังอีกฝ่ายได้เผยประกายอันเยือกเย็นประหนึ่งใบมีด คำพูดเพียงสั้น ๆ ของเขาเป็นดังประกาศิตจากสวรรค์ ช่วงเวลานั้นเอง ปราณกระบี่ทั้งห้าพลันไหลเวียนและเปลี่ยนตัวเองเป็นลำแสงอันงดงาม ที่โอบล้อมสยงหมิงไว้อย่างสมบูรณ์พร้อมกับปลดปล่อยพลังโจมตีในคราวเดียว!
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
คลื่นเสียงกัมปนาทดังกึกก้องประหนึ่งภูเขาไฟระเบิด หากจะเปรียบว่าเหมือนดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้ตกลงมาจากฟากฟ้าก็คงไม่ผิดนัก ปราณกระบี่ถูกถักทอขึ้นจากกฎแห่งเบญจธาตุสามารถทำลายล้างเถาวัลย์ทั้งหลายให้กลายเป็นเศษธุลีได้อย่างง่ายดาย เศษซากเถาวัลย์ที่กระจัดกระจายเหล่านั้นฟุ้งไปทั่วท้องฟ้า
พวกมันเป็นเหมือนกับคมกระบี่ทั้งห้าที่กรีดแทงสวรรค์ ไร้ซึ่งสิ่งใดในโลกจะต้านทาน!
ระฆังไม้ทวิวิญญาณครามถูกกระแทกจนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พื้นผิวของมันฉาบไปด้วยรอยข่วนบากจำนวนมหาศาล ส่งผลให้รัศมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวพลันจางลงไปแทบจะในทันที
สีหน้าของสยงหมิงเปรอะเปื้อนไปด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึงที่ยากจะลบเลือน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม้แต่การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนก็ไม่อาจต้านทานปราณกระบี่ของเฉินซีได้
“กฎแห่งเบญจธาตุสร้างรูปแบบการหมุนเวียน! บัดซบเอ้ย! การบ่มเพาะของเจ้าเพิ่งจะอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น แล้วจะไปมีพลังที่มหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่… ไม่มีทาง… ไม่มีทางเป็นไปได้แน่!” หลังจากที่สยงหมิงเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า เขาก็คำรามด้วยความรู้สึกที่ยากจะเชื่อ เพราะแม้แต่ตัวเขาที่เป็นถึงเซียนลึกลับก็ยังลึกซึ้งในกฎแห่งพฤกษาอย่างสมบูรณ์เพียงข้อเดียวเท่านั้น ทว่ามดปลวกตัวจ้อยตรงหน้าเขาที่เพียงจะเข้ามาในภพเซียนเพียงไม่กี่วันกลับผสานมหาเต๋าแห่งธาตุทั้งห้าให้กลายเป็นกฎแห่งธาตุที่สมบูรณ์แบบได้ ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังสามารถสร้างปรากฏการณ์การหมุนเวียนของธาตุทั้งห้าได้อีกด้วย แล้วจะให้สยงหมิงสงบใจอยู่ได้เยี่ยงไร?
เท่าที่เขากังวลคือ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นจะสามารถเปิดการโจมตีเช่นนี้ได้!
ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!
แม้สยงหมิงจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นมากเพียงไหน ทว่าพลังของปราณกระบี่ทั้งห้าที่ฟาดลงมาจากท้องฟ้าก็ยิ่งตอกย้ำให้เขาต้องเชื่อมากเท่านั้น ทุกการโจมตีที่เกิดขึ้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และสร้างแรงสั่นสะเทือนหนักหน่วงให้เกิดขึ้นต่อระฆังไม้ทวิวิญญาณคราม ส่งผลให้มันได้รับความเสียหายหนักเกินกว่าจะเยียวยาได้
“มดปลวกอย่างเจ้าจะมาเอาชนะข้าได้อย่างไรกัน” ท่าทางของสยงหมิงดุดันยิ่งกว่าเก่า เห็นได้ชัดจากดวงตาคู่นั้นที่แดงฉานด้วยเลือดคั่ง คู่ต่อสู้ที่เขาเคยมองว่าเป็นเหยื่อตัวจ้อยบัดนี้กลับอยู่ในสถานการณ์เป็นต่อ ทั้ง ๆ ที่คนประเภทนี้ไม่น่าจะทนต่อการโจมตีของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับอย่างเขาตั้งแต่ครั้งแรกได้ด้วยซ้ำ
“บัดซบ! วันนี้คือวันตายของเจ้า!” สยงหมิงกู่ก้องด้วยความโกรธราวกับสัตว์อสูรผู้เกรี้ยวกราด เขาคว้าระฆังไม้ทวิวิญญาณครามมาตีซ้ำ ๆ เพื่อสร้างคลื่นเสียงสีมรกตที่ปะทุออกมาเป็นทรงกลม เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เจ้าตัวไม่ต่างสุนัขจนตรอกที่ต่อสู้อย่างสิ้นหวังพร้อมเอาชีวิตเข้าแลก!
ท่าทางของเฉินซีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปประหนึ่งว่าเขาหาได้แยแสต่อภาพตรงหน้าไม่ ชายหนุ่มยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงไม่ได้ขยับหนี มีเพียงยันต์ศัสตราเท่านั้นที่คอยทำหน้าที่ควบคุมปราณกระบี่ของธาตุทั้งห้าจากระยะไกล และปลดปล่อยการโจมตีที่ดุเดือดเข้าใส่สยงหมิง
ตึง!
ปราณกระบี่อันเรืองรองเปลี่ยนสภาพตนเองเป็นม่านกระบี่ห้าสีที่ปกคลุมทั้งแผ่นฟ้า มันโจมตีไปที่ระฆังไม้ทวิวิญญาณครามด้วยพลังที่สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ในที่สุดระฆังไม้ทวิวิญญาณครามก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของปราณกระบี่ได้ มันระเบิดตัวเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น
อีกด้านหนึ่ง ตอนนี้สยงหมิงสูญเสียเกราะกำบังกายไปโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาถอดสีซีดเผือดถนัดตา และตั้งใจที่จะหลบการโจมตี ทว่าสายไปเสียแล้ว! ร่างกายอันแข็งแกร่งของเขาบัดนี้ถูกล้อมไว้ด้วยม่านกระบี่เบญจธาตุ ไร้ซึ่งที่ให้หลีกเร้น!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!? เจ้าคนที่เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์อย่างนั้นจะมามีชัยเหนือข้าได้อย่างไร! ไม่!!!” เสียงโหยครวญของสยงหมิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและโกรธเกรี้ยว มันดังออกทะลุออกมาจากม่านกระบี่นั้นและกระทบเข้ากับโสตประสาทของผู้คน แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากแนวโอบล้อมนี้ได้
อั๊ก!
เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์หนึ่งดังขึ้นก่อนจะหยุดลงไปในทันที ไม่นานนัก สายตาที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงทั้งหลายก็พลันมองเห็นกลุ่มของโลหิตแดงฉานจำนวนมากที่พุ่งขึ้นไปกลางอากาศและย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดง!
เซียนลึกลับสยงหมิงได้ล้มลงไปแล้ว!
“ท่านสยงหมิง!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
“ไม่นะ!”
ดวงหน้าของเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง และเซวียคุนชาวาบ ความหวาดกลัวเข้ามากอดกุมภายในใจของพวกเขาจนไม่เหลือที่ให้รู้สึกสิ่งใด สีบนใบหน้าของคนทั้งสามผลัดเวียนเป็นสีต่าง ๆ อย่างไม่รู้จบ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านสยงหมิงซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับในขั้นต้นจะพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ข้ามผ่านที่เพิ่งขึ้นมาถึงภพเซียนได้เพียงไม่กี่วันจริง ๆ…
แม้แต่ผู้ข้ามผ่านเองก็ยังตกตะลึงเมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขาต่างพูดไม่ออก
ใครจะไปคิดเล่าว่าสหายเต๋าที่มีระดับการบ่มเพาะไม่ได้ต่างจากตนจะสามารถสังหารเซียนลึกลับผู้น่าเกรงขามได้ หากข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่แน่ว่าภพเซียนคนได้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่แน่!
บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงัดลงในทันที มีเพียงกลิ่นคาวเลือดเท่านั้นที่คลุ้งอยู่ในอากาศ
“เอาล่ะ พวกเจ้าสามคนจะลงมือเองหรือให้ข้าเป็นผู้เด็ดหัวพวกเจ้า?” ท่ามกลางความเงียบสงัด สายตาที่คมกริบของเฉินซีได้กวาดไปยังเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ อย่างเยือกเย็น น้ำเสียงไร้อารมณ์ของเขาเผยชัดถึงความไร้ปรานี
สีหน้าของเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างกลายเป็นสีเขียวคล้ำหลังจากที่ความตกใจได้คลายลง พวกเขารู้แน่แก่ใจดีถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ
“บัดซบ! นี่เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วอย่างนั้นหรือ? หากข้าเข้าใจไม่ผิด การต่อสู้เมื่อครู่นี้คงจะตัดทอนความแข็งแกร่งของเจ้าไปหมดเสียแล้วกระมัง เห็นทีตอนนี้เจ้าคงไม่ต่างอันใดจากเปลือกว่างเปล่า!” เหวยเจิ้งกัดฟันพูดด้วยข่มเสียงให้ดูเคร่งขรึม
แม้ว่าเขาจะพูดออกไปเช่นนั้น ทว่าเจ้าตัวก็หาได้กล้าจะผลีผลามโจมตีออกไป อันที่จริงแล้ว ตอนนี้เขากำลังถูกความกลัวครอบงำเสียจนไม่กล้าขยับ
“มันต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะท้าทายสวรรค์สักเพียงไหน หากสุดท้ายระดับการบ่มเพาะของเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี ตอนนี้ใคร ๆ ก็ดูออกทั้งนั้นว่าเจ้ากำลังแสดงละครตบตาอยู่ หากเจ้ามีแรงพอจะฆ่าพวกข้าจริง ๆ ละก็ คงไม่เสียเวลามาพูดพล่ามเช่นนี้หรอก” โหลวเฟิงที่อยู่ไม่ไกลเสริมด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม
พูดกันตามตรง ที่คนทั้งสองกล่าวเช่นนั้นก็ด้วยตั้งใจจะลอบสังเกตเฉินซี หากมีสิ่งใดผิดปกติ พวกเขาก็ไม่รีรอที่จะอาศัยจังหวะนี้หลบหนีเอาชีวิตรอด แต่แน่นอนว่า หากสถานการณ์เป็นอย่างที่พวกเขาได้กล่าวไว้ คนทั้งสองก็ไม่มีทางที่จะปล่อยโอกาสทองในอันที่จะได้สังหารเฉินซีให้หลุดลอดไปได้
เซวียคุนไม่ได้พูดอะไร หากสายตาที่เปล่งประกายโหดเหี้ยมยามมองไปยังเฉินซีนั้นให้คำตอบที่เด่นชัดยิ่งกว่าวาจาไหน ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ลดน้อยถอยลงของเฉินซี และคงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะฝืนสู้ต่อ!
ท่าทางของเฉินซียังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงแต่จับจ้องยังคนทั้งสามด้วยสายตาที่เย็นชาไม่ต่างจ้องมองซากศพ
การคาดเดาของพวกเขาไม่ผิด! ศึกระหว่างเขากับสยงหมิงทำให้ปราณในร่างหมดลง ทว่าคนพวกนั้นก็หาได้รู้ว่าหากเฉินซีใช้ต้นอ่อนเงาทมิฬแล้ว เขาก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาเพียงไม่นาน
บัดนี้ ใจของพวกเขามีความคลางแคลง แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้เฉินซีได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของตนให้เป็นที่ประจักษ์ผ่านการต่อสู้กับสยงหมิง พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีของเฉินซีในการฟื้นฟูพลัง
แต่ความแข็งแกร่งที่เขาเปิดเผยออกมา …มันก็ได้กลายเป็นตัวสร้างความสงสัยเช่นกันว่า ทำไมชายหนุ่มจึงไม่ลงมือสังหารคนทั้งสามไปในจบ ๆ!
“สหายเต๋าทั้งหลาย มาช่วยกันโจมตีเพื่อฆ่าไอ้สารเลวทั้งสามคนนี้กันเถอะ!” ฉับพลัน เสียงตะโกนหนึ่งก็ได้ดังขึ้น
“ใช่แล้ว! สหายเต๋าเฉินซีได้จัดการเสี้ยนหนามที่ใหญ่ที่สุดให้แก่พวกเขาแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเราต้องใช้ความพยายามเช่นกัน!”
“ไม่ต้องพูดพล่ามให้เสียเวลา! รีบมาจัดการไอ้พวกสารเลวนี่กันเถอะ! ข้าทนมาเกินพอแล้ว!”
ตอนนี้เอง ผู้ข้ามผ่านทั้งหมดคลายจากอารามตกใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ยังกล้าจะต่อปากต่อคำเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่กรูกันเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดัง
พวกเขาทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภพมนุษย์ เดิมทีพวกเขาคิดว่าการมาที่ภพเซียนจะทำให้พวกเขาได้รับการบ่มเพาะที่อิสระ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าตนจะถูกจับมาเป็นแรงงานทาสในเหมือนทันทีที่มาถึง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาถูกกดให้เป็นทาสที่ไม่มีปากไม่มีเสียง ได้แต่ก้มหน้าให้คนเหล่านั้นกระทำย่ำยี ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสั่งสมความเดือดดาลไว้ในใจมานานมากแล้ว
อย่างไรเสีย เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ก็ได้สูญสิ้นที่พึ่งพาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกตนไปแล้ว มีหรือที่ผู้ข้ามผ่านเหล่านี้จะก้มหน้ายอมทนต่อไป?
แม้แต่มู่หลิงหลงเองก็ยังก้าวไปข้างหน้าทั้งที่กัดฟันกรอด จริงอยู่ที่นางไม่รู้วิธีต่อสู้ แต่กระบวนท่าเท้าเทพมายาวิญญาณสุญญตาของนางนั้นเป็นเลิศเกินกว่าใครจะเทียบได้ กระทั้งเฉินซีเองก็ยังอุทานออกมาด้วยความชื่นชม ทันทีที่นางก้าวออกไปข้างหน้า หญิงสาวก็สามารถปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของกลุ่มของเหวยเจิ้งได้อย่างสมบูรณ์ หน้าที่ของมู่หลิงหลงในตอนนี้คือดักทางพวกเขาเอาไว้และสกัดกั้นการโจมตีเพื่อกรุยทางให้แก่ผู้ข้ามผ่านคนอื่น ๆ ได้ลงมือ
“พวกเจ้ากล้าดียังไง!”
“บัดซบ! ไอ้สารเลวพวกนี้ตั้งใจจะต่อต้านพวกเราจริง ๆ น่ะหรือ!?”
เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธเมื่อการต่อสู้เริ่มปะทุขึ้น โชคไม่ดีที่พวกเขาพ่ายแพ้ให้ต่อบรรดาผู้ข้ามผ่านอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงร้องโดยหวนที่น่าสมเพชออกมาเป็นระยะ
แม้ว่าผู้ข้ามผ่านเหล่านี้จะไม่ได้ผสานกับพลังของกฎ แต่ด้วยจำนวนที่มีมากกว่าหกสิบคนก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายอย่างยิ่ง อีกทั้งการที่พวกเขามาจากภพมนุษย์ ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถใช้ออกด้วยกระบวนท่าอันหลากหลาย แน่นอนว่าเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ไม่มีทางจะต่อกรกับการรวมพลังเช่นนี้ได้อย่างเต็มที่!
เมื่อกอปรกับความตายของสยงหมิง ได้ทำลายขวัญกำลังใจของเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง และเซวียคุนไปสิ้น ก็มีแต่เพียงความพ่ายแพ้เท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
ครั้นเฉินซีได้เห็นภาพตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอีกต่อไป ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเก็บยันต์ศัสตรากลับไป ก่อนจะเริ่มจัดเรียงของที่ริบมาได้จากการต่อสู้
สยงหมิงเป็นคนที่ควบคุมดูแลเหมือนวิญญาณทั้งหมด มีหรือที่ความมั่งคั่งของเขาจะน้อยนิด?
ในบรรดาปัจจัยสี่แห่งการบ่มเพาะอันประกอบไปด้วย ความมั่งคั่ง สหาย เคล็ดวิชา และสถานที่ ความมั่งคั่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรกสุด และเป็นสิ่งที่เฉินซีจำเป็นต้องมีอย่างมากด้วยเช่นกัน
—————————————