บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1047 ยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด
บทที่ 1047 ยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด
บทที่ 1047 ยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด
ในสายตาของเฉินซี การต่อสู้เช่นนี้นอกจากไม่น่าสนใจ ทั้งยังน่าเบื่อมาก
สิ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเฉินซีได้คือ ชายผมทอง ตาสีฟ้าที่มีร่างกายกำยำ หากเดาไม่ผิด ชายคนนี้น่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจ้าวแม่ทัพของเผ่าพันธุ์ต่างพิภพ และอีกฝ่ายก็มีตัวตนเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนสวรรค์
หากนี่คือภพมนุษย์ ผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่าพันธุ์ต่างพิภพ ย่อมเป็นการดำรงอยู่ที่สามารถควบคุมลมและเมฆได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้คนหน้าซีดเพียงแค่เอ่ยถึง แต่ในภพเซียนที่มีเซียนสวรรค์จำนวนมากพอ ๆ กับสุนัขข้างถนน และเซียนลึกลับเต็มไปหมด คนผู้นี้จะนับเป็นอะไรได้?
แน่นอนว่าชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินบนสนามประลองก็ค่อนข้างสะดุดตา จากการคาดคะเนของเฉินซี การบ่มเพาะของชายหนุ่มคนนั้นจะต้องอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเหนือกว่าสยงหมิงเล็กน้อย
ประกอบกับรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขา ท่วงท่าสง่างาม และดุดัน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หญิงสาวทุกคนต่างคลั่งไคล้ ชายหนุ่มที่หล่อเหลาและกล้าหาญอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นนี้ เป็นอันตรายต่อจิตใจของเหล่าหญิงสาวอย่างแท้จริง
“ชายคนนั้นถูกจับตัวมาจากพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์จากนอกพิภพ เดิมถูกเรียกว่าอัศวินโต๊ะกลม มีสถานะที่ค่อนข้างสูงส่งในพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์ พอมาถึงก็เอาแต่เห่าว่าเข่นฆ่าไปทั้งสามภพ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง”
เถิงหลานที่อยู่ใกล้เคียงหัวเราะออกมาเบา ๆ และไม่ปิดบังความรังเกียจของเขาแม้แต่น้อย “ไม่ต้องกล่าวถึงอัศวินโต๊ะกลม แม้แต่อัศวินศักดิ์สิทธิ์หรือเทวทูตก็เป็นเพียงตัวตลกสำหรับผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพเซียนเท่านั้น”
เฉินซีตระหนักดีว่าไม่ใช่แค่เถิงหลาน แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียนล้วนมองพวกเผ่าพันธุ์ต่างภพ เป็นคนป่าเถื่อนโง่เขลา ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้
ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในสนามประลอง ชายร่างกำยำจากพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็ถือหอกสัมฤทธิ์ไว้ในมือ และแทงมันไปที่ชายหนุ่มอย่างดุเดือด
โอม!
หอกสัมฤทธิ์เปล่งประกายด้วยพลังอันรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และแสดงเจตนาที่จะจัดการชายหนุ่มไปพร้อมกับเขา ทำให้หญิงสาวทุกคนที่อยู่ที่นี่ หวีดร้องออกมาเสียงแหลม
“น่าเบื่อ” ชายหนุ่มส่ายศีรษะและถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะใช้ปลายนิ้ว ปัดปลายหอกของชายร่างกำยำผู้นั้นด้วยท่วงท่าอันสง่างามยิ่ง
ปัง!
เสียงปังดังก้องกังวาน พร้อมกับหอกสัมฤทธิ์ที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหมือนค้อนขนาดใหญ่ทุบใส่ชายผมทองและตาสีฟ้า ร่างกำยำถูกแรงระเบิดผลักออกจากสนามประลอง เขากระอักโลหิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นล้มอย่างแรงจนพื้นกระเทือน
ชายผมทองพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้น แต่กลับถูกใส่กุญแจมือโดยกลุ่มผู้คุมที่โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ แล้วถูกลากออกไป
“คนเถื่อนก็เป็นเพียงคนเถื่อนอยู่วันยังค่ำ และมันไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว” ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินตบมือของเขาและหัวเราะเบา ๆ
หญิงสาวที่อยู่รอบข้างต่างหวีดร้องเมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของพวกนางแดงก่ำ สายตาที่จับจ้องไปยังชายหนุ่มก็เผยให้เห็นถึงความรักอันเร่าร้อน
“สหายคนนั้นกล่าวถูกแล้ว การต่อสู้เช่นนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ ข้าสงสัยว่าหญิงสาวเหล่านั้นตื่นเต้นกับอะไร… ” เฉินซีขมวดคิ้วและไม่ชอบสถานที่อึกทึกครึกโครมแบบนี้เล็กน้อย ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับรังแกผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจ้าวแม่ทัพจากเผ่าพันธุ์ต่างภพที่มีพลังเทียบเท่ากับเซียนสวรรค์ ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก และมันน่าเบื่อเกินไป
“ชายหญิงเหล่านี้เป็นผู้สืบเชื้อสายจากมหาอำนาจต่าง ๆ ในเมืองจตุรเทพ และย่อมไม่ขาดแคลนผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่ส่วนใหญ่เป็นคุณชายจอมเสแสร้งนิสัยเสียและคุณหนูจอมเอาแต่ใจ พวกเขาไม่เคยเผชิญหน้ากับการฆ่าฟัน จึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา” เถิงหลานยิ้มขณะอธิบาย
เฉินซีเข้าใจในทันที
“แต่เจ้าอย่าได้ประเมินอู๋อี้ฟ่านต่ำไป” เถิงหลานจ้องมองไปยังชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินบนสนามประลอง และเผยสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อัจฉริยะหนุ่มคนนี้เป็นแขกที่ได้รับเชิญจากคนตระกูลเหลียงสายรอง เขามาจากทวีปนภาเหมันต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่มหาทวีป และเป็นปรมาจารย์ยันต์อักขระอายุน้อยที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่นั่น ว่ากันว่า เขามีคุณสมบัติที่จะเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ และอาจก้าวไปสู่การเป็นสุดยอดปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระในอนาคต ช่างเป็นอนาคตอันไร้ขีดจำกัดจริง ๆ”
ขณะที่กล่าว คำพูดของเถิงหลานก็ไม่เคยขาดคำชม แต่น้ำเสียงของเขากลับเผยให้เห็นถึงความเย็นชา
เฉินซีครุ่นคิดและเข้าใจในทันที เนื่องจากบุคคลนี้ได้รับเชิญจากคนตระกูลเหลียงสายรอง ดังนั้นเขาจึงนับว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มอื่นในตระกูลเหลียง
ตระกูลหรือขุมพลังใด ๆ จะไม่อนุญาตให้พวกสายรองสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองและคุกคามสถานะของผู้สืบทอดสายตรงได้ ดังนั้นการที่คนตระกูลเหลียงสายรองที่เชื้อเชิญอู๋อี้ฟ่านมา ย่อมมีเจตนาที่แปลกประหลาด
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็อดที่จะมองไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป เหลียงปิงนั่งอย่างสง่างามบนเก้าอี้นุ่ม ใบหน้าแต้มยิ้มจาง ๆ และเผยท่าทีสง่างาม แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะสังเกตได้ว่าสายตาของนางที่มองไปยังอู๋อี้ฟ่านนั้น เต็มไปด้วยความเย็นชาและเฉยเมย
เฉินซีสังเกตเห็นทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน และหัวเราะในใจ “ถ้าเจ้ารู้ว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้น ไฉนยังต้องจัดงานเลี้ยงเช่นนี้?”
ในขณะเดียวกัน อู๋อี้ฟ่านที่ยืนอยู่บนสนามประลองก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ทำให้เสียงร้องแหลมสูงในห้องโถงเงียบลงทันที แขกบางคนที่อยู่ไกลออกไปก็มิอาจละสายตาจากเขาได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อู๋อี้ฟ่านจึงเผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ที่มุมปากของตน จากนั้นกระแอมในลำคอ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “เหล่าสหายทุกท่าน ข้าดั้นด้นเดินทางจากเมืองนภาเหมันต์มาไกล เพราะข้าชื่นชมต่อชื่อเสียงของตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว ตระกูลกู๋ และตระกูลอิน ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านเต๋าแห่งยันต์อักขระ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานเลี้ยงของคุณหนูเหลียงปิง…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็หยุดชั่วขณะ และกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่เหลียงปิง ชายหนุ่มยิ้มและป้องมือ “เพื่อแสดงความเคารพของข้า ไฉนเราไม่ใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนวิธีการสร้างยันต์อักขระกันเล่า?”
“แลกเปลี่ยนหรือ?”
แขกทุกคนต่างแสดงสีหน้าสนใจ และบางคนอดที่จะถามไม่ได้ “คุณชายอู๋ ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าการประลองจะทำอย่างไร”
อู๋อี้ฟ่านหัวเราะและกล่าวว่า “ง่ายมาก หากสหายเต๋าจากตระกูลเหลียงที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ใช้พู่กันยันต์อักขระ หมึก และวัตถุดิบเซียนแบบเดียวกัน เพื่อสร้างยันต์อักขระที่เหนือกว่าข้าในด้านความเร็วและคุณภาพได้ ไม่เพียงแต่ข้าอู๋อี้ฟ่านจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ แต่จะยอมทิ้งสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงอีกด้วย”
เขาพลิกฝ่ามือในขณะที่กล่าว กระบี่อมตะสีฟ้าอ่อนอันเยือกเย็นลึกล้ำดุจน้ำแข็ง ราวกับมังกรน้ำแข็งที่สง่างามพลันปรากฏขึ้นในมือ มันถูกปกคลุมด้วยกระแสความเย็นอันน่าทึ่ง และมีกลิ่นอายแหลมคมที่แช่แข็งอากาศในบริเวณใกล้เคียง จนกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
กระบี่อมตะสีน้ำเงินนั้นเย็นชา กดดัน เป็นดั่งภาพลวงตาอันลึกลับ และเป็นสมบัติที่หายากอย่างแท้จริง
ท่ามกลางผู้คนย่อมไม่ขาดผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลม พวกเขารับรู้ได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวว่านี่เป็นสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงที่หายาก จึงอุทานด้วยความชื่นชมไม่รู้จบ
“เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มาหาเรื่อง แต่ก็ยังกล่าวด้วยท่าทีน่านับถือและให้เกียรติ ช่างเป็นคนหน้าซื่อใจคดจริง ๆ” เฉินซีส่ายหน้าแทน
อู๋อี้ฟ่านจ้องมองไปยังเหลียงปิงที่อยู่ห่างไกล รอยยิ้มมีเสน่ห์โค้งขึ้นที่มุมปาก “ข้าสงสัยนักว่าคุณหนูเหลียงปิงคิดเห็นอย่างไร?”
ทันทีที่พูดจบ แขกทุกคนก็เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าอู๋อี้ฟ่านตั้งใจจะประลองกับตระกูลเหลียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ! ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ขณะจ้องมองไปยังเจ้าของงานเลี้ยงอย่างพร้อมเพรียงกัน สายตาของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความคาดหวังเล็กน้อย
ผู้คนส่วนใหญ่มาจากขุมพลังต่าง ๆ ในเมืองจตุรเทพ ยามนี้ เมื่อเห็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงจากทวีปนภาเหมันต์ ตั้งใจจะประลองกับตระกูลเหลียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ พวกเขาก็ตั้งตารอการแสดงนี้อย่างใจจดใจจ่อ
เหลียงปิงยืนขึ้นช้า ๆ และเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรอยยิ้มอันงดงามจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง “ในเมื่อคุณชายอู๋สนใจ เช่นนั้นการประลองก็ดีเหมือนกัน”
ทันทีที่นางกล่าวจบ ชายหนุ่มสองสามคนของตระกูลเหลียงก็เดินออกมา และขออนุญาตประลองกับอู๋อี้ฟ่าน
เหลียงปิงยิ้มและบอกให้พวกเขาสงบสติอารมณ์ นางจ้องมองไปยังอู๋อี้ฟ่านและกล่าว “เชิญ”
“ฮ่า ฮ่า! คุณหนูเหลียงปิง สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเหลียง แม้ว่าข้าจะไม่สนใจการบ่มเพาะของเจ้าในเต๋าแห่งยันต์อักขระ แต่การแสดงเช่นนี้ก็ทำให้ข้าชื่นชมอย่างมาก” อู๋อี้ฝานหัวเราะอย่างเต็มที่ก่อนจะเดินไปยังใจกลางสนามประลอง
มีคนรับใช้คนหนึ่งวางโต๊ะไว้ตรงหน้าเขา บนโต๊ะมีทั้งพู่กันยันต์อักขระ หมึก และวัตถุดิบเซียนตามคำขอของอู๋อี้ฟ่าน
“เนื่องจากเป็นการประลองกับสหายเต่าของตระกูลเหลียง จึงไม่สามารถประลองด้วยยันต์อักขระธรรมดาได้ ไยเราไม่สร้าง ‘ดาราเริงระบำ’ หนึ่งในยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ดที่ได้รับการยอมรับจากผู้ศึกษาในเต๋าแห่งยันต์อักขระเสียเลยล่ะ?” ในขณะที่กล่าว อู๋อี้ฟ่านก็ยิ้มเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
ในชั่วพริบตา ใบหน้าอันหล่อเหลาพลันสงบลงและมีสมาธิ จากนั้นยื่นมือออกไปหยิบหยกสีดำชิ้นหนึ่ง มืออีกข้างถือพู่กันยันต์อักขระไว้มั่น เขาเริ่มจุ่มพู่กันลงในหมึกก่อนจะแกว่งพู่กันด้วยท่วงท่านุ่มนวลและสง่างาม ซึ่งเต็มไปด้วยจังหวะอันน่าอัศจรรย์ ทั้งยังดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง
ท่วงท่าของเขาดูอ่อนช้อย แต่ก็รวดเร็วถึงขีดสุด และสร้างภาพลวงตาที่ทำให้คนอื่นตื่นตาตื่นใจ
เมื่อเหล่าหญิงสาวเห็นฉากนี้ พวกนางต่างอุทานด้วยความชื่นชม ผิวหนังบนร่างกายบางส่วนถึงกับเปลี่ยนเป็นสีแดงกุหลาบ และรูปร่างหน้าตาอันเย้ายวน จนชายหนุ่มที่อยู่รอบข้างไม่อาจต้านทานได้
ยังไม่นับ เสน่ห์อันยากอธิบายของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระ เมื่อพวกเขาลงมือสร้างยันต์อักขระ ในความเห็นของผู้อื่น ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระเป็นตัวแทนของสถานะและความมั่งคั่งที่กระตุ้นความเคารพในใจของผู้คน
เพราะไม่ว่าการกลั่นโอสถ การขัดเกลาอุปกรณ์ หรือบางทีการขัดเกลาหุ่นเชิดและการเลี้ยงสัตว์เซียน… เกือบทุกอย่างไม่สามารถหลีกหนีจากเงาของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระได้ ตัวอย่างเช่น หม้อกลั่นที่จำเป็นในการปรุงยา ยันต์อักขระที่สลักไว้ในสมบัติวิเศษ กลไกที่ใช้ในการควบคุมหุ่นเชิด และอื่น ๆ ล้วนเป็นผลงานของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระทั้งสิ้น
อาจกล่าวได้ว่าปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระเป็นกลุ่มคนอันดับต้น ๆ ในแทบทุกอาชีพ ทำให้สถานะและตัวตนของพวกเขาห่างไกลจากคนอื่น ๆ
เฉินซีขมวดคิ้วและรู้สึกเบื่อมากขึ้น การประลองแบบนี้เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ การสร้างยันต์อักขระไม่ได้ใช้เพื่ออวดหรือแข่งขัน
เถิงหลานที่อยู่ใกล้เคียงยังคงนิ่งเงียบ ขณะจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของอู๋อี้ฟ่านบนสนามประลอง ก่อนคิ้วจะค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน และแสดงสีหน้าหนักใจเล็กน้อย
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ลุงหลาน ยันต์อักขระนั้นคือ ‘ดาราเริงระบำ’ หรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้ยินเกี่ยวกับ ‘ยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด’
“นั่นคือวิธีการกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระ ตามตำนานเล่าว่า มีเจ็ดศิลาจารึกที่ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าภายในดินแดนจักรพรรดิยันต์อักขระ ศิลาทุกอันมีผังอักขระยันต์จารึกไว้ ผังอักขระยันต์เหล่านี้เรียกว่ายันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด”
เถิงหลานตกตะลึง ก่อนจะตระหนักว่าเฉินซีเพิ่งมาถึงภพเซียนและไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ ดังนั้นจึงอธิบายเพิ่ม “ดาราเริงระบำเป็นหนึ่งในผังอักขระยันต์ของยันต์อักขระต้องห้ามทั้งเจ็ด หากใครสามารถสร้างยันต์อักขระเหล่านี้ได้เพียงสักหนึ่งชนิด ก็จะถูกขนานนามว่าเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระที่แท้จริง!”