บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1095 องครักษ์โมฆะ
บทที่ 1095 องครักษ์โมฆะ
“บัดซบ! เฉินซีคนนี้เบียดอันดับของข้าลงมาจริง ๆ!” จั่วชิวเคอโบกมือขาวราวกับหิมะไปมา ขณะกล่าวด้วยความโกรธ และไม่ได้สังเกตเลยสักนิด ว่าสีหน้าของจั่วชิวคงนั้นดูมืดมนเล็กน้อย
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน! ทำไมชื่อนี้ถึงรู้สึกคุ้นยิ่งนัก” จั่วชิวเคอตกตะลึงและดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้คิ้วสวยงามของนางเลิกขึ้น และกล่าวด้วยความประหลาดใจปนงุนงง “เฉินซีผู้นี้ คงจะไม่ใช่เฉินซีคนนั้นกระมัง?”
จั่วชิวคงยังคงเงียบ เขาเพียงจ้องมองชื่อที่อยู่บนอันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าด้วยสายตาสงบและลึกล้ำ
คำอธิบายบนเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้านั้นก็เรียบง่ายมาก และมีเพียงคำสั้น ๆ เท่านั้น เฉินซีอันดับที่ห้าในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปทักษิณา อันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า ส่วนนอกจากนี้ ก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ
แต่จั่วชิวคงดูเหมือนจะแยกแยะหลายสิ่งได้จากสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในห้วงความคิดอย่างลึกซึ้ง และเงียบไปเป็นเวลานาน
การกระทำที่ผิดปกตินี้ ทำให้จั่วชิวเคอตระหนักได้ว่า เฉินซีคนนี้น่าจะเป็นเฉินซีคนนั้น ในตระกูลจั่วชิว ชื่อเฉินซีเป็นคำต้องห้าม และเป็นตัวแทนของไอ้สารเลวที่ไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้!
“พี่ใหญ่ เป็นมันจริง ๆ หรือ?” จั่วชิวเคออดไม่ได้ที่จะถาม
“อืม” จั่วชิวคงตื่นขึ้นจากการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สีหน้าของเขาก็กลับมามีรูปลักษณ์ที่สงบนิ่งและไม่แยแส “นึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี มันจะเติบโตได้ถึงขนาดนี้ มันทำให้ข้าประหลาดใจเช่นกัน”
จั่วชิวเคอคำราม “ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีสายเลือดครึ่งหนึ่งของตระกูลจั่วชิวไหลเวียนอยู่ในร่างกาย การบ่มเพาะของมันจะรุดหน้าได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? พี่สะใภ้ไม่ควรให้กำเนิดมันเลยจริง ๆ!”
จั่วชิวคงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เคอเอ๋อร์อย่าได้กล่าวถึงคำว่าพี่สะใภ้อีก!”
จั่วชิวเคอย่นริมฝีปากของตนเป็นการตอบกลับ
“นายน้อย มีข่าวของเฉินซีเพิ่งถูกส่งเข้ามา” ในขณะนี้ ชายชราที่ดูไม่มั่นคง มีรอยเหี่ยวย่นและผมสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ เขาโค้งคำนับให้จั่วชิวคงก่อนจะยื่นแผ่นหยกให้
จั่วชิวคงเลิกคิ้วขึ้น เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องบังเอิญจะเกิดขึ้นเช่นนี้ เขาเพิ่งเห็นชื่อเฉินซี และข่าวเกี่ยวกับเฉินซีก็มาถึง
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับแผ่นหยก ก่อนที่จะมองดูเนื้อหาภายในนั้น
เนื้อหานั้นเรียบง่ายมาก และได้บันทึกรายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีในเมืองจตุรเทพ รวมถึงการฝึกฝนในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ การหลบซ่อนอยู่ในตระกูลเหลียง และแน่นอนว่ารวมถึงการเป็นศัตรูกับตระกูลอิน
จั่วชิวคงไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะมีเพียงทวีปทักษิณาและสี่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่มีมรดกเก่าแก่ ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซี เขาคงไม่ใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้
ใช่ เขาแค่กังวลว่าเฉินซีจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เท่านั้น!
บางคนกังวลเพราะความปรารถนาดี ในขณะที่บางคนกังวลเพราะภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ มิฉะนั้นความกังวลนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
เห็นได้ชัดว่าความกังวลของจั่วชิวคงเป็นเรื่องหลัง
หลังจากดูแผ่นหยกเสร็จ เขาก็พบว่า เฉินซียังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี อีกทั้งการบ่มเพาะก็บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ และเข้าใจกฎแห่งมหาเต๋ามากกว่าห้าประเภท ยิ่งไปกว่านั้น พลังฝีมือของเฉินซีก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
เห็นได้จากการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า สิ่งเดียวที่จั่วชิวคงคาดไม่ถึง คือเฉินซีได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการบ่มเพาะ และพัฒนาพลังฝีมือเป็นอย่างมาก
“แผ่นหยกนั่นมีข่าวอันใดกันหรือ?” จั่วชิวเคอเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นยิ่ง
จั่วชิวคงส่งแผ่นหยกให้ และกล่าวว่า “แค่การต่อสู้ของคนต่ำต้อย”
ทันทีที่นางดูจบ จั่วชิวเคอก็โมโหเล็กน้อย “ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ? นี่ไม่ได้หมายความว่าการบ่มเพาะของมันด้อยกว่าข้า แต่มีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหรอกหรือ?”
ใช่แล้ว นางเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับ และเพิ่งผ่านการทดสอบในชั้นที่สิบหกของเจดีย์วิญญาณนักรบของตระกูล และไต่อันดับขึ้นสู่อันดับที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า
แต่ตอนนี้ ชื่อของนางกลับถูกผลักให้ร่วงลงในเวลาไม่กี่อึดใจ ยิ่งกว่านั้น คนที่ทำมันเป็นเพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น!
จั่วชิวคงยิ้ม ก่อนที่จะกล่าวอย่างจริงจัง “ที่มันด้อยกว่าเจ้า เพราะเจ้าเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจั่วชิว และเจ้าเพิ่งบ่มเพาะมาไม่ได้กี่สิบปี… มีเหตุผลมากมายที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่มีคุณสมบัติพอจะเทียบเจ้าได้เลย”
จั่วชิวเคอขมวดคิ้ว “แต่ข้าก็ยังไม่พอใจอยู่ดี และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น เมื่อหวนคิดว่าคนผู้นี้เหนือกว่าข้าจริง ๆ”
จั่วชิวคงกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่สบายใจหรือ? เป็นเรื่องง่ายมากที่จะแก้ปัญหา งั้นเราจะไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้!”
“พี่ใหญ่ หรือว่าเจ้าตั้งใจจะลงมือด้วยตนเอง?” ดวงตาของจั่วชิวเคอเบิกกว้าง
“ข้าไม่มีเวลามาสนใจคนที่ควรจะตายไปนานแล้ว” จั่วชิวคงกล่าวอย่างสบาย ๆ ก่อนจะเหลือบมองชายชราผมขาวที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
ชายชราก้าวไปข้างหน้าทันที “นายน้อย โปรดถ่ายทอดคำสั่งด้วย”
จั่วชิวคงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งและกล่าวว่า “องครักษ์โมฆะก็ได้ฝึกฝนมาหลายปีแล้ว ถึงเวลาทดสอบความเฉียบคมสักหน่อย จงไปบอกผู้บัญชาการหลูเฉิน ให้นำองครักษ์โมฆะสิบสองคนไปจัดการกับไอ้สารเลวนั่น”
องครักษ์โมฆะ!
กลุ่มองครักษ์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อจั่วชิวคง!
พวกเขามีทั้งหมดหกสิบสี่คน และทุก ๆ คนเป็นล้วนเป็นต้นกล้าชั้นเลิศซึ่งถูกคัดเลือกมาจากทั่วภพเซียน ผ่านการทดสอบมากมาย นับว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ที่มีทั้งวาสนาอันยอดเยี่ยมและวินัยที่ไม่ธรรมดา!
ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย องครักษ์เหล่านี้ถูกตระกูลจั่วชิวขัดเกลาด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะและโอสถทิพย์ที่ดีที่สุด อีกทั้งยังต้องผ่านการทดสอบอันแสนโหดร้าย ทำให้พลังฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจึงเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง
ชายชราตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “นายน้อย การใช้องครักษ์โมฆะกับเฉินซี จะไม่เป็นการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือหรอกหรือ?”
จั่วชิวคงโบกมือ “ทำตามที่ข้าบอก”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายชราได้แต่เพียงรับคำสั่งและจากไป
จั่วชิวเคออดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “พี่ใหญ่ ความแข็งแกร่งขององครักษ์โมฆะเหล่านี้อยู่ที่ประมาณขอบเขตเซียนลึกลับใช่หรือไม่? ถ้าพวกเขาถูกจัดอันดับอยู่ในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า จะได้อันดับเท่าใดกัน?”
จั่วชิวคงคิดอยู่ครู่หนึ่งและหัวเราะเบา ๆ “ผู้ที่อ่อนแอที่สุดอาจอยู่ในห้าร้อยอันดับแรกกระมัง? อันที่จริงเจ้าไม่สามารถเปรียบเทียบพวกเขาในลักษณะนี้ได้ เพราะนับตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยองครักษ์โมฆะขึ้นมา เป้าหมายเดียวที่มีคือการสังหาร! สำหรับชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ และอิทธิพล พวกเขาล้วนไม่ต้องการ”
“แล้วเราควรแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องนี้หรือไม่?” จั่วชิวเคออดไม่ได้ที่จะถามต่อไป
“มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย และข้าจัดการกับมันได้ หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ท่านพ่ออาจกังวลว่าข้าจะไม่มีใจทำและไว้ชีวิตเจ้าเด็กนั้นแทน” เห็นได้ชัดว่าจั่วชิวคงไม่เต็มใจที่จะกล่าวอะไรเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่อมา เขาเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “เคอเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่า เจ้าต้องการลงทะเบียนเป็นผู้สมัครของ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ?”
จั่วชิวเคอพยักหน้า “ใช่แล้ว ในบรรดาเจ็ดสำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ของภพเซียน มีเพียงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้นที่อยู่เหนือกว่าทุกแห่ง และไม่มีใครเทียบได้ ดังนั้นข้าจึงอยากลองสัมผัสกับมันสักครั้ง”
จั่วชิวคงขมวดคิ้ว แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ความสัมพันธ์ของตระกูลเรากับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นไม่ค่อยดี ดังนั้นเจ้าต้องฟังผู้อาวุโสของตระกูลเราเมื่อไปถึงที่นั่น และต้องไม่สร้างปัญหาใด ๆ เข้าใจหรือไม่”
จั่วชิวเคอกล่าวด้วยความประหลาดใจ “มีผู้อาวุโสในตระกูลของเราหลายคนที่เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่ใช่หรือ? แล้วความสัมพันธ์ของตระกูลเรากับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะไม่ค่อยดีได้อย่างไร”
“เจ้าจะเข้าใจเมื่อไปถึงที่นั่น จำไว้ จงเชื่อฟังผู้อาวุโสของตระกูลเรา มิฉะนั้น หากเจ้าสร้างปัญหาใด ๆ ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้”
จั่วชิวคงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าการกล่าวถึงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทำให้หวนนึกถึงบางสิ่งที่ทำให้ลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
จั่วชิวเคอรู้สึกประหลาดใจ ในใจของนาง บิดาเป็นดั่งตัวตนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในภพเซียน และไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่พี่ชายของนางกล่าว ดูเหมือนบิดาของนางจะไม่อาจมีอิทธิพลเหนือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้!
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ลบล้างความตั้งใจที่จะมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของนางได้ และกลับเกิดความสงสัยแทน “สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นขุมพลังเช่นใดกันแน่? จนแม้แต่ตระกูลจั่วชิวของข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเกรงกลัวมัน?”
…
รุ่งเช้าวันถัดมา
ท้องฟ้าเพิ่งสว่างขึ้น เฉินซีเดินออกจากห้องพัก เขาได้เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว และตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังทวีปดาราวีรบุรุษในวันนี้
ราวกับรู้ว่าเฉินซีจะจากไป เพราะทันทีที่เขาออกจากห้องพัก เฉินซีก็เห็นเหลียงปิง หลัวจื่อเฟิง และกู่อวี่ถังรออยู่ก่อนแล้ว
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกล้อ “พวกเจ้าตั้งใจจะมาส่งข้าหรือ?”
หลัวจื่อเฟิงถอนหายใจ “พี่เฉิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนข้ายุ่งแค่ไหน เพื่อที่จะจัดการกับตระกูลอิน ข้า…”
เหลียงปิงจ้องมองมาและกล่าวขัดจังหวะ “วันนี้อย่าได้กล่าวถึงเรื่องอื่นเลย”
หลัวจื่อเฟิงพลันยิ้มด้วยความเขินอายทันที “ใช่แล้ว พี่เฉินกำลังจะจากไป หากมัวแต่พูดถึงเรื่อนี้ เดี๋ยวจะเสียอารมณ์ซะเปล่า ๆ”
“พี่เฉิน นี่คือพู่กันยันต์อักขระรอยดาราที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลข้า ท่านพ่อไหว้วานให้ข้ามอบมันให้กับเจ้า โปรดรับมันไว้ด้วย” ในขณะเดียวกัน กู่อวี่ถังก็ก้าวไปข้างหน้าและยื่นพู่กันยันต์อักขระออกไป
พู่กันยันต์อักขระนี้มีความยาวประมาณแปดชุ่น ละเอียดเหมือนข้อนิ้ว และมีสีเงินเข้ม มันอบอวลไปด้วยประกายสีเงิน อีกทั้งยังลึกลับและสว่างไสวเหมือนแสงของดวงดาว
พู่กันยันต์อักขระรอยดารา!
ดวงตาของเหลียงปิงและหลัวจื่อเฟิงเบิกกว้าง พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติของตระกูลกู่ และไม่เพียงแต่เป็นสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังมีผลมหัศจรรย์ต่าง ๆ เพื่อสร้างยันต์อักขระ ซึ่งในแวดวงของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระแห่งภพเซียน มันเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในอดีต พู่กันยันต์อักขระรอยดารานี้ อยู่ในความดูแลของกู่เจินอวี่ ผู้นำของตระกูลกู่มาโดยตลอด และเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะได้เห็นมัน แต่ตอนนี้ กู่อวี่ถังได้นำมันออกมา แล้วมอบให้กับเฉินซี ดังนั้นเหลียงปิงและหลัวจื่อเฟิงจะไม่ตกใจได้อย่างไร
เพราะของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความปรารถนาดีที่ตระกูลกู่มีต่อเฉินซี
เฉินซีกำลังจะปฏิเสธ แต่กลับได้ยินหลัวจื่อเฟิงหัวเราะลั่นเสียก่อน “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ ท่านพ่อก็ได้มอบสมบัติให้ข้าเช่นกัน และเขาบอกข้าว่าต้องมอบมันให้กับพี่เฉินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มิฉะนั้นท่านพ่อจะไม่ยอมให้ข้าได้กลับไปตระกูลตลอดชีวิต”
ว่าแล้วก็ดึงกล่องหยกสีม่วงเข้มรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมา มันถูกจารึกด้วยอักขระยันต์ที่หนาแน่นและซับซ้อน ทำให้มันดูลึกลับและไม่ธรรมดา
เฉินซีตกตะลึง มองไปที่พู่กันยันต์อักขระรอยดาราในมือของกู่อวี่ถัง จากนั้นมองไปที่กล่องหยกสีม่วงเข้มในมือของหลัวจื่อเฟิง และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น เขาหันกลับไปมองเหลียงปิง แล้วกล่าวว่า “มันเกิดอะไรขึ้น? ข้า…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบ แต่ก็ต้องหุบปากสนิท
เพราะเหลียงปิงได้นำบางอย่างออกมาในทำนองเดียวกัน ไม่สิ นางนำสัตว์อสูรอมตะที่ดูเหมือนเสือโคร่งหรือเสือดาวออกมา ร่างกายของพวกมันเป็นสีเงินทั้งหมด มีท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด ขนของมันก็ปลิวไสวด้วยผังอักขระยันต์ อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวและเย่อหยิ่งออกมา
แม้ว่ามองจากระยะไกล กลิ่นอายร้ายกาจที่แผ่ออกมา ก็ยังจู่โจมเข้าใบหน้าอย่างจัง!