บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1098 จงใจหาเรื่อง
บทที่ 1098 จงใจหาเรื่อง
หลังจากนั้นไม่นาน แสงสว่างสีม่วงในดวงตาของหลูเฉินก็หายไป และกลับมาสงบดังเดิม
เขาเปิดแผ่นหยกสื่อสาร แล้วทำการตรวจสอบพักใหญ่ มุมปากยกขึ้น ก่อนสะบัดมือแล้วเอ่ยว่า “เกาหลิน เอาแผนที่มา”
ชายหนุ่มร่างผอมกำยำรับคำสั่งอย่างจริงจัง ก่อนทำการส่งมอบแผนที่
ฟ้าว!
แผนที่นี้ไม่ใช่แผนที่ทั่วไป เพราะทันทีที่เปิดกางออก มันให้ความรู้สึกราวกับเปิดม้วนคัมภีร์ ฉากขุนเขาธารา ทะเลสาบ และเมืองปรากฏขึ้น เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย และถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆเซียน ราวกับพวกมันเป็นของจริง
หลูเฉินชี้นิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนลากเส้นโค้งลงบนแผนที่ หากตั้งใจมองให้ดี จะเห็นว่ามันคือเส้นทางจากทวีปทักษิณาสู่ทวีปดาราวีรบุรุษ
หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาจะต้องพบว่าเส้นทางที่หลูเฉินวาดอย่างไม่ใส่ใจบนแผนที่ เหมือนกับเส้นทางที่เหลียงปิงเตรียมให้แทบทุกกระเบียดนิ้ว!
“ศิษย์พี่หลูเฉิน ท่านพบร่องรอยของเป้าหมายหรือไม่?” เกาหลินถามเสียงต่ำจากด้านข้าง
ในยามนี้ เหล่าองครักษ์โมฆะตรงเข้ามาเช่นกัน
“พบแล้ว” หลูเฉินพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “แต่น่าเสียดาย ศิษย์น้องเจี่ยงหนานกับเยว่เจิ้นช้าไปหนึ่งก้าว เป้าหมายออกจากทวีปทักษิณาก่อนกำหนด และกำลังมุ่งหน้าสู่ทวีปดาราวีรบุรุษ”
“ทวีปดาราวีรบุรุษหรือ?” คนอื่นต่างตกตะลึง ก่อนมีใครบางคนถามด้วยความสงสัยว่า “เป้าหมายจะทำอะไร?”
“เขาคงไม่ได้จะสมัครเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าใช่หรือไม่?” อีกคนคิ้วขมวด ก่อนทำการคาดเดา
หลูเฉินพยักหน้าอีกครั้ง “มีความเป็นไปได้สูง ตอนนี้เป้าหมายอยู่อันดับ เก้าร้อยเก้าสิบเก้าบนเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า มีคุณสมบัติเพียงพอในการสมัครเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า”
หลังจากนิ่งไป เขาก็เอ่ยต่อ “คาดว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ในทวีปทักษิณา เป้าหมายได้เตรียมการที่จะสมัครเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพราะมีแค่การทำเช่นนั้น จึงจะทำให้สถานการณ์ปลอดภัยที่สุด ถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นพลังของตระกูลจั่วชิว หากคิดจะกวาดล้างเป้าหมายอีกครั้ง ย่อมเป็นเรื่องยาก”
สิ้นคำ องครักษ์โมฆะถามด้วยความประหลาดใจว่า “แสดงว่า เขาคาดเดาถึงสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำไว้แล้วหรือ?”
หลูเฉินส่ายหน้า “เป้าหมายเป็นคนฉลาด เขาย่อมคาดเดาได้ว่าไม่ช้าก็เร็วตระกูลจั่วชิวจะเคลื่อนไหว แต่คงไม่คิดว่า เป็นฝีมือพวกเราที่ทำเช่นนั้น”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาชี้ไปยังแผนที่ในมือ “ดูสิ ในบรรดาเส้นทางทั้งหมดบนแผนที่ มีเพียงเส้นทางนี้ที่ตัดผ่านหกทวีปอย่างร้อยวสันต์ อุดรคีรี สัปยุทธ์เรืองรอง พันวังวน เมฆาพำนัก และสารท มันมากพอที่จะทำให้เป้าหมายไปถึงทวีปดาราวีรบุรุษได้ภายในสามเดือน”
“หากเลือกเส้นทางอื่น เป้าหมายก็จะพลาดโอกาสในการสมัครเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้น หากพวกเราจะลงมือก็ต้องเลือกสถานที่จากเส้นทางเหล่านี้”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาล้วนจับจ้องไปยังเส้นทางที่หลูเฉินวาด พลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด
“ศิษย์พี่หลูเฉิน ท่านอยากให้พวกเราลงมือที่ไหน?” ใครบางคนเอ่ยถาม
“จำเป็นต้องถามอีกหรือ บัดนี้เป้าหมายน่าจะถึงทวีปร้อยวสันต์แล้ว ถ้าเราตรงไปทวีปสัปยุทธ์เรืองรอง รอให้อีกฝ่ายมาติดกับ แล้วเชือดทิ้งในคราวเดียว!”
ก่อนหลูเฉินจะทันได้พูดอะไร ใครบางคนชิงตอบก่อนแล้ว
คำแนะนำนี้ได้รับความเห็นชอบจากผู้คนทั้งหมด มันก็แค่สหายตัวน้อยผู้ติดอันดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้าบนเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า หากหนึ่งในพวกเขาลงมือ ก็มากพอที่จะสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการฆ่ามดตัวหนึ่ง
ใครบางคนคิ้วขมวดแล้วเอ่ยว่า “ไม่สิ ในเมื่อเป้าหมายระวังตัว เขาจะต้องไม่หยุดกลางทาง แต่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติมุ่งหน้าสู่ทวีปดาราวีรบุรุษอย่างสุดกำลัง อีกฝ่ายอาจจะหนีในจังหวะที่พวกเรามัวแต่รอก็ได้”
“ฮ่า ๆ ศิษย์น้องซิน เจ้าประเมินเป้าหมายสูงเกินไป” ใครบางคนไม่เห็นด้วย ก่อนมองไปทางหลูเฉิน แล้วถามว่า “ศิษย์พี่หลูเฉิน ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี?”
คนอื่นพากันมองมาคนแล้วคนเล่า พวกเขารู้ดีว่า ต่อให้พูดคุยกันมากกว่านี้ ท้ายที่สุดคนที่ตัดสินใจก็คือหลูเฉิน
“ให้เจี่ยงหนิง รวมถึงเยว่เจิ้นติดตามเป้าหมายก็แล้วกัน พวกเขาจะคอยรายงานตำแหน่งตลอดเวลา ส่วนพวกเราจะรออยู่ที่เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า”
หลูเฉินตอบตามตรง “มีเพียงวิธีนี้ ถึงจะมั่นใจว่าสามารถจัดการอีกฝ่ายได้สำเร็จ ก่อนอีกฝ่ายไปถึงทวีปดาราวีรบุรุษ”
ทุกสายตาจับจ้อง ‘ทวีปเมฆาพำนัก’ บนแผนที่ ส่วนเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าเป็นทางเดียวที่จะไปทวีปสารทได้
หากเป้าหมายต้องการไปทวีปดาราวีรบุรุษ อีกฝ่ายจะต้องผ่านเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า ในแง่ของการวางกลยุทธ์ การเคลื่อนไหวของหลูเฉินนับว่ารอบคอบอย่างยิ่ง
“ทำแบบนี้ มันไม่คร่ำครึเกินไปหน่อยหรือ?” ใครบางคนอดที่จะถามไม่ได้ “หากเขาไม่เลือกเส้นทางนี้ขึ้นมาล่ะ?”
“แบบนั้นก็ดี แม้การเปลี่ยนเส้นทาง จะทำให้เป้าหมายมีชีวิตรอดได้ก็จริง แต่เขาจะพลาดช่วงเวลาสมัครเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ถึงตอนนั้น พวกเราจะมีเวลาจัดการเพิ่มขึ้น ทำให้อีกฝ่ายไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้”
สิ้นคำหลูเฉิน เขาลุกขึ้น สายตาเฉยชากวาดมองผู้คนรอบข้าง “ทุกท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราองครักษ์โมฆะออกทำภารกิจ ในเมื่อคุณชายมอบหมายเรื่องนี้ให้พวกเรา ในฐานะที่พวกเรารับภารกิจมาแล้วก็ต้องทำให้ลุล่วง ดังนั้น ใครก็ตามที่กล้าคัดค้าน หากส่งผลต่อแผนการขึ้นมา ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของตัวเอง”
แม้น้ำเสียงจะสงบ แต่มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอันเย็นเยือก
หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ก่อนน้อมรับคำสั่งอย่างจริงจัง
“มาเริ่มกันเลย”
หลูเฉินเก็บแผนที่ ชุดปลิวไสว ก่อนกลายเป็นลำแสง แล้วทะยานจากไป
…
ทวีปร้อยวสันต์ เมืองดาราเยือกแข็ง
วิ้ง!
เกิดคลื่นความผันผวนขนาดใหญ่ ก่อนร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ อีกฝ่ายสวมชุดสีเขียว อิริยาบถดูผึ่งผาย เขาคือเฉินซี
ทันทีที่ออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ สายตากวาดมองรอบข้าง ก่อนทะยานออกไปไกล ไม่คิดชื่นชมทิวทัศน์ตามทาง
เป้าหมายนั้นเรียบง่าย นั่นก็คือทวีปดาราวีรบุรุษ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
เวลามีจำกัด เหลือเวลาเพียงสามเดือน จนกว่าเป้าหมายจะลุล่วง จึงไม่อาจเสียความคิดและเวลาไปกับทิวทัศน์ตามทาง
“เมืองหยกขจี… เมืองนี้อยู่ติดกับเมืองดาราเยือกแข็ง หากมีเวลา ข้าจะสามารถไปถึงเมืองหยกขจีได้ภายในสองวัน และกลายเป็นกลุ่มแรกที่เข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาโบราณในวันนั้น”
ขณะเฉินซีเร่งความเร็ว ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเปิดให้ใช้งานสามครั้งต่อวัน มีช่วงเช้า ช่วงเที่ยง และช่วงเย็น ยามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองหยกขจี ก็จะสามารถเข้าสู่ทวีปอุดรคีรีได้
ก่อนจะทันรู้ตัว ชายหนุ่มทะยานออกจากเมืองดาราเยือกแข็ง และมุ่งหน้าสู่ป่าอันไร้ขอบเขต
ทว่า หลังจากทะยานอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน จนอยู่ห่างจากเมืองหยกขจีไม่ถึงครึ่งวัน ก็มีเสียงโต้เถียงดังอยู่ไกลลิบ ทำให้เฉินซีเสียสมาธิ
ยามเงยหน้าขึ้น จึงพบว่าบนท้องนภาไกลออกไป มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโต้เถียงกัน ผู้ชายร่างสูงหล่อเหลา สวมชุดคลุมสีทอง ส่วนผู้หญิงร่างผอมงามงด ท่วงท่าดูสูงส่ง
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าไม่เข้าใจความตั้งใจของข้าหรือ? เหตุใดต้องหลบหน้าข้าด้วย?” ผู้ชายในชุดคลุมสีทองกล่าวด้วยท่าทางขมขื่น
“พอได้แล้ว เว่ยเทียน เจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้ เพื่อแต่งงานเข้ามาอยู่กับตระกูลเซวียของข้าใช่หรือไม่? ฝันไปก่อนเถอะ” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นดังนี้ เฉินซีอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ ขณะกำลังเดินอ้อมไปอีกทาง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหูของเขา “สหายเอ๋ย โปรดช่วยข้าหน่อย ข้าจะตอบแทนให้อย่างงาม”
น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู แต่กลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ยากที่จะขัดขืนได้ ราวกับนางกำลังออกคำสั่งแก่ข้ารับใช้
เฉินซีตกตะลึง ก่อนจะทันได้ตอบสนอง เขาพบว่าหญิงสาวกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว นางกล่าวขอโทษกับชายหนุ่มว่า “ต้องขอโทษด้วย แต่คู่หมั้นของข้ามาถึงแล้ว”
สิ้นคำ นางมาถึงข้างกายของเฉินซี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เหตุใดเจ้ามาช้านัก ปล่อยให้ข้ารอตั้งนาน”
เฉินซีถูกหญิงสาวงดงามที่ไม่รู้จักเข้าใกล้ แถมยังถูกเรียกว่าคู่หมั้น ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้ แต่ยามเห็นสีหน้าอาฆาตหมองหม่นของชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองที่อยู่ไกลออกไป ก็เข้าใจในทันที… ตนถูกใช้เป็นโล่มนุษย์เสียแล้ว
ขณะมองหญิงสาวที่ยืนไหล่ชนไหล่อยู่ข้างกาย รอยยิ้มของนางประหนึ่งบุปผา เฉินซีครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ ก่อนลอบคำรามในลำคอ ความรู้สึกรังเกียจก่อตัวขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ชุดของหญิงสาวผู้นี้ เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนร่ำรวยไม่ก็มีภูมิหลังสูงส่ง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จนไม่สนใจสายตา หรือไม่แม้แต่ถามความเห็นสักนิด เพียงใช้เขาในฐานะโล่มนุษย์ พร้อมกับคิดแทนว่าหากจ่ายเงินให้แล้ว ไม่ว่าใครก็จะยอมทำทุกอย่าง แต่นางคงไม่คิดว่า แม้จะแสดงท่าทีชัดเจนเพียงนี้ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองจะไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ
หญิงสาวผู้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ คิดแต่เรื่องของตัวเองเพียงอย่างเดียว
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าไปมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองเดินเข้าหาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง สายตากวาดมองเฉินซี ก่อนเอ่ยอย่างสงบว่า “เหอะ ๆ ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ ชิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนช่างเลือก จะไปตกหลุมรักกับขยะชิ้นนี้ได้อย่างไร?”
หญิงสาวนามชิงเอ๋อร์ตอบเสียงเรียบ “อย่างน้อย เขาก็ดีกว่าเจ้าหนึ่งหมื่นเท่า”
ดีกว่าข้าหนึ่งหมื่นเท่าหรือ? ฮ่า ๆ ก็แค่คนเดินผ่านไปมา จะเก่งกว่าข้าหนึ่งหมื่นเท่าได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองอดที่จะหัวเราะไม่ได้ แต่น้ำเสียงเย็นชา สายตาจับจ้องเฉินซีเขม็ง “สหายผู้นี้ เจ้าคิดหรือว่าสวรรค์มอบวาสนาให้หรืออย่างไร? ยังมัวยืนบื้ออะไรอีก รีบไปให้พ้นหน้าข้าซะ!”
เฉินซีสูดหายใจเข้า ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่โต้เถียงกับอีกฝ่าย จ้องหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างไร้อารมณ์ ก่อนหันหลังแล้วจากไป
หากยังล่าช้าไปกว่านี้ พรุ่งนี้เช้า เขาจะพลาดโอกาสเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอย่างแน่นอน จะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด
ตอนนี้ เวลาคือสิ่งที่มีค่า จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการแข่งกับเวลา
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินซีจึงตัดสินใจอดทนอดกลั้น ไม่สนใจชายหญิงคู่นี้ หาไม่แล้วด้วยนิสัยในอดีต มีหรือจะยอมปล่อยไปทั้งอย่างนี้?
“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าข้าเพิ่งพูดว่าอะไร?”
ทว่า ก่อนเฉินซีจะทันได้ไป ชิงเอ๋อร์คิ้วขมวดก่อนต่อว่า สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ นางไม่พอใจที่เฉินซีไม่ยอมทำตามคำสั่ง