บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1152 ช่วงเวลาสุดท้าย
บทที่ 1152 ช่วงเวลาสุดท้าย
บทที่ 1152 ช่วงเวลาสุดท้าย
บงกชครามบรรพกาลนั้นเขียวขจีมาก ลำต้นแกว่งไกวไปมา ใบทั้งเก้าพวยพุ่งด้วยอักขระศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นระลอก ๆ ยอดที่เป็นดอกตูมก็พร้อมผลิบาน ส่งกลิ่นหอมสดชื่นซึมซาบเข้าสู่ส่วนลึกของจิตวิญญาณและกระดูก ทำให้ผู้คนรู้สึกมึนเมา
เฉินซียืนอยู่ที่นั่นอย่างเหม่อลอย ถ้าไม่ใช่เพราะบงกชครามบรรพกาลและราชาวิญญาณหน้าศิลาที่ตกลงมาในระยะไกล เขาคงสงสัยว่าทุกสิ่งที่ได้ประสบนั้น เป็นเพียงความฝันหรือไม่?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตนจำอะไรเกี่ยวกับเสียงสูงอายุก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย และดูเหมือนว่ามันจะถูกลบหายไปจากความทรงจำโดยสิ้นเชิง
สิ่งเดียวที่จำได้คือคำพูดจากเสียงนั่น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเสียงสูงอายุจะดังขึ้นอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถแยกแยะตัวตนของบุคคลได้เลย
เฉินซีอดตกใจไม่ได้ เมื่อเผชิญกับความสามารถที่ไม่ธรรมดาซึ่งไม่อาจหยั่งรู้ได้ เพราะนับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับบางสิ่งที่ลึกลับเช่นนี้
“เหมิงซิงเหอ!”
“ไม่ว่าข้าจะจำเสียงนี้ได้หรือไม่ แต่ต้องเป็นเหมิงซิงเหออย่างแน่นอน!”
เฉินซีพึมพำในใจก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด ชายหหนุ่มวางบงกชครามบรรพกาลไว้ในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเก็บมันไป
เฉินซีเสียใจเล็กน้อย บงกชครามบรรพกาลนี้ได้ถูกถอนออกไปแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่อาจเติบโตและเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป เป็นเพียงสมุนไพรเซียนล้ำค่าเท่านั้น
แต่เท่านี้ก็พอใจมากแล้ว เพราะไม่เพียงได้รับแต้มดาราห้าพันแต้ม แต่ยังได้รับบงกชครามบรรพกาลโดยบังเอิญอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
ในช่วงเวลาต่อมา ความสนใจของเฉินซีก็พุ่งไปที่ศพของราชาวิญญาณหน้าศิลา ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และใช้ยันต์ศัสตราเพื่อรวบรวมเส้นเอ็น เลือด และส่วนอื่น ๆ ของราชาวิญญาณหน้าศิลา
มันคือสัตว์อสูรจักรวาลที่ทัดเทียมกับขอบเขตเซียนทองคำ ดังนั้นร่างกายจึงเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า โดยเฉพาะเส้นเอ็นและกระดูก พวกมันเป็นวัตถุดิบเซียนระดับสูงสำหรับการขัดเกลาอุปกรณ์ และสามารถสกัดเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาลได้อีกด้วย
“วัตถุดิบเซียนเหล่านี้อาจสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาลที่ดีได้ทีเดียว…”
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อรวบรวมวัตถุดิบเซียนทั้งหมดในร่างกายของราชาวิญญาณหน้าศิลาเสร็จ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่งแต้มมุมปากของชายหนุ่ม
หลังจากเข้าสู่แดนโลหิต เฉินซีได้ใช้วัตถุดิบเซียนทั้งหมดที่ตนครอบครองเพื่อจัดการกับราชาหางพิสุทธิ์และกองทัพของเขา แม้จะได้รับสมบัติอมตะจำนวนมากเมื่อทำการเก็บเกี่ยวสนามรบหลังจากการต่อสู้ แต่สมบัติอมตะเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นลูกธนูเพื่อจัดการกับจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ชายหนุ่มจึงสูญเสียสมบัติไปมากมาย
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กระเป๋าของเฉินซีแห้งไปหมดแล้ว ตอนนี้เขายากจนข้นแค้นอย่างยิ่ง แต่นับว่าโชคดี ด้วยวัตถุดิบเซียนที่รวบรวมมาจากราชาวิญญาณหน้าศิลา มันช่วยเติมเต็มความมั่งคั่งให้กระเป๋าอย่างมาก
และหากเพิ่มบงกชครามบรรพกาลเข้าไปด้วย มันอาจทำให้เขามีความมั่งคั่งเป็นพิเศษ เว้นแต่ตนจะเป็นคนโง่เขลา แลกเปลี่ยนบงกชครามบรรพกาลกับสิ่งอื่น
ท้ายที่สุด มันเป็นสมุนไพรเซียนที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมีโอกาสได้มาโดยวาสนาเท่านั้น!
ปัจจัยสำคัญสี่ประการของการบ่มเพาะคือ ความมั่งคั่ง มิตรสหาย เคล็ดวิชา และสถานที่ ยิ่งการบ่มเพาะที่สูงขึ้นเท่าใด ความมั่งคั่งก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น สมบัติอมตะ โอสถทิพย์ ศิลาอมตะ วัตถุดิบเซียน และอื่น ๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้คำว่า ‘ความมั่งคั่ง’
เมื่อเทียบกับความมั่งคั่ง คำว่า มิตรสหายนั้นสื่อถึงผู้อาวุโสที่ถ่ายทอดความรู้ สำหรับเคล็ดวิชานั้นสื่อถึงกุญแจสำคัญในการบ่มเพาะ สำหรับสถานที่ คือสถานที่ที่ใช้ในการปิดด่านบ่มเพาะ ซึ่งสำคัญน้อยที่สุด
ทั้งนี้การบ่มเพาะของเฉินซีได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนลึกลับแล้ว หากเขายังไม่รู้วิธีบ่มเพาะ ก็คงเป็นเรื่องขบขันอย่างยิ่ง
สรุปได้ว่า ความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดบนวิถีสู่ความเป็นเซียน มิฉะนั้น คำว่าความมั่งคั่งคงไม่ถูกวางไว้ที่ด้านบนสุดของสี่ประการนี้
“โอ้! ปราณเต๋าที่บริสุทธิ์ภายในสระนั้นยังไม่หายไป!”
สายตาของเฉินซีเหลือบไปเห็นอย่างไม่ได้ตั้งใจ และสังเกตเห็นว่าคลื่นหยกกำลังกระเพื่อมอยู่ในสระน้ำ ของเหลวใสก่อตัวขึ้นจากปราณบริสุทธิ์ของมหาเต๋า และมันน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบงกชครามบรรพกาลทั้งสามสิบหกดอกถูกถอนออกไปจากสระน้ำ ปราณบริสุทธิ์ของมหาเต๋าภายในสระน้ำจึงระเหยและหายไปอย่างรวดเร็ว
หากยังคงดำเนินต่อไปในความเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานนัก ปราณบริสุทธิ์ของมหาเต๋าก็คงจะระเหยไปจนหมด จนสระน้ำแห้งเหือด
เวลาต่อมา เฉินซีได้ตรวจสอบบริเวณโดยรอบ และสังเกตเห็นว่าไม่มีอันตรายใด ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจกระโดดลงไปในสระน้ำโดยไม่ลังเล จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิ
ปราณบริสุทธิ์ของมหาเต๋าภายในสระนั้นหนาแน่นยิ่ง น่าเสียดายที่เมื่อสัมผัสกับอากาศ มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย และแม้แต่สมบัติอมตะก็ไม่สามารถเก็บรวบรวมมันได้
เฉินซีทำได้เพียงใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อดูดซับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้ และไม่ให้มันสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
โอม~
มวลกระแสปราณบริสุทธิ์ของมหาเต๋า ได้แปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำถาโถมเข้าสู่ร่างกาย และขดตัวอยู่รอบ ๆ เหมือนธารน้ำใสกระจ่างจำนวนมาก พวกมันชำระล้างจิตวิญญาณ และทำให้วิญญาณปฐพีแข็งแกร่งขึ้น มันช่างลึกล้ำอย่างถึงที่สุด
…
จัตุรัสที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ถูกปกคลุมไปด้วยเสียงเซ็งแซ่
ตั้งแต่ประมาณสองเค่อที่แล้ว ทั้งจัตุรัสก็ตกอยู่ในเสียงอึกทึกครึกโครม มีทั้งเสียงอุทานด้วยความตกใจ แปลกใจ โกรธเคือง และประหลาดใจ
สาเหตุของสิ่งเหล่านี้ เป็นเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงในอันดับของแต้มดาราบนกำแพงแสง และการเปลี่ยนแปลงได้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้!
ชื่อที่จางลงทุกขณะ มีเพียงสองความหมายเท่านั้น พวกเขาอาจถูกฆ่าและถูกกำจัดออกจากแดนโลหิต หรือเปิดใช้ตราดาราม่วงเพื่อออกจากแดนโลหิต
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบใด การที่ชื่อจางลงนั้นก็หมายความว่าถูกกำจัด!
แน่นอน พวกเขายังคงสามารถเข้าร่วมการทดสอบรอบที่สามได้ แต่อันดับในการทดสอบรอบที่สองได้ถูกแก้ไขแล้ว และมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล่าศิษย์ที่ถูกสังหาร แต้มดาราจะร่วงลงสู่ก้นบึ้ง และรั้งอยู่ในตำแหน่งท้ายสุดของการจัดอันดับบนกำแพงลอยแห่งแสง
ในขณะเดียวกัน แต้มดาราที่อยู่เบื้องหลังชื่อบางชื่อก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ตัวอย่างเช่น จ้าวเมิ่งหลีและจี้เซวียนปิง แต้มดาราของทั้งสองได้ทะลุหลักหมื่น พวกเขากำลังไล่ตามเจิ่นลู่และเฉินซี ซึ่งอยู่ในอันดับที่สองและที่หนึ่งตามลำดับ
ในทางกลับกัน แต้มดาราของเหล่าศิษย์จากกองกำลังชั้นนำอื่น ๆ เช่น เซวียนหยวนอวิ่น อ้าวอู่หมิง จั่วชิวอิน เจี้ยงฉางไฮ่ เหวินเหรินเซียว จ้งลี่ซวิน และอื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่างคนล้วนก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำของศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จากกองกำลังต่าง ๆ เหล่าศิษย์ในตระกูลของพวกเขาก็ถูกกำจัดอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน! ดังนั้นมันจึงน่าตกใจเกินไป และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นภายในแดนโลหิต
“การต่อสู้ที่วุ่นวาย! การต่อสู้ที่วุ่นวายครั้งใหญ่!”
“ตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และกองกำลังชั้นนำอื่น ๆ ทั้งหมด ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นั่น และกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดภายในป่าศิลาวินาศที่ใจกลางของแดนโลหิต!”
ในไม่ช้า ศิษย์บางคนที่ออกจากแดนโลหิตก็กระจายข่าวออกไป และเปิดเผยทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้จัตุรัสเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
เนื่องจากไม่มีคาดคาดคิดมาก่อน ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริง ๆ
เพราะในขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบรอบที่สอง เมื่ออ้างอิงจากการทดสอบของครั้งก่อน ๆ แม้จะมีการต่อสู้อันโกลาหลเกิดขึ้น แต่อย่างมากก็แค่การต่อสู้ของเหล่าศิษย์จากกองกำลังบางแห่ง และมันไม่เคยถึงขั้นรวบรวมกองกำลังชั้นนำทั้งหมดที่เข้าร่วมในการทดสอบเช่นนี้!
“ไม่แปลกใจเลย! ไม่แปลกใจเลยที่การจัดอันดับบนกำแพงลอยแห่งแสงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากถึงเพียงนี้!” ใครบางคนถอนหายใจ
“ดูนั่นสิ! ศิษย์ของกองกำลังเหล่านี้กำลังถูกกำจัดไปทีละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลจั่วชิว เหลืออยู่ไม่ถึงสามคนแล้ว!” บางคนกล่าวด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อว่าตระกูลจั่วชิวจะกลายเป็นเช่นนี้
“ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือสองร้อยอันดับแรก ถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว ยามนี้ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในร้อยอันดับแรกก็ยังถูกกำจัดอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้าการทดสอบรอบที่สองก็คงจะสิ้นสุดลง” มีคนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง และคาดการณ์ว่าม่านของการทดสอบรอบที่สองกำลังจะถูกปิดลง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า อะไรที่ทำให้เกิดการต่อสู้ที่วุ่นวายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มันทั้งน่ากลัวและรุนแรงมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่จบ
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมและความตกใจ เวลาได้ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชื่อส่วนใหญ่บนกำแพงแสงจางลง มีเพียงบางชื่อที่ส่องแสงริบหรี่อย่างยอดเยี่ยมในตำแหน่งห้าสิบอันดับแรก
แต่เมื่อชื่อเริ่มจางหายไปจากห้าสิบอันดับแรก และสถานการณ์นี้ก็แพร่กระจายไปยังสิบอันดับแรกอย่างรวดเร็ว
“แม้แต่จั่วชิวอินก็ยังถูกกำจัด ณ จุดนี้ ตระกูลจั่วชิวได้ถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว!” พวกเขาเห็นชื่อของจั่วชิวอินซึ่งอยู่อันดับที่สิบบนกำแพงแสงสลัวลง แสดงว่าเขาไม่ถูกฆ่า แต่เปิดใช้ตราดาราม่วงเพื่อออกจากแดนโลหิต ดังนั้นแต้มดาราที่อยู่เบื้องหลังชื่อจึงไม่หายไป
แต่ถึงอย่างนั้น หัวใจของทุกคนก็กระตุกอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะรู้สึกสงสารจั่วชิวอิน แต่เป็นเพราะตระหนักดีว่า ผลของการทดสอบรอบที่สองกำลังจะถูกตัดสิน!
ในทางกลับกัน การกำจัดจั่วชิวอินเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของจุดจบเท่านั้น!
จนถึงจุดนี้ มันยากมากที่จะสังหารคู่ต่อสู้และแย่งชิงแต้มดารา เนื่องจากทุกคนล้วนเป็นบุคคลระดับแนวหน้าที่มีพลังฝีมือแทบจะทัดเทียมกัน ดังนั้นแม้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จะไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย หรือถูกลอบจู่โจมอย่างไม่ทันทั้งตัว ผู้เยี่ยมยุทธ์ก็สามารถคว้าโอกาสในการเปิดใช้ตราดาราม่วง และถอนตัวออกจากแดนโลหิตอย่างปลอดภัย
ดังนั้น แม้ว่าหลายชื่อที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกของกำแพงแสงจะจางลง แต่ตำแหน่งจะยังคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง
“เซวียนหยวนอวิ่นถูกกำจัดแล้ว!”
“โม่ชีอวินถูกกำจัดแล้ว!”
“มู่อวี่ชงก็ถูกกำจัดเช่นกัน!”
…
ไม่นาน ชื่อในสิบอันดับแรกก็เริ่มหายไปทีละคน ฝูงชนอุทานด้วยความตกใจต่อทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น บรรยากาศก็ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ที่นี่ก็ยังจ้องมองไปที่กำแพงแสงตาไม่กะพริบ เพราะกลัวว่าตนจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป
โอม~
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความคาดหวัง ชื่อสองชื่อบนกำแพงแสงก็จางลงพร้อมกัน พวกเขาก็คืออ้าวอู่หมิงกับจ้งลี่ซวิน!
ยามนี้เหลือเพียงเฉินซี เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และจี้เซวียนปิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสิบอันดับแรก!
อันดับที่หนึ่งของเฉินซีถูกยึดครองโดยเจิ่นลู่และจี้เซวียนปิง ทำให้เขาตกไปอยู่อันดับที่สาม ในขณะที่แต้มดารานั้นสูงกว่าจ้าวเมิ่งหลีที่อยู่อันดับสี่เพียงเล็กน้อย
แต่มันก็ทำให้ทุกคนตกใจอย่างมาก ชายหนุ่มได้กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจทันที เพราะท้ายที่สุด ก็เป็นไปตามการคาดการณ์ เจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง และจ้าวเมิ่งหลีจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินซีจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้เช่นกัน และยังครองอันดับที่สามด้วย!