บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1154 กำราบวิญญาณ
บทที่ 1154 กำราบวิญญาณ
บทที่ 1154 กำราบวิญญาณ
ภายในถ้ำที่ลึกและเงียบสงบ เฉินซีเริ่มเดินทางกลับออกมา
‘ข้าไม่รู้ว่าการทดสอบรอบที่สองนั้นดำเนินไปมากน้อยเพียงใด แต่ในการต่อสู้ที่วุ่นวายนี้ ศิษย์ของตระกูลจั่วชิวอ่อนแอที่สุด ดังนั้นพวกมันจะต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง…’
ขณะที่ก้าวไปข้างหน้า ชายหนุ่มก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็ได้รับแต้มดาราในจำนวนที่เพียงพอแล้ว บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องออกจากแดนโลหิตเช่นกัน’
ถ้ำของราชาวิญญาณหน้าศิลานั้นลึกและคดเคี้ยว อีกทั้งมีโลกของมันเองอยู่ภายใน แต่เมื่อเฉินซีมาถึงบริเวณที่ห่างจากปากถ้ำเพียงสองลี้ จู่ ๆ เขาก็หยุดเคลื่อนไหว
ในขณะนั้น ชายหนุ่มจับจ้องแน่วแน่ จิตใจสงบ และเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความกังวลใจแม้แต่น้อย พลังชีวิตในร่างกายไหลเวียนอย่างไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นดวงตาแนวตั้งที่ถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำอันลึกลับและเย็นยะเยือกก็เปิดออก
โครม!
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เฉินซีหยุดเคลื่อนไหว แสงสีทองอันกว้างใหญ่ก็พุ่งเข้ามาจากทางเข้าถ้ำ มันกลายเป็นคลื่นมหึมาถาโถมเข้าหาตน!
แสงสีทองนี้ยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม กว้างใหญ่ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ ราวกับพุทธองค์ผู้ยิ่งใหญ่ขุ่นเคืองและตั้งใจจะปลดปล่อยวิญญาณที่หลงผิดในภพมนุษย์ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระองค์!
การโจมตีครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจกล่าวว่ามันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลักแหลม และโหดร้าย กลับกันมันทั้งเที่ยงตรงและอยู่เหนือทุกสิ่ง และมีกลิ่นอายอันทรงพลัง!
ชิ้ง!
ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่ากลิ่นอายอันน่าเกรงขามของการโจมตีครั้งนี้น่าหวั่นเกรงเพียงใด ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และไม่ลังเลอีกต่อไป ยันต์ศัสตราทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปะทุด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์มากมาย เขาได้หลอมรวมพลังในร่างกายทั้งหมดเข้ากับการโจมตีครั้งนี้!
เคล็ดกระบี่วารี มหาสมุทรไร้พรมแดน!
คลื่นขนาดมหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าได้พัดกวาดออกไป มันผสานพลังของสิ่งรอบข้างเข้าไว้ด้วยกัน ขณะปะทะกับแสงสีทอง!
ตู้ม!
เสียงระเบิดที่เขย่าฟ้าดินดังกึกก้อง ก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายไปรอบ ๆ กระแสอากาศพัดโหมรุนแรง เพียงพริบตาเดียว มันก็กวาดไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้หินพังทลาย ภูเขาทั้งลูกเริ่มยุบตัวและระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ!
ร่างสูงใหญ่ถอยหลังไปสามก้าว สีหน้าซีดลงเล็กน้อย และเลือดลมในร่างก็กำลังปั่นป่วน
ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทะยานร่างพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วราวกระบี่คมกริบ เจาะหินชั้นแล้วชั้นเล่า เพื่อหนีจากภูเขาที่กำลังพังทลาย
เกร๊ง!
ทันทีที่ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นกลางอากาศ เสียงระฆังขนาดใหญ่ก็ดังก้อง คล้ายเสียงคำรามของมังกรคชสาร เหมือนความโกรธของนักรบผู้พิทักษ์ของพุทธองค์ ราวกับเสียงถอนหายใจยาวด้วยความสงสารจากพุทธองค์ และเต็มไปด้วยพลังที่พรากวิญญาณออกไป
เฉินซีรู้สึกว่าจิตใจของตนล่องลอย จิตวิญญาณสั่นสะท้าน และถูกกดดันอย่างรุนแรงด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ราวกับมันตั้งใจจะเปลี่ยนความคิด จิตใจ และความทรงจำของเขาโดยสิ้นเชิง!
หากปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เขาจะต้องกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับหุ่นเชิดอย่างแน่นอน ไม่มีความคิดหรือสติใด ๆ ถูกบงการโดยผู้อื่น!
‘ช่างโหดเหี้ยมอะไรเช่นนี้! เขาตั้งใจกำราบวิญญาณของข้าจริง ๆ!’ ทันใดนั้น เฉินซีก็ตะโกนเสียงดังในใจของเขา ‘แม้โลกอาจแตกสลาย อายุอาจโรยรา แต่จิตใจและวิญญาณของข้ามิสั่นคลอน!’ ทุกคำที่กล่าวเหมือนเสียงฟ้าร้อง อีกทั้งยังมีน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
โอม!
ทันใดนั้น วิญญาณก็ปะทุขึ้น พร้อมกับคลื่นความผันผวนมากมาย และวงแหวนแห่งแสงที่เจิดจรัสไร้ขอบเขต มันเหมือนกับพายุที่พัดไปรอบ ๆ ทำให้พลังมหาศาลที่กำลังโจมตีตน ถูกกวาดออกไปเหมือนเศษกระดาษ!
หลังจากนั้น จิตวิญญาณของเฉินซีกลับมาแจ่มแจ้งอีกครั้ง มันทั้งไร้ที่ติและปราศจากมลทิน
ทั้งหมดนี้ใช้เวลานานในการอธิบายเป็นคำกล่าว แต่กลับเกิดขึ้นจริงในชั่วพริบตา ท้ายที่สุด นี่คือความขัดแย้งของจิตวิญญาณ ดังนั้นไม่ว่าการโจมตีจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเร็วเกินความคิดได้
อย่างที่กล่าวไป ชั่วพริบตาเดียว เทียบไม่ได้กับความเร็วหนึ่งในหมื่นของความคิด!
เกร๊ง! เกร๊ง!
เสียงระฆังยังคงดังก้อง แต่ตอนนี้มันไม่ต่างจากสายลมพัดโชย มันไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขาได้อีกต่อไป
ในที่สุดเฉินซีก็มองเห็นคู่ต่อสู้ของตนอย่างชัดเจน
คนผู้นี้ยืนอยู่บนแท่นดอกบัวทองคำไกลออกไป มีสามหัวและหกแขน ในขณะที่เผยให้เห็นแสงที่โกรธเกรี้ยวจากดวงตาที่หว่างคิ้ว ยิ่งไปกว่านั้น มีตราดอกบัวสีทองสุกใสอยู่ระหว่างหน้าผาก เป็นรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมและสง่างาม
คนผู้นี้คือ เจิ่นลู่ หลวงจีนจากภพพุทธองค์!
ในขณะนี้ แขนทั้งหกของเขาถือกระบี่สยบอสูร ประคำอธิษฐาน ระฆัง ไม้เท้า โคมเขียว และคัมภีร์พระไตรปิฎกตามลำดับ ทั้งร่างสูงส่งและอบอวลไปด้วยแสงแห่งพุทธองค์จำนวนนับไม่ถ้วน ย้อมสวรรค์และโลกทั้งใบด้วยสีทองอร่าม
เสียงของระฆังนั้นใสกระจ่างและมันดังก้องกังวานไปในอากาศ คลื่นเสียงไร้รูปร่างเปลี่ยนเป็นมังกรและพยัคฆ์ พวกมันต่างร้องคำรามไปทั่วบริเวณโดยรอบ ซึ่งการโจมตีวิญญาณก่อนหน้านี้ก็มาจากระฆังนี้
“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลวงจีนเช่นท่านจะรู้ศาสตร์ของการลอบโจมตีเช่นกัน ข้ารู้สึกตื้นตันกับความโปรดปรานนี้ยิ่งนัก”
ใบหน้าของเฉินซีนั้นไม่แยแส ชายหนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันในร่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เขาโกรธเป็นอย่างมาก เพราะคนผู้นี้ไม่ได้ลอบโจมตีธรรมดา แต่ยังตั้งใจสยบและยับยั้งจิตวิญญาณ วิธีการเหล่านี้ช่างไร้ความปรานีอย่างถึงที่สุด!
ชายหนุ่มทราบดีว่า หากวิญญาณไม่ได้รับการขัดเกลาและปกป้องจากรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี เขาก็คงไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากก่อนหน้านี้ได้อย่างแน่นอน และอาจถึงขนาดไม่มีโอกาสได้ใช้ตราดาราม่วงเพื่อหลบหนีด้วยซ้ำ!
เห็นได้ชัดว่าความประหลาดใจแวบผ่านดวงตาของเจิ่นลู่ เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ และเสียงระฆังในมือจึงหยุดลง
“มันเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น ไม่มีข้อห้ามประการใด การฆ่าฟัน และการใช้กลวิธีใด ๆ จึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง”
เจิ่นลู่กล่าวในขณะที่คืนร่างปัจจุบันของตน พร้อมฟื้นคืนรูปลักษณ์เป็นมิตรและเงียบสงบเหมือนเช่นก่อน ขณะยืนอยู่บนแท่นดอกบัวในชุดหลวงจีนสีเหลืองดวงจันทร์ รักษาท่าทีสง่างามและไม่ธรรมดา
เห็นได้ชัดว่าเขาทราบดีว่าเสียโอกาสที่จะจัดการกับเฉินซี จึงหยุดมือทันที
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ศาสนาพุทธไม่ได้กล่าวถึงการปลดปล่อยวิญญาณของทุกคนและการทำความดีหรือ? แต่ข้าไม่เห็นความมีเมตตาในตัวเจ้าเลย เจ้ากลับเป็นเหมือนปีศาจดุร้าย อีกทั้งยังโหดเหี้ยมยิ่ง”
“ประสกตั้งใจจะสนทนาเรื่องเต๋ากับอาตมาหรือ” เจิ่นลู่ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด และกล่าวอย่างใจเย็น
เสียงของเขาสงบ เชื่องช้า เผยน้ำเสียงสำรวมและสันติ หากปุถุชนคนธรรมดาในโลกนี้ได้ยินได้ฟัง คนผู้นั้นย่อมนับถือหลวงจีนรูปนี้เป็นพุทธองค์ที่แท้จริง และคุกเข่าลงกราบไหว้บูชา
“ทุกคนรู้ว่าคนจากภพพุทธองค์ของเจ้านั้นมีวาทศิลป์เป็นเลิศ และวิธีเดียวที่จะสนทนาเรื่องเต๋ากับพวกเจ้าคือการใช้กำลัง!” เฉินซีขมวดคิ้วและไม่เสียเวลาหายใจอีกต่อไป ชายหนุ่มถือยันต์ศัสตราในมือขณะที่พุ่งเข้าหาเจิ่นลู่
เช่นเดียวกับที่เจิ่นลู่กล่าว ไม่มีข้อจำกัดในการใช้วิธีการใด ๆ ในระหว่างการทดสอบรอบที่สองนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงกฎ แต่เนื่องจากเจิ่นลู่ลงมือก่อน ทั้งยังใช้วิธีการโหดเหี้ยมและน่ารังเกียจ ไม่ว่าเฉินซีจะขัดเกลามาดีสักเพียงใด ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธแค้น
สำหรับตัวตนของเจิ่นลู่ เขาไม่สนใจอีกต่อไป
แล้วถ้าเขาเป็นผู้นำจากภพพุทธองค์ล่ะ?
แต่นี่คือภพเซียน!
ตู้ม!
ยันต์ศัสตราพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า เฉินซีใช้กระบวนท่าพิรุณโปรยปรายประหนึ่งฝัน จากนั้นควงยันต์ศัสตรา และใช้กระบวนท่าคลื่นเมฆาทำลายล้างทับซ้อนกัน สุดยอดกระบวนท่าของเคล็ดกระบี่วารีได้เปลี่ยนเป็นฝนปราณกระบี่ปกคลุมท้องฟ้า ขณะที่พวกมันกวาดไป
ในขณะนั้นเอง เมฆที่รายล้อมก็พลุ่งพล่านขึ้นราวกับว่ากำลังโกรธจัด เช่นเดียวกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ฟ้าดินถูกปกคลุมด้วยกฎแห่งวารีจำนวนไม่มีที่สิ้นสุด ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายอาฆาต คมกริบ บดขยี้ และทำลายล้าง
“มันเป็นเพียงการทดสอบ ถ้าประสกต้องการต่อสู้จริง ๆ ไว้อาตมาจะสนองต่อประสกในภายหน้า และเมื่อถึงเวลานั้น อาตมาจะชำระปราณที่ชั่วร้ายในร่างกายของประสก ด้วยเคล็ดวิชาอันลึกล้ำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการโปรดสัตว์ที่มีคุณธรรมอย่างถึงที่สุด”
เสียงอันสงบและเยือกเย็นล่องลอยไปในท้องฟ้า เจิ่นลู่ใช้ตราดาราม่วง กลายเป็นลำแสงสีม่วงพุ่งออกจากแดนโลหิตไป
ชิ้ง!
เฉินซีเก็บยันต์ศาสตรา ในขณะที่มีสีหน้าหนักใจ โดยธรรมชาติแล้ว เจิ่นลู่ไม่น่าจะหวาดกลัวตน ในทางกลับกัน ท่าทีของเจิ่นลู่กลับทำให้เขาต้องจริงจังมากยิ่งขึ้น
เจิ่นลู่เป็นศัตรูที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งและยังเฉลียวฉลาดอย่างมาก เขาล่าถอยทันทีเมื่อสังเกตเห็นว่าสูญเสียโอกาสในการฆ่าไปแล้ว และไม่สนใจการยั่วยุของเฉินซีแม้แต่น้อย เว้นแต่เฉินซีจะมีพลังมากพอที่จะบดขยี้เจิ่นลู่ มิฉะนั้น การที่จะสังหารคนอย่างเจิ่นลู่นั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
“คนของภพพุทธองค์ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในแง่ของการอดทน และแสวงหาความมั่นคง หากพวกเขาไร้จิตตานุภาพอันยิ่งใหญ่ ไร้ความอดทน และไร้อิสระทางจิตวิญญาณ ก็ไม่อาจแสวงหาความมั่นคงได้ อย่างไรก็ตาม เจิ่นลู่คนนี้ก็น่ารังเกียจจริง ๆ…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจ ก่อนที่จะหันหลังกลับและทะยานออกไป
…
สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจ คือไม่มีร่องรอยของผู้เยี่ยมยุทธ์เหลืออยู่ในป่าศิลาวินาศเลย
“หรือว่าศิษย์คนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการทดสอบได้ออกจากแดนโลหิตแล้ว?”
ชายหนุ่มไม่สามารถเข้าใจได้ หลังจากออกจากป่าศิลาวินาศ เขาค้นหาสถานที่อื่น ๆ แต่ไม่ต้องกล่าวถึงคน แม้แต่เงาของสัตว์อสูรจักรวาลไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว
เฉินซีไม่รู้สึกเสียใจมากนัก เพราะเขามีแต้มดาราเพียงพอแล้ว
“ข้าจะไปแล้ว” เฉินซีปล่อยเหวยน่าออกด้วยการสะบัดแขนเสื้อ
เหวยน่าตกตะลึงและดูเหมือนสิ่งนี้จะกะทันหันเล็กน้อย “แล้ว… เจ้าจะกลับมาหรือไม่?”
เฉินซีส่ายศีรษะ “เมื่อการทดสอบจบลง แม้ว่าข้าอยากจะกลับมา แต่มันคงเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณที่ไม่ฆ่าข้า” เหวยน่าก้มศีรษะลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ในสายตาของข้ามีแต่มิตรและศัตรู” เฉินซียิ้ม จากนั้นไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนที่จะหันกลับมาและเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ความรู้สึกเจ้าจะเปลี่ยนไป หลังจากเข้าร่วมในการต่อสู้ระหว่างภพทั้งสามและเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้า นั่นคือ… ความขัดแย้งของเต๋าแห่งสวรรค์ และเป็นศัตรูกันทางสายเลือด ที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ชั่วนิรันดร์ ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันได้…” ภายในภูเขาอันว่างเปล่า เหวยน่าที่กลายร่างเป็นกระต่ายได้จ้องมองไปยังทิศทางที่เฉินซีจากไป
…
ที่จัตุรัสด้านนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ชื่อของเจิ่นลู่ซึ่งอยู่ในอันดับที่สองบนกำแพงแสงได้จางลง และทำให้ทั่วทั้งจัตุรัสส่งเสียงดังก้องด้วยความประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่า เฉินซีจะกลายเป็นคนสุดท้ายที่ยังยืนหยัดอยู่ในรอบที่สองนี้ และครองอันดับหนึ่งบนกำแพงลอยแห่งแสง ไม่มีใครสามารถโค่นเขาได้อีกต่อไป!
เถี่ยชิวอวี้ก็ไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยหวังต้าวหลูเช่นกัน ชายชราจ้องมองไปที่อันดับที่หนึ่งบนกำแพงแสง ขณะพึมพำ “หากชายหนุ่มคนนี้ไม่อาจกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าดวงใหม่ของภพเซียนได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าสวรรค์นั้นมืดบอดแล้วจริง ๆ…”
ไม่ใช่แค่เถี่ยชิวอวี้ แต่คนส่วนใหญ่ รวมถึงเหลียงเริ่น กู่เยวหมิง และมู่หลิงหลง ก็มีความคิดคล้ายกันในใจ
ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบสงัด เงียบกริบจนไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบงัน พลังอันน่าตกตะลึงก็แผ่กระจายออกไป
ในขณะนี้ ความเงียบมีพลังมากกว่าคำพูด
โอม~
ชื่อของเฉินซีที่อยู่บนกำแพงแสงหรี่ลง จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น และกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจทั้งหมด
ทุกคนที่จ้องมองไปที่ร่างนี้อดไม่ได้ที่จะแสดงความตกใจ ความประหลาดใจ การสรรเสริญ… และยังมีทั้งความไม่เต็มใจ ความไม่พอใจ ความโกรธ และความเกลียดชัง…
แต่โดยสรุปแล้ว เฉินซีก็ได้รับเกียรติที่ไม่มีใครเทียบได้อยู่ในขณะนี้!