บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1166 ตำหนักเต๋าแห่งเทพหนี่วา
บทที่ 1166 ตำหนักเต๋าแห่งเทพหนี่วา
บทที่ 1166 ตำหนักเต๋าแห่งเทพหนี่วา
ในวันนี้ม่านแห่งการทดสอบ เพื่อคัดเลือกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้สิ้นสุดลง
รายชื่อการจัดอันดับครั้งสุดท้ายของการทดสอบได้ถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และมันก็เหมือนกับพายุที่พัดพาไปทั่วทั้งสี่พันเก้าทวีปในภพเซียน และทำให้โลกต้องตกตะลึง
สำหรับบุคคลที่โดดเด่นที่สุดหมู่ ย่อมเป็นเฉินซีผู้คว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบอย่างไม่ต้องสงสัย !
ทั้งชาติกำเนิด ภูมิหลัง การบ่มเพาะ พลังฝีมือ หรือแม้กระทั่งลักษณะนิสัย ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการสืบสวนของกองกำลังทั้งหมด อีกทั้งยังกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปทักษิณา เมื่อพวกเขาพบว่าเฉินซีครองอันดับที่หนึ่งในการทดสอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าครั้งนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองจตุรเทพ
ตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ และตระกูลหลัวได้ร่วมกันจัดงานเลี้ยง พร้อมกับเชื้อเชิญผู้มีอำนาจอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เพื่อเฉลิมฉลองให้กับเฉินซีตลอดทั้งสิบวัน
ในทางกลับกัน ตระกูลอินกลับปิดจวนเงียบสนิท เหล่าศิษย์ไม่ได้ก้าวเท้าออกนอกตระกูลและยังคงเก็บตัว ราวกับว่าได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาตกต่ำ
“หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ เจ้าคิดว่าข้าจะต้องมองเจ้าเสียใหม่หรือ? น่าเสียดายที่เจ้ายังด้อยกว่าข้าเกินไป บางทีข้าอาจจะขออภัยที่หยาบคายกับเจ้าในวันนั้น หากเจ้าได้กลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าอีกดวงหนึ่งของภพเซียน”
ณ ทวีปอันธการ ภายในตระกูลมู่
มู่จวินหลินผู้หล่อเหลาได้สวมชุดสีขาวกำลังยิ้มอย่างเฉยเมย หลังจากมองผ่านแผ่นหยกในมือ จากนั้นเขาทำสมาธิอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
“เฉินซี เฉินซี…”
ณ ทวีปเนตรสวรรค์ ภายในตระกูลจั่วชิว
จั่วชิงคงนั่งเงียบ ๆ เพียงลำพังตลอดทั้งวัน ในขณะที่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง และกล่าวชื่อหนึ่งซ้ำ ๆ ตลอดเวลา ทำให้คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ว่าชายผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
ณ ทวีปกระแสสวรรค์ ภูเขาทะยานฟ้า
นี่คือพื้นที่หวงห้ามของนิกายวิถีกระแสสวรรค์แห่งภพอมตะ ว่ากันว่าทุก ๆ ระยะสิบสองฉื่อ จะแฝงไปด้วยจิตสังหารอยู่ภายใน และมีข้อจำกัดมากกว่าหนึ่งหมื่นข้อ แม้แต่ผู้เป็นเซียนปราชญ์ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะก้าวเท้าอยู่ในที่นี่แห่งนี้
นี่คือพื้นที่มรดกหลักของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และมันถูกสร้างขึ้นในยุคบรรพกาล จึงอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นมรดกที่อยู่มาอย่างยาวนาน อีกทั้งทรัพยากรและทุนทรัพย์ก็มีอยู่มาก
แต่มีเพียงผู้อาวุโสภายในนิกายไม่กี่คนที่ทราบอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดบนภูเขาทะยานฟ้า ไม่ใช่มรดกหลักของนิกาย แต่เป็นประตูลึกลับบานหนึ่ง
ชู่ว!
ในวันนี้ แผ่นหยกได้ฉีกผ่านท้องฟ้า และบินเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาทะยานฟ้า
มีทะเลสาบหินหลอมเหลวอยู่ในส่วนลึกของภูเขา และคลื่นที่ลุกโชนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มันลุกโชนด้วยหนึ่งในเปลวเพลิงที่รุนแรงที่สุด ซึ่งคือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคำ ประกายไฟเพียงสายเดียว ก็สามารถเผาผลาญผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับได้ทันที
ในขณะนี้ มีร่างหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนทะเลสาบหินหลอมเหลว ร่างของเขาตั้งตรงดุจทวน สวมมงกุฎขนนกที่มีดาวอยู่บนยอด รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา คิ้วคมกริบดุจดาบ ดวงตาเต็มไปประกายแววดั่งดวงดาว และทั้งร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคำ
เมื่อมองจากระยะไกล ชายหนุ่มดูเหมือนเทพที่เกิดมาจากเปลวเพลิง แผ่กลิ่นอายอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่ของการครอบงำและปกครองโลก
หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน เพราะคนผู้นี้คือปิงซื่อเทียน!
อย่างไรก็ตาม มันหาได้เหมือนกาลก่อน เพราะกลิ่นอายของปิงซื่อเทียนนั้นชัดเจนและครอบงำมากกว่าเดิม ทุกย่างก้าวมีกลิ่นอายที่ทรงพลังแห่งการปกครองเหนือทุกสิ่งแฝงอยู่
“หืม? เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้โลกต้องตกตะลึง มิเช่นนั้นจะไม่มีใครกล้ารบกวนข้าในขณะที่ข้าบ่มเพาะที่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคำแห่งนี้ เหตุใดจึงส่งแผ่นหยกส่งมา” ทันใดนั้นปิงซื่อเทียนก็ลืมตาขึ้น ชายหนุ่มเป็นเหมือนเทพแห่งเปลวเพลิงที่ตื่นจากการจำศีล และดวงตาก็เต็มไปด้วยคลื่นเพลิงมหึมาที่ดูเหมือนจะตั้งใจเผาผลาญสวรรค์!
ฟึ่บ!
ชายหนุ่มคว้าแผ่นหยกในมือด้วยท่าทางสงบนิ่ง
โพละ!
หลังจากดูเนื้อหาของแผ่นหยกอย่างเร่งรีบ ใบหน้าหล่อเหลาของปิงซื่อเทียนก็บิดเบี้ยว ชายหนุ่มขยี้แผ่นหยกในมือ ทำให้มันกลายเป็นละอองผงลอยไปในอากาศ
“อันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า? เจ้าเด็กบัดซบนั้นเพิ่งขึ้นสู่ภพเซียนได้ไม่กี่ปี จะมีการเติบโตที่รวดเร็วอย่างน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร? บัดซบ มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
จิตสังหารมาบรรจบกันที่หว่างคิ้วของปิงซื่อเทียน รู้สึกปั่นป่วนจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่มีสิ้นสุด ชายหนุ่มกู่ร้องคำรามอย่างน่ากลัว สั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์ ทั้งร่างปะทุด้วยเปลวไฟสีทอง ที่ดูเหมือนเปลวไฟแห่งความโกรธในใจในขณะนี้
ไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มก็สงบลงเล็กน้อย สายตาเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง
“หลังจากที่มันเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ก็จัดการมันยากแล้ว แม้ว่าจะใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของนิกายก็ตาม ถ้าข้าต้องการฆ่ามัน ข้าก็ทำได้แค่…”
จู่ ๆ ปิงซื่อเทียนก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ส่วนลึกที่สุดของภูเขาทะยานฟ้า ซึ่งมีหมอกขดตัวอยู่บริเวณนั้น และมองเห็นขอบประตูได้ราง ๆ
ประตูบานนี้ดูเหมือนจะมีแรงที่ไร้รูปร่าง ทำให้ปิงซื่อเทียนสงบลงทันที จากนั้นความเคารพและความนับถือก็หลั่งไหลออกมาจากภายในตัว
“ว่ากันว่ามันเป็นประตูที่นำไปสู่สถานที่ลึกลับของทั้งสามภพ แม้แต่ผู้อาวุโสของนิกายที่มีการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ก็ยังได้รับโทษจนต้องร่วงหล่นลงสู่ภพมนุษย์ เพียงเพราะรุกล้ำเข้าไปในนั้น แต่ก็มีข่าวลือเช่นกันว่า ผู้รับใช้ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้เข้าไปเมื่อหลายปีก่อน และโชคดีพอที่จะได้รับมรดกสูงสุด…”
“ข้าควรเสี่ยงหรือไม่?”
สีหน้าของปิงซื่อเทียนไม่แน่นอน ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ขณะกะพริบตามองซ้ำ ๆ และดูเหมือนว่าเขากำลังตัดสินใจอย่างยากลำบาก ที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของตน
เวลานี้ร่างของชิงซิ่วอี้ที่สง่างามก็ลอยขึ้นมาในใจของเขา จากนั้นก็ตามมาด้วยใบหน้าของเฉินซีที่เกลียดชังที่สุด…
ในที่สุดปิงซื่อเทียนก็ยืนขึ้นและพึมพำว่า “ข้าไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แต่เจ้าเด็กนั่นก็ได้เข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว หากยังรั้งรอต่อไป ข้าคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว…”
ฟิ้ว!
พริบตาต่อมา ร่างของเขาพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของภูเขาทะยานฟ้าอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งลูกธนูที่ยิงออกจากสายธนู และชายหนุ่มก้าวผ่านประตูที่ดูเหมือนจะสถิตอยู่ภายในความมืด
ครืน!
ทันทีที่ร่างของปิงซื่อเทียนหายไปภายในประตูบานนั้น ภูเขาทะยานฟ้าทั้งลูกก็เปล่งความผันผวนอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ เขย่าทั้งฟ้าดิน สั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่น
“เฮ้อ เขายังคงเลือกวิธีนั้นสินะ”
“ข้าได้ยินมาว่า ชิงซิ่วอี้ได้เข้าสู่นิกายนั้นแล้ว การกระทำของซื่อเทียนไม่ได้ผลีผลาม มิฉะนั้นวิถีแสวงหาเต๋าของเขา จะต้องถูกผูกมัดด้วยสิ่งนี้อย่างแน่นอน”
“ปัจจัยสำคัญคือเฉินซี เขาได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว และกลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ใหม่ในปีนี้ และมีหนี้แค้นเก่าระหว่างเขากับซื่อเทียน ดังนั้นซื่อเทียนทำได้เพียงแค่เสี่ยงทุกอย่าง”
“บางทีซื่อเทียนอาจได้รับการยอมรับจากนิกายนั้น อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประสบกับเหตุการณ์อันอันตรายอย่างยิ่งได้ ข้าแค่หวังว่าเขาจะสามารถยืนหยัดได้จนจบ”
ความตั้งใจที่น่าเกรงขามจำนวนมากได้ห่อหุ้มภูเขาทะยานฟ้าทั้งหมด พวกเขามองไปที่ประตูภายในความมืด ก่อนจะถอนหายใจด้วยความกังวลอย่างไม่หยุดหย่อน
…
นอกเหนือจากสี่พันเก้าร้อยทวีปที่ทุกคนรู้จักแล้ว ยังมีพื้นที่ลึกลับ พื้นที่อันตราย และโลกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ มากมายที่ไม่รู้จัก ได้กระจายอยู่ทั่วกาลอวกาศอันไร้ขอบเขตของภพเซียน
ในจำนวนนี้มีพื้นที่ลึกลับที่เรียกว่า หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด
ที่แห่งนี้มีเทือกเขาไร้ขอบเขตกระจายอยู่รอบ ๆ และมันก็เหมือนกับดินแดนดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา
ในเวลานี้ร่างกำยำซึ่งสูงถึงสิบห้าลี้ ได้ถอนรากถอนโคนภูเขา และโค่นต้นไม้ขณะเคลื่อนไหว ทุกย่างก้าวเหมือนเสียงฟ้าร้องเขย่าแผ่นดิน และทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน
“ท่านอาจารย์มีข่าวเกี่ยวกับเด็กคนนั้นจากภพเซียน เราควรบอกศิษย์น้องหลิวชิงหรือไม่” ร่างที่สูงสิบห้าลี้ได้หยุดอยู่หน้ากลุ่มอาคารสีดำเก่าแก่ เสียงของเขาเหมือนเสียงฟ้าร้องจากสวรรค์ทั้งเก้า ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
“มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ข้าบอกกับเจ้ากี่ครั้งแล้ว? อย่าได้แปลงร่างสูงขนาดนั้น! แล้วก็อย่าเสียงดัง!” เสียงแหบพร่าและฉุนเฉียวดังออกมาจากภายในอาคารโบราณ
“โอ้ ขอรับ ท่านอาจารย์” ทันใดนั้น ร่างที่สูงสิบห้าลี้ก็ย่อตัวลงเป็นชายร่างสูงสิบสองฉื่อ และกำยำ เขามีลักษณะหยาบกระด้าง ดวงตาเหมือนสายฟ้าฟาด อีกทั้งยังใบหน้ามั่นคง เปี่ยมไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ
น่าตกใจ แท้จริงแล้วคนผู้นี้คือมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ศิษย์พี่ของเจิ้นหลิวชิง!
ชู่ว!
ร่างของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์วูบวาบ และมาถึงที่หน้าอาคารเตี้ย ๆ สีดำสนิท ชายชราร่างผอมแห้งคนหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น ถือกระบี่ไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะกำลังแกะสลักไม้ท่อนหนึ่ง
ชายชราผู้นี้ย่อมคือนักพรตเต๋าเซวี่ย ผู้เป็นอาจารย์ของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และเจิ้นหลิวชิง
เมื่อเห็นมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ นักพรตเต๋าเซวี่ยจ้องมองด้วยความโกรธ “จงว่ามา เป็นข่าวอันใดกัน”
“ตามข่าวที่ได้รับ เฉินซีได้เข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และได้อันดับที่หนึ่งในการทดสอบ” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ดูเหมือนจะเคารพมากและตอบอย่างเชื่อฟัง
“สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า? อันดับที่หนึ่ง?”
นักพรตเต๋าเซวี่ยตกตะลึง ชายชราวางท่อนไม้ที่แกะสลักไปครึ่งหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ “นี่เป็นข่าวที่ดีจริง ๆ น่าเสียดายที่คงไม่มีใครกล้ารับเด็กคนนั้นเป็นศิษย์เอก”
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์รู้สึกประหลาดใจ “ทำไมหรือท่านอาจารย์? ข้าได้ยินมา ว่ามีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าและมันไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก ไม่ว่าจะปรมาจารย์แห่งภพพุทธองค์ วิหคอมตะห้าสีที่แท้จริงของภพวิหคอมตะ และบรรพบุรุษมังกรเขียวของภพมังกร ล้วนแต่บำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษภายในสำนักศึกษานั่น นอกจากนี้ยังมีหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายใน ฉือฉางเซิง ปรมาจารย์ของโถงพิทักษ์คัมภีร์ …”
นักพรตเต๋าเซวี่ยโบกมือและขัดจังหวะ “เอาล่ะ ข้าจะรู้น้อยกว่าเจ้าได้อย่างไรเด็กน้อย”
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ปิดปากทันที แต่ไม่นานนักเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และถามว่า “ทำไมหรือท่านอาจารย์?”
นักพรตเต๋าเซวี่ยคำรามและกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ความลับของสวรรค์ไม่สามารถเปิดเผยได้ ดังนั้นมันจึงหมายความว่าอย่างไร?”
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “แน่นอนข้าทราบ แต่เฉินซีไม่ใช่ความลับของสวรรค์ เหตุใดจึงเปิดเผยไม่ได้”
นักพรตเต๋าเซวี่ยตกตะลึง ชายชรามองไปที่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ด้วยสายตาแปลกประหลาด ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์รู้ว่าตนคงไม่ได้รับคำตอบจากอาจารย์แน่ จึงเปลี่ยนหัวข้อทันที “ถ้าอย่างนั้น ข้าควรบอกศิษย์น้องหลิวชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? นางพาสหายของเฉินซีมาด้วย และมาถึงหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งนางก็เริ่มหมดความอดทนจากการรอคอยมาเนิ่นนาน ถ้าเรายังไม่เปิดเผยอะไรแก่นาง นางจะต้องออกจากที่นี่เพื่อตามหาเฉินซีอย่างแน่นอน”
นักพรตเต๋าเซวี่ยไม่ลังเล และกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ได้ เด็กนั่นเพิ่งได้ตั้งหลักในภพเซียน นางอาจประสบภัยพิบัติมากมาย หากออกตามหาเขาในตอนนี้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายชราก็จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีเทาในระยะไกล และพึมพำว่า “อย่ากังวลไป มหาเต๋ายังไม่สมบูรณ์ และอีกไม่นานก่อนที่กรรมอันยิ่งใหญ่ของทั้งสามภพจะมาถึง…” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจจนสุดจะพรรณนาได้
ในขณะนี้ ณ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ชิงซิ่วอี้มาถึงที่เบื้องหน้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์สีเขียวที่เต็มไปด้วยหมอกเพียงลำพัง นางกวาดสายตามองไปยังแท่นหินเบื้องหน้า ซึ่งบนยอดนั้นมีอักขระโบราณสามตัวที่คลุมเครือ ซับซ้อน นั่นคือตำหนักเต๋าแห่งเทพหนี่วา
“ในที่สุดข้าก็มาถึง…” ชิงซิ่วอี้พึมพำแผ่วเบา น้ำเสียงที่ไม่มีความตื่นเต้นใด ๆ และมีเพียงความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเท่านั้น นางเดินตรงขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทีละก้าวด้วยท่าทางสงบนิ่ง