บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1177 สมาคมเซวียนหยวน
บทที่ 1177 สมาคมเซวียนหยวน
บทที่ 1177 สมาคมเซวียนหยวน
หลังจากที่ออกจากภูเขาภารกิจ เซวียนหยวนอวิ่น มู่อวี่ชง เหลียงเริ่น และกู่เยวหมิงก็จากไปตามลำดับ
เหลือเวลาอีกเพียงสองปีก่อนการสอบของฝ่ายใน และเซวียนหยวนอวิ่นกับมู่อวี่ชงก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้สำเร็จ ดังนั้นเรื่องสำคัญในตอนนี้ คือให้พวกเขาใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ จากนั้นจึงพุ่งเข้าสู่ห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์โดยเร็วที่สุด
ในทางกลับกัน เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงรู้สึกกดดันอย่างมาก เนื่องจากปัญหาในการได้รับแต้มดารา จึงไม่มีใจที่จะเดินเล่นในสำนักศึกษาต่อไป พวกเขาเร่งกลับไปยังเคหาของตน เพื่อศึกษาภารกิจต่าง ๆ ที่ให้รางวัลเป็นแต้มดารา
มีเพียงอาซิ่วเท่านั้นที่ไม่ได้รีบจากไป เพราะนางยังมีเรื่องบางอย่างจะบอกกับเฉินซี
“เฉินซี ศัตรูของเจ้าคือตระกูลจั่วชิว ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะบุกไปที่ตระกูลจั่วชิว และแก้แค้นด้วยตัวเอง เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ และให้ความสนใจกับการสั่งสมชื่อเสียง นอกจากนี้ถ้ามีคนเชิญเจ้าเข้าร่วมตระกูล เจ้าต้องไม่ตอบตกลงเป็นอันขาด เพราะด้วยวิธีนั้นเจ้าจะเป็นได้แค่บริวารของคนอื่น และจะไม่มีวันมีกองกำลังเป็นของตัวเอง”
เฉินซีตกตะลึง “มีกองกำลังมากมายในสำนึกศึกษาหรือ”
อาซิ่วพยักหน้า “แน่นอนว่ามากมาย กองกำลังเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในหมู่ศิษย์ และศิษย์ทุกคนที่สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ในภพเซียน บางทีพวกเขาอาจไม่โดดเด่นในสำนึกศึกษา แต่ในโลกภายนอก พวกเขาถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบพันปี”
“ในทางกลับกัน สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่รวบรวมอัจฉริยะของภพเซียน ศิษย์ฝ่ายนอกแปดพันคนและศิษย์ฝ่ายในสามพันคน แม้ดูเหมือนไม่มาก แต่อย่าลืมว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ชั้นยอดในหมู่คนรุ่นเยาว์ ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการสนับสนุนจากตระกูลและกองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นพวกเขาจึงมีศักยภาพและภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมมาก”
“นี่ก็เป็นกองกำลังที่มีศักยภาพ ที่ไม่มีกองกำลังใดในสามภพกล้ามองข้าม และถึงขนาดที่สามารถตัดสินสถานการณ์ หรือทิศทางของภพเซียนในอนาคตได้!”
ใบหน้าของเฉินซีค่อย ๆ กลายเป็นจริงจังเมื่อได้ฟัง
ตามที่อาซิ่วกล่าวไว้ เมื่อศิษย์ของมหาอำนาจ เช่น เจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ภพมังกร และภพพุทธองค์เข้ามาในสำนักศึกษา พวกเขาจะแบกรับความรับผิดชอบที่มองไม่เห็น และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อผูกมัดศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักศึกษาไว้ใช้เอง!
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะมีกลุ่มผู้ช่วยเหลือกลุ่มใหญ่ไว้เคียงข้าง เมื่อออกจากสำนักศึกษา และเริ่มเปิดเผยความล้ำเลิศในภพเซียน!
กลุ่มผู้ช่วยเหลือนี้ ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา แต่รวมถึงกองกำลังต่าง ๆ ที่คอยหนุนหลังอยู่ก่อนแล้ว และถึงขนาดไม่ขาดผู้สืบทอดของกองกำลังในหมู่พวกเขาเลย หากรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ มันจะกลายเป็นพลังมหาศาลอย่างแน่นอน
เมื่อนางกล่าวมาถึงตรงนี้ อาซิ่วจงใจยกตัวอย่าง “ตัวอย่างเช่น ตระกูลเซวียนหยวนของข้าได้ก่อตั้งสมาคมเซวียนหยวนภายในสำนักศึกษาเมื่อนานมาแล้ว ผู้นำคนก่อนคือพี่ชายของข้า เซวียนหยวนฉิงเฟิง และผู้นำคนปัจจุบันคือเซวียนหยวนเซียว ญาติผู้พี่ของข้า ปัจจุบันญาติผู้พี่ของข้าได้ชักชวนศิษย์กว่าร้อยคนในสำนักศึกษาให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาแล้ว”
“ในบรรดาศิษย์หลายร้อยคนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นศิษย์จากมหาอำนาจของทวีปต่าง ๆ ในภพเซียน ทายาทของตระกูลโบราณหรือนักรบที่มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจ เมื่อถึงวันที่ญาติผู้พี่ของข้าออกจากสำนักศึกษา ศิษย์กว่าร้อยคนเหล่านี้และกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังจะกลายเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่สำหรับญาติผู้พี่ของข้า”
“ด้วยวิธีนี้ กองกำลังนี้ถือได้ว่าเป็นกองกำลังของตระกูลเซวียนหยวน และญาติผู้พี่ก็เป็นผู้นำของพวกเขา แต่ที่สำคัญที่สุด เขาเป็นศิษย์ของตระกูลเซวียนหยวน”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อาซิ่วก็ยิ้มขณะมองไปทางเฉินซี “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? เมื่อเจ้ากลายเป็นบริวารของคนอื่น ก็เท่ากับเข้าร่วมกองกำลัง ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการสูญเสียอิสรภาพ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะช่วยเจ้า เมื่อเจ้าตั้งใจจะล้างแค้นตระกูลจั่วชิว”
เมื่อได้ฟัง เฉินซีก็รู้แจ้งในทันที
การมีอยู่ของกองกำลังของเหล่าศิษย์อย่างตระกูลเซวียนหยวน ถือได้ว่ามีการวางแผนอย่างรอบคอบและมองการณ์ไกล ดูผิวเผินมันเป็นเพียงกลุ่มอัจฉริยะที่แพรวพราวในสำนึกศึกษา แต่ความจริงแล้วกำลังชักจูงกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังศิษย์เหล่านี้ทางอ้อม!
“ผู้ยิ่งใหญ่ในสำนึกศึกษา…” จู่ ๆ เฉินซีก็นึกบางอย่างขึ้นได้
ก่อนจะกล่าวจบ อาซิ่วก็หัวเราะเบา ๆ “พวกเขาจะไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่นี่คือสำนักศึกษา และอาจารย์หลายคนของที่นี่ต่างก็สังกัดกองกำลังที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันไป แล้วจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร? เผลอ ๆ ตระกูลของพวกเขาคงตั้งตารอว่าจะสามารถชักชวนศิษย์ที่โดดเด่นคนใดได้บ้าง”
เฉินซีครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนจะหัวเราะอย่างขมขื่นในตอนท้าย “แต่ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรเลย แล้วข้าจะชักชวนผู้คนด้วยอะไร”
เรื่องนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับลำบากยิ่ง เหตุผลหลักที่กองกำลังอย่างสมาคมเซวียนหยวนสามารถชักชวนศิษย์จำนวนมากได้ เป็นเพราะหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง นั่นคือตระกูลเซวียนหยวน
ดวงตาของอาซิ่วเป็นประกายขณะจ้องมองเฉินซี “เจ้าคืออันดับที่หนึ่งในบรรดาศิษย์ใหม่ เพียงแค่ชื่อนี้ก็ได้รับความเคารพจากศิษย์หลายคน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้ามีศักยภาพอันไร้ขอบเขต แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักศึกษาก็ยังปฏิบัติต่อเจ้าแตกต่างออกไป แล้วจะมีใครกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่มีอะไรอีกหรือ?”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “สรุปแล้ว เจ้าไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ตราบใดที่เจ้าตัดสินใจที่จะสร้างกองกำลังของตนเอง ข้าก็จะช่วยเจ้าเอง”
ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะกล่าว แต่เมื่อมันลอดเข้าหูของเฉินซี ชายหนุ่มกลับรู้สึกสะเทือนใจแทน เขาจ้องมองใบหน้าผ่องใสของอาซิ่วอย่างว่างเปล่า ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
อาซิ่วกลับไม่เขินอายที่ถูกชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจ้องมอง นางกลับกะพริบตาแล้วหัวเราะเบา ๆ แทน “เจ้าไม่สะเทือนใจเลยหรือ?”
เฉินซีพยักหน้า “แน่นอน” เขาตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
อาซิ่วยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง”
“ต่อให้สิบเรื่องหรือร้อยเรื่องข้าก็จะสัญญากับเจ้า”
อาซิ่วกลั้นยิ้ม พลางเอามือไพล่หลัง ใบหน้างามเงยขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวทีละคำ “คำขอของข้าง่ายมาก คือ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็ตกอยู่ในความเงียบ
เฉินซีรอคอยอยู่นาน และอดไม่ได้ที่จะถาม “มันคือสิ่งใดหรือ?”
อาซิ่วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และนางกะพริบตาปริบ ๆ “ไว้ข้าจะบอกเจ้าในอนาคต ข้าต้องไปแล้ว มิฉะนั้นท่านอาจารย์จะต้องดุข้าแน่ ถ้าเขาจับได้ว่าข้าแอบออกมา”
ทันทีที่กล่าวจบ อาซิ่วก็หัวเราะเบา ๆ ขณะที่นางหันหลังกลับ และจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะใสกังวาน ที่ฟังคล้ายกระดิ่งลมซึ่งยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศไม่รู้จบ
เฉินซีตกตะลึง แต่ในที่สุด ก็ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “อาซิ่วยังคงซุกซนเช่นเคย…”
…
ภูเขาเมฆาไพศาล ภายในเคหาระดับจักรพรรดิบนยอดเขาวรุณมงคล
เมื่อเฉินซีกลับมา ชายหนุ่มเห็นหม้อใบจิ๋วยังคงดูดซับปราณบรรพกาลโกลาหล เขาจึงไม่รบกวนมัน และนั่งขัดสมาธิ ก่อนที่จะจมดิ่งสู่การครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“ปัจจุบันแม้ว่าข้าจะไม่กังวลเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานจากการโจมตีของตระกูลจั่วชิวในขณะที่อยู่ในสำนักศึกษา แต่ข้าก็ต้องระมัดระวังไม่ให้จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ดำเนินการแผนร้ายจากในเงามืด”
“นอกจากนี้ยังมีอ๋าวอู๋หมิงจากภพมังกร เจี้ยงฉางไฮ่จากตระกูลเจี้ยง และศิษย์คนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วชิว ข้าต้องใช้ความระวังพวกเขาทั้งหมดเช่นกัน”
“อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการบ่มเพาะ ข้าต้องบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ และติดหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ภายในสองปี”
“นอกจากนี้ ข้าต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อรับแต้มดารา และครอบครองชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากและชิ้นส่วนแก่นแท้โกลาหลให้จงได้”
“สำหรับการสร้างกองกำลังของตัวเอง ตอนนี้ข้าสามารถเลื่อนออกไปก่อน และข้าจะติดต่อกับศิษย์คนอื่น ๆ ในระหว่างการบ่มเพาะในภายหลัง ข้าจะดำเนินการเมื่อถึงเวลา…”
เฉินซีครุ่นคิดเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่างอย่างเงียบงัน ก่อนจะคลายความคิดของตนได้ในที่สุด
โอม~
โดยไม่เสียเวลาอีกต่อไป เฉินซีจึงเข้าสู่โลกแห่งดารา
ร่างอวตารมักทำสมาธิอยู่ที่นี่และขัดเกลาตัวเอง ความแข็งแกร่งของมันได้บรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงแล้ว และยังมีสัญญาณของการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์
ซึ่งเหตุผลที่มันก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฎแห่งเวลาในโลกแห่งดารานั้นแตกต่างจากโลกภายนอก แต่ที่สำคัญที่สุดเป็นเพราะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกที่ร่างนี้บ่มเพาะ
สุดยอดเคล็ดวิชาขัดเกลากายานี้ สืบทอดมาจากเทพอสูรในยุคบรรพกาล และเป็นเรื่องยากมากที่จะบ่มเพาะ จนถึงตอนนี้ร่างอวตารก็ยังไม่ผ่านด่านแรกเลยด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก การขัดเกลากายาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัด
“สหายเต๋า ข้าคงต้องหยุดการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้…” ร่างหลักเดินไปข้างหน้า และกล่าวขออภัย
ร่างอวตารลืมตาขึ้น และยืนขึ้นก่อนที่จะประสานกำปั้น “มันเป็นหน้าที่ของข้า”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยิ้มให้แก่กัน
อันที่จริง มีเพียงเฉินซีคนเดียวที่นี่ แต่เขาเล่นสองบทบาท ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการคุยกับตัวเอง
ชายหนุ่มมอบตราดาราม่วงให้ร่างอวตาร ส่วนตนนั่งขัดสมาธิในโลกแห่งดาราและเริ่มทำสมาธิ
แม้ว่าเคหาระดับจักรพรรดิจะเต็มไปด้วยปราณบรรพกาลโกลาหลจนหนาแน่น แต่สำหรับเฉินซีในตอนนี้ก็ยังไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะมันเป็นไปตามที่อาจารย์หวังเหินกล่าวไว้ทุกประการ ปราณบรรพกาลโกลาหลจะแสดงผลที่แท้จริงก็ต่อเมื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำเท่านั้น
ปัจจุบันเฉินซีอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ดังนั้นปราณบรรพกาลโกลาหลจึงไม่มีประโยชน์อันใด ประกอบกับร่างกายได้รับการเกื้อหนุนจากต้นอ่อนเงาทมิฬ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดการเติมเต็มของปราณเซียน
สำหรับเหตุผลที่เฉินซีเลือกที่จะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารานั้น เป็นเพราะกฎแห่งเวลาที่แตกต่างไป ทำให้เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้นได้โดยเร็วที่สุด
ในขณะเดียวกัน ร่างอวตารที่สวมเสื้อคลุมนักพรตสีเหลืองอมส้มได้เดินออกจากโลกแห่งดารา ร่างสูงใหญ่ยืดตัวอย่างสง่างาม ก่อนที่จะขัดสมาธิและเริ่มมองภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายในตราดาราม่วง
นี่คือแผนของเฉินซี ร่างหลักทุ่มเทบ่มเพาะ เพื่อที่ขัดเกลาความแข็งแกร่ง ในขณะที่การหาแต้มดาราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร่างอวตาร ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถประหยัดเวลาได้มาก
“ภารกิจประเภทเพาะปลูก ไม่ มันเสียเวลามากเกินไป”
“ภารกิจที่ต้องออกจากสำนึกศึกษา สิ่งนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะการก้าวเท้าออกจากสำนักศึกษาในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ควร…”
“ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการฝึกสัตว์อสูร…”
“ภารกิจกลั่นโอสถ…”
ญาณมหาเทวะอมตะของเฉินซีได้เข้าสู่ตราดาราม่วง จากนั้นม่านแสงจำนวนมากก็ปรากฏภายในจิตใจของเขาทันที บนม่านแสงมีภารกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งจำแนกไปตามประเภท
น่าเสียดายที่ภารกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เหมาะที่จะทำให้เสร็จในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งกว่านั้นรางวัลแต้มดาราก็น้อยเกินไป เมื่อเห็นเช่นนั้น ทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น