บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 1192 แผนการกำราบ
บทที่ 1192 แผนการกำราบ
บทที่ 1192 แผนการกำราบ
โลกแห่งดารา ณ ลานแห่งการส่งต่อ
ทั่วร่างเฉินซีเต็มไปด้วยเปลวเพลิงพลุ่งพล่านขึ้นฟ้าลงดิน กระแสกฎแห่งอัคคีแผ่ขยายมีชีวิตชีวา ไร้การยับยั้ง และรุนแรงยิ่ง
ครืน!
ยันต์เทวะอนันต์โคจรและปลดปล่อยอักขระยันต์ปกคลุมฟ้า ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นกระแสปราณกระบี่ธาตุไฟคลุมคลั่งดังคลื่นน้ำ บางคราเหมือนลาวา บางคราก็เปลี่ยนเป็นสะเก็ดไฟกระจายไปทั่ว…
มันคือสิ่งตกทอดของ ‘เคล็ดกระบี่อัคคี’ อธิบายถึงความลึกล้ำของกฎแห่งอัคคี เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงในอักขระยันต์ ก็เกิดกระแสปราณกระบี่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ด้วยประสบการณ์จากความเข้าใจเคล็ดกระบี่วารี เฉินซีจึงเข้าใจความลึกล้ำทั้งหลายที่มาจากยันต์เทวะอนันต์ได้ด้วยอารมณ์สงบ เขาใช้นิ้วต่างกระบี่เพื่อเริ่มฝึกเคล็ดกระบี่อัคคี
ฟ้าว!
ปราณกระบี่เส้นหนึ่งผงาดขึ้นฟ้า เปลี่ยนเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์กวาดไปรอบทิศ คล้ายสามารถเผาไหม้ได้ทั้งใต้หล้า!
“เปลวอัคคีลุกโหม!” กระบวนท่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถดุดันไร้ต้านของกฎแห่งอัคคี มีความดุดันของเปลวเพลิงและทะเลเดือดในกระบวนท่าเดียว เป็นท่าสังหารอันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
ฟึบ!
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เฉินซีขยับนิ้วมือ เกิดเส้นกระบี่กรีดห้วงอากาศขึ้นมาอีก เหมือนฝนเพลิงปกคลุมทั่วฟ้าโปรยลงมาสู่ดิน แต่ละสายเพลิงปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันเดือดพล่านอันเฉียบคม ฝนเพลิงยังคงโปรยลงมาไม่หยุดหย่อน เหมือนแสงดาบกระจ่างฟ้ากรีดผ่านนภา
“ม่านพิรุณเพลิง!” กระบวนท่านี้เพื่อให้เห็นถึงความไม่อาจยับยั้งและจองหองของกฎแห่งอัคคี เหมือนฝนกระบี่ที่พุ่งลงมา การโจมตีนี้รุนแรงมากและน่าจะได้ผลดีในการต่อสู้เป็นกลุ่มใหญ่
เมื่อเวลาผ่านไป เฉินซีก็มีความเข้าใจเคล็ดกระบี่อัคคีมากขึ้น ทั่วร่างเหมือนกลายสภาพเป็นเซียนอัคคี ปลดปล่อยพลังกฎแห่งอัคคีออกมา
ตูม!
เวลาผ่านไปไม่รู้เท่าใด เฉินซีจึงเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นช้า ๆ และจริงจัง ราวกับกำลังลากภูเขา ลากจนเกิดเส้นโค้งหนักขึ้นมา
ทันใดนั้นก็คล้ายได้ยินเสียงฟ้าลั่นดังก้อง เฉินซียืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง คลื่นลาวานับไม่ถ้วนพุ่งออกมารอบทิศ โอบล้อมไปทั่วทุกหนแห่ง เห็นเพียงเปลวเพลิงลุกโชนไปทั่ว
คลื่นอัคคีแต่ละคลื่นทั้งหนักหน่วงไม่ธรรมดา และกำราบได้ทุกสิ่งตั้งแต่สวรรค์จรดยมโลก เหมือนกระบี่หนักไร้คม มันมีความเฉียบคมของตัวเองซุกซ่อนอยู่ และมีอำนาจทำลายทุกสิ่ง!
“ทะเลเพลิงโลกันต์!” ยามนี้ เฉินซีลืมตาขึ้นพร้อมกับความเข้าใจ ชายหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นจึงเริ่มดูดซับและทำความเข้าใจสิ่งตกทอดที่เขาได้รับมาก่อนหน้า
เปลวอัคคีลุกโหม ม่านพิรุณเพลิง และทะเลเพลิงโลกันต์… ทั้งสามกระบวนท่านี้ก็เหมือนกับของเคล็ดกระบี่วารี มันเป็นมรดกตกทอดอันสมบูรณ์ของเคล็ดกระบี่อัคคี
แต่หากเทียบกับเคล็ดกระบี่วารีที่แพร่กระจายและเข้ากันได้กับทุกสิ่งแล้ว เคล็ดกระบี่อัคคีดุดันกว่า หยิ่งผยองกว่า และไร้การควบคุมกว่า
ว่ากันว่าแค่สะเก็ดเพลิงเดียวก็สามารถจุดเพลิงคลั่งให้โหมกระหน่ำ เมื่อกำเนิดเพลิงขึ้นแล้วก็จะรั้งอยู่ในตัวกระบี่ ไร้ผู้ใดยับยั้ง บ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด
…
เวลาผ่านไปเร็วจนแทบไม่รู้ตัว
เฉินซียังคงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ภายในโลกแห่งดารา กระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไปโดยเขาไม่ทันรู้ตัว แต่โลกภายนอกก็เพิ่งผ่านไปเพียงเจ็ดวันเท่านั้น
ในระหว่างนั้น ชื่อเฉินซียังคงดังกระฉ่อนไปทั่วสำนักศึกษา ไม่ใช่แค่เพียงสายนอก แต่กระทั่งคนในฝ่ายสงวนโอสถ ฝ่ายสงวนคัมภีร์ และฝ่ายบำเพ็ญเต๋าก็ยังคุยถึงเรื่องคนผู้นี้ไม่หยุด
“หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในเซวียนหยวนพัวจวินประกาศอย่างเปิดเผยว่าเขาจะสนับสนุนศิษย์ใหม่ผู้อยู่ในอันดับหนึ่ง ซึ่งก็คือเฉินซีหรือ?”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าเจ้านั่นช่วยเหลือตระกูลเซวียนหยวนไว้มาก ไม่เพียงเท่านั้น กระทั่งพวกผู้อาวุโสในฝ่ายสงวนโอสถยังชื่นชอบเจ้าเด็กนั่นไม่น้อย”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น เหมือนจะเกี่ยวกับภารกิจฟื้นฟูหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ วันนั้นได้ยินเสียงหม้อกลั่นลั่นไปถึงชั้นฟ้าภายในฝ่ายสงวนโอสถ ทั้งอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจน”
“น่าเสียดายที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเฉินซีเป็นผู้ซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำจริงหรือไม่ ผู้อาวุโสภายในฝ่ายสงวนโอสถไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักนิด แม้ข้าจะคิดว่าถึงเฉินซีไม่ใช่คนซ่อมมัน แต่ก็คงเกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อย”
“เยี่ยมไปเลย! เด็กใหม่อันดับหนึ่งปีนี้เพิ่งเข้าสำนักศึกษามาได้ แต่สร้างเรื่องใหญ่เช่นนี้แล้ว ไม่นานคงมีคนเชื้อเชิญเขามาพูดคุยเรื่องเต๋าภายในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าแน่”
“ฝ่ายบำเพ็ญเต๋า? อ้อ ฮ่า ๆ! ใช่สิ เด็กใหม่ทั้งหลายที่เข้ามาจะถูกเชิญเข้าฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเพื่อทดสอบเรื่องเต๋าอยู่แล้ว ฮ่า ๆ !”
บทสนทนาเช่นนี้ดำเนินไปเรื่อย และชื่อของเฉินซีเป็นที่รู้จักในหมู่ศิษย์และอาจารย์ผ่านบทสนทนาเหล่านี้นั่นเอง
อาจจะไม่ถึงขั้นสุริยันอันเจิดจ้า แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ที่นับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย
…
ในขณะที่เฉินซีปิดด่านบ่มเพาะ ภายในห้องโถงผู้คุมกฎสายนอกชายผู้หนึ่งก็ได้รับแผ่นหยก
“ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องคุมเฉินซีไว้…” จั่วชิวจวินมุ่นคิ้วพึมพำแล้ววางป้ายหยกในมือลง
ป้ายหยกถูกส่งมาจากหัวหน้าอาจารย์คนหนึ่งของฝ่ายสงวนโอสถ จั่วชิวเซิง อธิบายชัดเจนว่าเฉินซีทำสิ่งใดในฝ่ายสงวนโอสถบ้าง
เด็กคนนี้เป็นตัวปัญหา เพิ่งเข้ามาไม่ถึงเดือนแต่กลับสามารถซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ ได้รับความดีความชอบจากผู้อาวุโสภายในฝ่ายสงวนโอสถ และตระกูลเซวียนหยวนไปในคราวเดียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปภายภาคหน้าคงประสบความสำเร็จ ถึงตอนนั้นจะจัดการก็ยากแล้ว
แต่ลุงจั่วชิวฮงห้ามไม่ให้พวกเราลงมือกับเฉินซีต่อหน้าฝ่ายใน หากอยากกำราบอีกฝ่ายตอนนี้ก็คงต้องใช้วิธีอื่น จั่วชิวอินคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอย่างไร
“ศิษย์พี่จวิน มีเรื่องหนักใจอันใดหรือ?” ภายในห้องโถงไม่ได้มีเพียงจั่วชิวจวิน ยังมีศิษย์คนอื่นของโถงผู้คุมกฎอยู่เช่นกัน ผู้ที่เอ่ยปากคือสตรีงดงามผู้หนึ่งที่มีเรือนร่างเย้ายวน
นางมีนัยน์ตางดงาม ใบหน้าชมพูระเรื่อ เป็นโฉมสะคราญไม่น้อย น่าเสียดายที่มีริมฝีปากบาง โหนกแก้มค่อนข้างสูง ทำให้มีท่าทางดูหดหู่ชั่วร้ายไปสักหน่อย
นางชื่อว่าหลิวอี่หมิง อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง เป็นศิษย์อาวุโสเช่นกัน
เดิมทีนางไม่ได้มีสกุลหลิว ที่เปลี่ยนมาใช้ก็หลังจากได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับหลิวเจ๋อเฟิงที่อยู่อันดับแปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ พวกศิษย์ฝ่ายนอกเคยประณามว่าการกระทำของนางน่าละอายยิ่ง เยาะเย้ยว่าพยายามประจบคนมีอำนาจ แต่หลิวอี่หมิงกลับรู้สึกภาคภูมิใจ ไม่สนลมปากผู้ใด
จั่วชิวจวินได้ยินหลิวอี่หมิงพูดก็เกิดความคิดขึ้นมาวูบหนึ่ง “ศิษย์น้องหญิงอี่หมิง เจ้าเองก็อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงมาเกือบสี่ร้อยปีแล้วใช่หรือไม่?”
หลิวอี่หมิงชะงักไป นางเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่จวิน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จั่วชิวจวินเอ่ย “อย่าคิดมาก ข้าเพียงนึกบางอย่างขึ้นได้และอยากรบกวนเจ้าสักหน่อย หากเจ้าทำสำเร็จข้าจะมอบโอสถทิพย์เก้าชีพจรช่วยให้เจ้าขึ้นสู่ขอบเขตเซียนทองคำ”
เขารู้สภาพการของหลิวอี่หมิงดี นางเป็นพวกเสแสร้ง เห็นประโยชน์เป็นของสูงสุด หากได้รับประโยชน์มากพอไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อแซ่ แม้แต่ให้ทรยศหลิวเจ๋อเฟิงยังทำได้โดยไม่ลังเล
เพราะนางเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของหลิวเจ๋อเฟิง จั่วชิวจวินจึงพานางเข้าโถงผู้คุมกฎเพื่อดึงตัวหลิวเจ๋อเฟิงเข้าพวก ไม่เช่นนั้นนางคงไม่อยู่ในสายตาจั่วชิวจวินทั้งที่อยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงเช่นนี้
เมื่อนางได้ยินคำว่าโอสถทิพย์เก้าชีพจร หลิวอี่หมิงก็ตาเป็นประกายพร้อมยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่จวินต้องการสิ่งใดหรือ? หากศิษย์น้องหญิงสามารถช่วยเหลือได้ย่อมไม่ลังเลแน่”
ระหว่างพูดก็แอบสงสัยตายั่วยวนจั่วชิวจวินด้วย
สตรีผู้นี้… จั่วชิวจวินส่งเสียงเยาะในหัวใจด้วยความรังเกียจ แต่ปากกลับพูดว่า “เรื่องไม่ยาก ได้ยินว่าศิษย์น้องหญิงมีมิตรสหายกว้างขวาง รู้จักคนสายนอกมากมาย เพียงอยากให้เจ้า…”
ไม่นานจั่วชิวจวินก็เล่าแผนการให้นางฟัง
“เชิญเฉินซีมาพูดคุยเรื่องเต๋าในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าหรือ?” นางฟังจนจบ หลิวอี่หมิงก็เริ่มลังเล ถึงนางจะเป็นพวกเสแสร้งหัวสูง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ หลายวันที่ผ่านมาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเฉินซีมามาก เมื่อได้ยินว่าจั่วชิวจวินคิดใช้นางจัดการเฉินซี ในใจจึงเกิดความลังเลขึ้นมา
“ถูกต้องแล้ว ศิษย์น้องหญิงอี่หมิง เจ้าเองก็รู้ว่าในสำนักมีกฎลับที่ทุกคนรู้อยู่ หลังศิษย์ใหม่เข้าสำนักศึกษามา ก็จะได้รับการสั่งสอนจากฝ่ายบำเพ็ญเต๋า ก็แค่ประมือกัน ไม่ได้ฆ่าแกงกันเสียหน่อย” จั่วชิวจวินเอ่ยตามตรง “ทำเช่นนี้ก็เพื่อยับยั้งความอวดดีของพวกนั้นลงบ้าง อย่างไรพวกเด็กใหม่ในอดีตก็เคยเป็นยอดอัจฉริยะ มีความหยิ่งผยองถือดี การต่อสู้ในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าสามารถทำให้พวกเขารู้เห็นแจ้ง ทำให้รู้ได้ว่าในโลกนี้ยังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่า”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มให้หลิวอี่หมิง “ไม่รู้ว่าหากศิษย์น้องหญิงอี่หมิงจะสนใจสั่งสอนเด็กใหม่อันดับหนึ่ง ให้เขาเข้าใจว่าในสำนักศึกษานี้ เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้นหรือไม่”
“ข้าย่อมสนใจ” ทว่าหลิวอี่หมิงมีความลังเล “เพียงแต่อยากรู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่จวินไม่ลงมือเองเล่า ให้ข้าทำทำไม?”
จั่วชิวจวินไหวไหล่ “กระทั่งเจ้าเองก็รู้ว่าระหว่างเด็กนั่นกับตระกูลจั่วชิวมีความบาดหมางกัน ในฐานะหัวหน้าศิษย์โถงผู้คุมกฎ หากให้ข้าลงมือเองคงไม่เหมาะเท่าใดนัก”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “ไม่ใช่แค่เรื่องเส้นสาย แต่ในหมู่ศิษย์สายนอกทั้งแปดพันคน ศิษย์น้องหญิงอี่หมิงเองก็มีฝีมือที่สุด ดังนั้นเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการข้าจึงวางใจได้ แน่นอนว่าจะสำเร็จหรือไม่ ศิษย์น้องหญิงก็จะได้รับโอสถทิพย์เก้าชีพจรอยู่ดี”
เห็นได้ชัดว่าข้อเสนอนี้ถูกใจหลิวอี่หมิงนัก นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนตอบ “เฉินซีเป็นเด็กใหม่อันดับหนึ่ง ฝีมือต่อสู้ในการทดสอบรอบที่สองก็โดดเด่น ในรุ่นราวคราวเดียวกันในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าคงมีแค่ไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเขาได้ ถึงข้าจะรู้จักคนมากมาย…”
จั่วชิวจวินเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อทั้งที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบประโยค เขาจึงยกมือขึ้นโบกขัดคำนาง “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกศิษย์น้องหญิง นอกจากเจ้าแล้ว ข้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะลงมือเช่นกัน”
ความนัยเบื้องหลังคือ ถึงเขาไม่ใช้นาง ก็ยังมีอีกหลายฝ่ายที่คิดจัดการคนผู้นี้
หลิวอี่หมิงได้ยินจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาก รีบยืนขึ้นคลี่ยิ้มเย้ายวนให้ “ในเมื่อศิษย์พี่จวินวางแผนมาดี หากศิษย์น้องหญิงปฏิเสธก็คงไม่เหมาะ ข้าจะไปดูเฉินซีตอนนี้แล้วหาวิธีให้เขารับคำเชิญเพื่อมาพูดคุยเรื่องเต๋าที่ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเอง”
ว่าแล้วนางก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่ข้ายังไม่วางใจเจ้า… เขามองหลิวอี่หมิงเดินจากไปแล้ว รอยยิ้มของจั่วชิวจวินก็ค่อย ๆ เลือนหาย กลับคืนสู่สีหน้าเรียบเฉยดังเดิม