บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 143 เหตุไม่คาดฝัน
บทที่ 143 เหตุไม่คาดฝัน
ต้นไม้อ่อนมีขนาดเท่าฝ่ามือ เรียวและเล็ก เพิ่งผลิใบออกมาเพียงสามใบเท่านั้น ทุกใบมีสีเขียวสดดั่งอัญมณีมรกต ปราณพฤกษาที่สองที่อยู่ในนั้นหนาแน่นมากจนถึงขนาดไหลทะลักออกมา ก้อนเมฆเขียวปานหยกสามก้อนดูมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์ล่องลอยอยู่เหนือใบไม้ทั้งสามใบ พวกมันอุดมไปด้วยพลังและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
เฉินซีมั่นใจได้ในทันใดนั้นเองว่าต้นไม้ใบโกร๋นต้นใหญ่เป็นเพียงเปลือกหุ้มดุจปราการป้องกันชั้นหนึ่งเท่านั้น ส่วนปราณพฤกษาที่สองก็ถูกปล่อยออกมาจากต้นไม้อ่อน
ชายหนุ่มสูดลมหายใจขณะพยายามข่มความตื่นเต้นที่ท่วมท้นขึ้นมาในใจ เขามองไปยังรากของต้นไม้อ่อนอย่างพิจารณา
เมื่อตรวจสอบอย่างถ้วนถี่ ครั้งนี้ทำให้เฉินซีสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาเองต้องตกตะลึง…ธุลีโกลาหล!
ธุลีโกลาหลเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่ไม่ได้รวมอยู่ในธาตุทั้งห้า ตามตำนานเล่าขานในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลเป็นช่วงเวลาที่โลกเริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตในกลียุคล้วนกำเนิดขึ้นมาจากธุลีโกลาหล เมื่อสวรรค์และโลกแยกออกจากกันและสร้างมิติทั้งสามขึ้นมา ธุลีโกลาหลจึงถูกฝังลืมตลอดกาลนานและไม่เคยปรากฏอีกเลย
ตอนที่เขาอยู่ที่ที่พำนักเซียนกระบี่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ เฉินซีเคยพบกับกลิ่นอายของธุลีโกลาหล ณ บริเวณทางเข้าห้องโถงสมบัติมาครั้งหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่นั่นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของกลิ่นอายเท่านั้น การจะรวบรวมมันจึงเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ที่รากของต้นไม้อ่อนตรงหน้าปิดคลุมด้วยแผ่นดินสีหม่นคล้ำขนาดฝ่ามือ และมันได้ปลดปล่อยกลิ่นอายเก่าคร่ำออกมามากมาย แม้ว่ามันจะอ่อนเบา ทว่าก็สร้างความตกตะลึงในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ดูเหมือนจะติดมากับร่องรอยของกลิ่นอาย ซึ่งย้อนกลับไปในยุคโบราณ ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายอันเป็นจุดเริ่มต้นของโลกอย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าเฉินซีจะเป็นคนใจเย็นสักเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกถึงกระแสแห่งความตื่นเต้นที่ได้แผ่ซ่านไปทั้งตัว
ต้นไม้อ่อนต้นน้อยแผ่ปราณพฤกษาที่สองและมีแผ่นธุลีโกลาหลขนาดฝ่ามือออกมา สมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์และโลกสองชิ้นปรากฏต่อหน้าอยู่แค่เอื้อมเท่านี้ ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้น
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าปอดพลันเขากลับมามีท่าทีระมัดระวัง สถานที่ตรงนี้อยู่ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ท่ามกลางสายตาของคนที่คอยจับจ้องมากมายนับไม่ถ้วน หากมีใครสักคนสังเกตเห็นรัศมีของมันขึ้นมาและหาโอกาสจากสถานการณ์นี้ จะก่อให้เกิดปัญหาได้
เขาจึงล้วงกล่องหยกออกมาก่อนที่จะทรุดนั่งยองลงบนพื้น จากนั้นก็ค่อยกอบโกยธุลีโกลาหลอย่างระมัดระวัง เนื่องจากรากของต้นไม้อ่อนทั้งเล็กและบอบบางราวกับเส้นผม หากไม่ระวังอาจฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เฉินซีไม่คาดฝันก็บังเกิด ทันทีที่มือเอื้อมออกไปแตะธุลีโกลาหลเท่านั้น ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาพลันมีปฏิกิริยาทันที ราวกับฝูงฉลามที่ได้กลิ่นคาวโลหิต ก่อนที่มันจะพุ่งออกจากร่างกายตรงเข้าปกคลุมธุลีโกลาหลพร้อมกับต้นไม้อ่อนโดยมิทันที่ชายหนุ่มจะดึงขึ้นมาและเก็บเข้าสู่ร่างกายของตนเอง มันได้หายวับไปกับตาเสียแล้ว!
เฉินซีตระหนกในใจวูบเมื่อสังเกตเห็นว่าที่แผ่นหลังตน ตรงจุดที่อักขระจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้าได้ปรากฏเงาสีหม่นคล้ำขึ้นมา ทว่าเลือนรางและไม่ชัดนัก แต่ที่น่าตกใจคือในนั้นมีมวลดินขนาดฝ่ามือที่ลอยอยู่ ในขณะที่บนอักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองก็ปรากฏเงาของต้นไม้อ่อนอยู่ในนั้นด้วย
ชายหนุ่มออกจะงงงัน
เขาสังเกตได้ว่ารูปร่างของธุลีโกลาหลที่ปรากฏขึ้น รวมทั้งต้นไม้อ่อน อาจมีความเกี่ยวข้องกับอักขระจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้าและอักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองอยู่ไม่มากก็น้อย เหมือนมันเป็นสะพานที่เชื่อมโยงสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน กลิ่นอายแห่งอดีตพวยพุ่งออกมาจากธุลีโกลาหล จากนั้นก็ไหลเข้าสู่อักขระจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สอง เพื่อที่จะทำให้ต้นไม้อ่อนดูดซับพลังก่อนจะแปรสภาพเป็นปราณพฤกษาที่สองอันบริสุทธิ์ ซึ่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา
ชั่วพริบตาต่อมา เฉินซีรู้สึกได้ถึงโลหิตที่ไหลเวียนตามผิวหนัง เส้นเอ็น อวัยวะภายในและแม้แต่เส้นลมปราณและทวารต่าง ๆ ในร่างกายของเขาก็เปล่งรัศมีและพละกำลังออกมาอย่างท่วมท้น ในกายเต็มไปด้วยพละกำลัง พลังชีวิตและโลหิตล้วนก็พลุ่งพล่านสุดขีด ท่ามกลางสภาพการณ์ที่น่าฉงน เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งแรงขึ้นและมั่งคงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด และคงมีสักวันที่เขาจะผงาดและยืนหยัดด้วยตนเองโดยไม่มีใครอาจต้านทาน!
เปรี้ยง!
เสี้ยววินาทีนั้นเฉินซีรับรู้ถึงปราณจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองขั้นสมบูรณ์ที่อยู่ในกาย ประกอบกับอักขระจ้าววิญญาณที่หนาทึบและลึกล้ำได้ปรากฏขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขา!
ลักษณะของอักขระจ้าววิญญาณชั้นนี้ไม่ได้หนาทึบและหยาบเหมือนอักขระจ้าววิญญาณปฐพีที่ห้า รวมทั้งไม่ได้เบาและอ่อนโยนเหมือนอักขระจ้าววิญญาณแห่งพฤกษาที่สอง แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่เฉียบคมและเยือกเย็นเฉกเช่นดาบหรือกระบี่อันแข็งกร้าว แกร่งกล้าน่าขนลุก สิ้งนี้คืออักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ดนั่นเอง!
ร่างกายขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสามดารา ขอบเขตทองคำที่เจ็ด!
ขณะที่เจ้าตัวนิ่งงันด้วยความตกตะลึง การบ่มเพาะพลังแปรสภาพร่างกายของเขาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไปอีกขั้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น!
เขาสัมผัสได้ถึงปราณจ้าววิญญาณภายในได้อย่างชัดเจน นอกจากคุณลักษณะของพลังดาราจักรปฐพีที่ห้าและพฤกษาที่สองที่ว่าแล้ว ร่องรอยอื่นที่ปรากฏขึ้นให้เห็นใหม่คือปราณทองคำที่เจ็ดอันแหลมคม!
ฟิ้ว!
ปราณจ้าววิญญาณที่พัวพันอยู่ในร่างกายพรั่งพรูดั่งแม่น้ำสายใหญ่ เสียงคำรามลั่นด้วยอสนีบาตราวกับความแข็งแกร่งพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า กลิ่นอายที่ดูอ้างว้าง เร้นลับและยิ่งใหญ่แผ่ซ่านออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกาย ทำให้บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนเหมือนเสียงคนพึมพำ ก่อนจะกระจัดกระจายหายไป
ขณะนี้ปราณพฤกษาที่สองจากต้นไม้อ่อนที่อยู่ในอักขระจ้าววิญญาณพฤกษาที่สองยังคงพวยพุ่งออกมาต่อเนื่อง มันไหลรินเข้าเติมปราณจ้าววิญญาณแก่ร่างกายของเฉินซีอยู่อย่างไม่ว่างเว้น อีกทั้งยังได้พัฒนาพละกำลังแห่งโลหิต กายเนื้อ เส้นเอ็น ผิวหนังและภายในอวัยวะในทั้งหมดของเขา อาจกล่าวได้ว่าเพราะต้นไม้อ่อนต้นนี้ หากเฉินซีจะต่อสู้กับใครสักคนในเวลานี้ เขาไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าปราณจ้าววิญญาณของตนจะแห้งเหือดหายไป!
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่ต้นไม้อ่อนดูดซับพลังงานในธุลีโกลาหลจนหมดแล้ว มวลพลังที่พวยพุ่งคล้ายกับไม่มีหมดนี้ ซึ่งออกมาจากต้นไม้อ่อนจะลดหลั่นลงไปเช่นกัน แต่เฉินซีได้ข้อสรุปอีกอย่างว่าหากเขาออกแรงใช้ทักษะฝ่ามือมหาดาราอย่างเต็มที่หลังจากนี้ ด้วยการเกื้อหนุนจากต้นไม้อ่อนในปราณจ้าววิญญาณของเขา ถึงแม้ว่าอัตราการผลาญปราณจ้าววิญญาณจะรวดเร็ว แต่ตราบใดที่เขามีช่วงพักหายใจบ้าง เขาจะสามารถฟื้นฟูปราณจ้าววิญญาณให้ฟื้นคืนความสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่เฉินซีก็ออกจะรู้สึกเสียดายอยู่ที่ต้นไม้อ่อนสามารถเติมเต็มปราณจ้าววิญญาณได้เพียงอย่างเดียว และไม่สามารถเพิ่มพูนระดับการบ่มเพาะของเขาได้ ถ้าเขาอยากบรรลุระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้น เขาต้องใช้ศิลาวิญญาณดาราในการบ่มเพาะพลัง โดยแปลงพลังของมันให้เป็นปราณจ้าววิญญาณขั้นทองคำที่เจ็ด นั่นแหละเขาจึงจะสามารถบ่มเพาะพลังขั้นทองคำที่เจ็ดได้โดยสมบูรณ์
ความรู้สึกอัดอั้นทำให้เฉินซีต้องถอนใจหนัก จากนั้นเขาจึงสะดุ้งตัวแข็งทื่อเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดอย่างแรง ด้วยจู่ ๆ เขากลับนึกอะไรขึ้นมาได้ว่า ที่นี่คือสถานที่แห่งหนึ่งในชั้นสี่สัญลักษณ์ที่ชื่อว่าดินแดนเทพมังกรคราม ซึ่งมีต้นไม้อ่อนที่ปลดปล่อยปราณพฤกษาที่สองดำรงอยู่ ดังนั้นแล้วในดินแดนเทพพยัคฆ์ขาว ดินแดนเทพวิหคเพลิงและดินแดนเทพเต่าทมิฬ ก็ควรมีสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งแบบนี้อยู่ด้วยจริงหรือไม่?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หัวใจของเฉินซีพลันเต้นแรงขึ้น เมื่อเขาแยกแยะทิศทางเรียบร้อยแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกใหญ่สีทองอร่าม อันเป็นที่ตั้งของดินแดนเทพยัคฆ์ขาว
ตลอดทางผ่าน เขาได้พบเห็นการต่อสู้เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่งภายในป่าเขียวทึบ ผู้บ่มเพาะจำนวนสองพันคนที่สามารถเข้าสู่เจดีย์ในชั้นที่สองซึ่งมีทั้งผู้บ่มเพาะที่มีฝีมือเยี่ยมในขั้นพลังระดับเดียวกัน หรือบางพวกที่เคยอาศัยศิษย์พี่นิกายเดียวกันให้ความช่วยเหลือนำพามาที่นี่เมื่อแรก แต่เมื่อมาถึงแล้วต่างคนต่างต้องพึ่งพากำลังของตนเอง
ในที่สุด จะมีคนที่สามารถผ่านเข้าสู่เจดีย์ชั้นที่สามได้เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น และในหนึ่งร้อยคนเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน คนเหล่านี้มีสิทธิที่จะได้รับยาสมุนไพรรักษาอาการบาดเจ็บ ทักษะวิชาบ่มเพาะพลัง รวมทั้งสมบัติวิเศษอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาจะขจรขจายไปในโลกแห่งการบ่มเพาะพลังของเขตแดนทางใต้ นั่นคือพวกเขาจะได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ถึงแม้จะนับถือเป็นศิษย์พี่มาจากนิกายเดียวกัน หากพวกเขาจะต้องต่อสู้ฟาดฟันกันเองเพื่อให้มีชื่ออยู่หนึ่งในหนึ่งร้อยอันดับ คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสู่เจดีย์ระดับที่สูงขึ้นต่อไป
“อืม… ที่นี่ก็คึกคักไม่น้อย” ขณะที่เขากำลังจะทะยานพ้นจากป่าเขียวครึ้มนี้ ดูท่าว่าเฉินซีจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้ว ชายหนุ่มจึงหยุดชะงักทันที พร้อมกับญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาเรืองแสงกระจายไปรอบตัว
ไกลออกไปประมาณห้าสิบลี้ ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังต่อสู้กันกลางอากาศ หญิงสาวมีรูปลักษณ์สวยงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ผิวพรรณของนางนวลเนียนดั่งเนื้อหยก มือกระชับอาวุธดาบคู่สีฟ้าและม่วง ขณะที่อาวุธคู่นั้นสั่นระริกอยู่ในมือ คมมีดสาดแสงวิบวับดุจเกล็ดหิมะที่พัดโปรยปรายผ่านสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ ห้าวหาญและว่องไว และส่อเจตนาสังหาร หากพินิจมองให้ดีนางคือผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์แห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร… เฟยเหลิ่งชุ่ย
คู่ต่อสู้ของนางคือหนุ่มน้อยรูปงาม บนศีรษะสวมหมวกบัณฑิต คิ้วดำเข้มประดุจสีน้ำหมึก ดวงตาสดใสคมกริบดั่งนัยน์ตาเหยี่ยว ข้างหลังมีกระบี่สามเล่มสะพายเฉียง และเปล่งกลิ่นอายหยิ่งยโสและร้ายกาจออกมาทั่วร่าง คนผู้นี้คือชิวเหลิ่ง สมญานามกระบี่ไร้ลักษณ์…ศิษย์ของนิกายสุริยันคราม
ฉับพลันนั้นเอง กระบี่สองในสามเล่มจากข้างหลังของชิวเหลิ่งก็ทะยานออกจากฝักทันที เล่มหนึ่งมีสีดำ ส่วนอีกเล่มหนึ่งมีสีขาว กระบี่ดำนั้นดำสนิทและลึกล้ำ กระบี่สีขาวสุกใสและแวววาว เมื่อทั้งสองอยู่ในมือเสมือนดั่งอสรพิษเหินทะยาน ขณะที่การต่อสู้กับเฟยเหลิ่งชุ่ยดำเนินมาถึงสถานการณ์เข้าตาจน
ทั้งสองเป็นคนอัจฉริยะที่เข้าใจในเต๋ารู้แจ้ง ก่อนที่พวกเขาจะเข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ต่างก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกรแล้ว ก่อนที่จะมายังเจดีย์บำเพ็ญทุกข์พวกเขาเคยได้ชื่อว่าฝีมือร้ายกาจ ซึ่งน่าจะติดสิบอันดับแรกของอันดับมังกรซ่อนเร้น ทันทีที่ทั้งคู่เริ่มลงมือต่อสู้กัน ได้เกิดกระแสลมรุนแรงน่ากลัวพอที่จะฉีกทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีสิบลี้ เป็นภาพที่ชวนสยองขวัญสั่นประสาทยิ่ง
การต่อสู้ที่สะท้านฟ้าดินเช่นนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากคนส่วนใหญ่ เวลานี้จึงมีผู้บ่มเพาะจำนวนมากเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ที่บริเวณโดยรอบ คนที่มีพลังอ่อนด้อยต่างซุ่มดูอยู่ในที่ซ่อนตัว ในขณะที่คนที่มีพลังน่าเกรงขามก็จะยืนอยู่ในตำแหน่งสังเกตการณ์ที่ดี ยามนี้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังการต่อสู้ของคนทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ บ้างมีสีหน้าตกตะลึง ตื่นเต้น หวาดหวั่น หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยครุ่นคิดหนัก หลากหลายกันไป
เฉินซีหยุดมองดูการต่อสู้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็หมุนตัวหันกลับและออกจากสถานที่ไป คนทั้งสองฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งเทียบเท่ากันไม่มากก็น้อย ยิ่งกว่านั้นดูท่าว่าทั้งคู่จะยังไม่ได้แสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการต่อสู้เช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานเพียงใด และหากจะเทียบกันแล้ว การออกไปตามหาสมบัติล้ำค่าที่กำลังเป็นที่สนใจนั้นน่าจะสำคัญกว่า
ชายหนุ่มคล้อยหลังไปไม่นานนัก ก็มีเงาคนสามคนปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ลับสายตาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่มีการประลองกำลัง
“ต้องขอบใจแผนการเยี่ยมยอดของจงมู่จริง ๆ ที่ปั่นหัวเฟยเหลิ่งชุ่ยให้ต่อสู้กับชิวเหลิ่ง หากการต่อสู้ครั้งนี้จบเมื่อไร คาดว่าพวกเขาทั้งสองน่าจะอ่อนแอลงเป็นอันมากและหมดหวังจะเป็นหนึ่งในสิบอันดับต้นอีกต่อไป” คนพูดเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าซูบซีดและมีผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ขณะที่เจ้าตัวยกยิ้มที่มุมปาก
“พี่ลู่ผิง ท่านก็ชมเกินไป แค่ลูกไม้ตื้น ๆ เท่านั้น อย่าพูดอย่างนั้นเลย” ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าสีเงินที่ถูกเรียกว่าจงมู่ส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ใช่ว่าพวกเราไม่ควรฉวยโอกาสนี้ทำอะไรสักอย่างหรือ ข้าไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาภูตเงาให้กับพวกเจ้าเอาไว้พูดคุยเฮฮาเป็นที่สนุกสนาน รู้เอาไว้ซะด้วย” ชายหนุ่มแต่งกายสีดำผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดาส่งเสียงเป็นเชิงกำราบพลางขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มผมขาวที่ชื่อลู่ผิงและคนสวมผ้าคลุมสีเงินที่ชื่อจงมู่ต่างตีหน้าเจื่อนไปตาม ๆ กัน ดูท่าว่าทั้งสองจะเกรงกลัวชายหนุ่มสวมชุดดำคนที่ชื่อจ้านคงอย่างมาก จึงรีบพูดกับฝ่ายหลังด้วยท่าทางนอบน้อม “ขอรับ ๆ พี่จ้านคงพูดถูกแล้ว”
“ดี…งั้นพวกเราลงมือตอนนี้เลย!” จ้านคงสีหน้าเฉยเมย ผงกศีรษะให้สัญญาณ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทุกคนกดปลายเท้าแตะพื้นเล็กน้อย ก่อนจะทะยานแยกกันไปทันที โดยต่างคนต่างพุ่งตรงไปยังบริเวณด้านข้าง กลิ่นอายบางเบาเหล่านั้นราวกับดวงวิญญาณที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในยมโลกกระนั้น หากสายตาของคนทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แกร๊ก!
เวลานั้นผู้บ่มเพาะที่มัวแต่สนใจดูและไม่ทันตั้งตัวจึงถูกสะบั้นศีรษะหลุดจากบ่าและตายอยู่ตรงนั้นเอง แม้กระทั่งก่อนตาย เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฆาตกรที่สังหารตัวเองมีหน้าตาอย่างไร
ฉัวะ!
ขณะเดียวกันมีผู้บ่มเพาะอีกคนหนึ่งถูกกระบี่เสียบขั้วหัวใจแค่เพียงครั้งเดียว และกำลังเปล่งเสียงร้องดังโหยหวนทันทีที่ฝ่ามือขนาดใหญ่อุดปากของมันจนแน่น ในที่สุดก็ตายลงอย่างเงียบ ๆ
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้นในพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว ผู้บ่มเพาะที่เฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างเฟยเหลิ่งชุ่ยกับชิวเหลิ่งจึงไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังพวกเขามีสามภูตวิญญาณที่ตามเก็บเอาชีวิตทีละคน ๆ อย่างเงียบงัน