บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 154 ความโกรธของเฉินฮ่าว
บทที่ 154 ความโกรธของเฉินฮ่าว
เคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพที่เฉินซีได้รับมาจากที่พำนักของเซียนกระบี่ เมื่อครั้งที่อยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ เช่นเดียวกับเคล็ดวิชามายาเทพและเคล็ดวิชาสังหารเทวา พวกมันล้วนเป็นวิชาโจมตีวิญญาณที่ลึกล้ำและยากหยั่งถึง
มีเพียงผู้บ่มเพาะที่มีญาณตระหนักรู้เท่านั้นจึงใช้เคล็ดวิชามายาเทพได้
ส่วนเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพ ผู้บ่มเพาะที่มีญาณจิตเท่านั้นจึงจะใช้งานได้
อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาสังหารเทวากลับมีความต้องการที่สูงยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของผู้ใช้นั้นต้องบรรลุถึงระดับญาณศักดิ์สิทธิ์เสียก่อนจึงจะใช้งานได้
ในขณะนี้ ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเฉินซี ได้บรรลุถึงระดับญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว และมันห่างจากการบรรลุสู่จิตสัมผัสเทพเพียงก้าวเดียว ดังนั้นพลังของมันจึงมากพอที่จะใช้เคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพ นอกจากนั้น อานุภาพของมันก็น่าเกรงขามมากกว่าตอนที่เขาสังหารผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลี่ และก็เพียงพอที่จะทำลายจิตสำนึกของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไป ทำให้ผู้บ่มเพาะที่โดนเคล็ดวิชานี้โจมตีกลายเป็นคนฟั่นเฟือนในที่สุด
นอกจากนี้ ภายใต้สภาวะที่ไม่ทันตั้งตัว ก็อาจทำให้ห้วงจิตสำนึกของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน และต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ยังต้องตกอยู่ในสภาวะมึนงงชั่วคราวจากการถูกโจมตีนั้น
“หืม?” ในขณะที่เฟิ่งหมิงไล่ตามรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าอย่างกระชั้นชิด จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ และเขาตระหนักได้อย่างฉับพลัน ว่ามีพลังวิญญาณที่ทรงพลังกักขังเขาไว้ในทันที
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะตอบสนองต่อมันทัน ภูเขาสูงตระหง่านขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันภายในห้วงจิตสำนึกของเขา มันกระแทกลงมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้น ความเจ็บปวดที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายและทำให้สติของเขาพร่ามัว ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่ได้บังคับร่างกายเอาไว้ก่อน เขาก็คงจะกระแทกเข้ากับกำแพงแล้ว
“บัดซบ! แท้จริงแล้วมันคือทักษะโจมตีวิญญาณ! ใครกัน? ใครบังอาจลอบโจมตีข้าจากเงามืด!” หลังจากนั้นไม่นาน เฟิ่งหมิงก็ได้สติจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยเจตนาสังหารอันดุร้าย
กระแสของผู้คนบนท้องถนนเป็นดั่งผ้าไหมทอดยาวออกไปอย่างคึกคัก พวกเขาต่างก็มีสีหน้าปกติ เฟิ่งหมิงได้กวาดมองไปรอบ ๆ เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยที่น่าสงสัยใด ๆ เขาจึงบ่นพึมพำในใจทันที ‘ตอนนี้การบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว และมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเท่านั้น ที่สามารถลอบโจมตีข้าจากเงามืดได้ หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นมีปรมาจารย์คอยปกป้องเขาอยู่?’
ก็นับว่าไม่แปลกใจที่เฟิ่งหมิงจะรู้สึกสงสัยเช่นนี้ เพราะทักษะโจมตีวิญญาณนั้นไม่ค่อยเป็นที่พบเห็นนัก และเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฉินซีจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเช่นนี้ ซึ่งอันที่จริง ความแข็งแกร่งของวิญญาณของชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย
‘นับว่าโชคดีที่ปรมาจารย์คนนั้นไม่ได้คิดที่จะลงมือฆ่าข้า มิฉะนั้น วันนี้ข้าเฟิ่งหมิงจะไม่ทอดร่างตายอยู่ที่นี่หรือ?’ เมื่อเขาคิดถึงจุดนี้ เฟิ่งหมิงก็ไม่กล้าติดตามเฉินซีอีกต่อไป และรีบหลบซ่อนไปท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน ก่อนที่จะหายสาบสูญไป
หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้มาถึงบ้านหลังหนึ่ง และหลังจากมองไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจเขา จึงรีบผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านขอรับ เจ้าเด็กคนนั้นมันได้ปรากฏตัวในเมืองทะเลสาบมังกรแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีปรมาจารย์คอยปกป้องเขาอยู่ และข้าจึงไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาไปมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์คนนั้นมีทักษะโจมตีวิญญาณ แม้แต่จิตสำนึกของข้าเองก็ยังถูกเขาโจมตี จนทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าหลบหนีได้ทัน ก็เกรงว่าคงไม่อาจได้กลับมาอีกแล้ว”
เฟิ่งหมิงเข้ามาในห้องและกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ข้าขอแนะนำให้พวกเราขอกำลังเสริมจากนิกาย เมืองทะเลสาบมังกรในตอนนี้มีปรมาจารย์มากเกินไป และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแย่งชิงยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมโดยอาศัยความแข็งแกร่งของพวกเราเพียงอย่างเดียว ท้ายที่สุด เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตอนนี้อยู่ในการครอบครองของเจ้าเด็กคนนั้น ซึ่งมันได้กลายเป็นจุดสนใจของกองกำลังต่าง ๆ และทุกคนต่างก็ปรารถนาที่จะแย่งชิงมันมาไว้ในครอบครอง หากเรารีบลงมือโดยพลการ ข้าเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของพวกเรา”
หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่สวมชุดสีดำกำลังเล็มต้นกับดักมารสีแดงเลือด ฝ่ามือที่บอบบางและขาวราวกับหยกเนื้อดีของนางกำลังถือกระบี่บินอันแหลมคม ด้วยการสะบัดข้อมือของนาง ใบไม้เหี่ยวเฉาบางใบจึงถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นเป็นจำนวนมากราวกับสายฝนโปรย และท่าทางของนางก็ดูไร้ซึ่งความกังวล
ทว่า เมื่อนางได้ยินคำกล่าวของเฟิ่งหมิง มือของนางก็หยุดนิ่ง จากนั้นปราณกระบี่ที่รวดเร็วและรุนแรงก็ผลิบานบนปลายกระบี่บินอันแหลมคม ก่อนที่จะสับต้นกับดักมารสีแดงเลือดที่เบ่งบานอย่างงดงามจนกลายเป็นผุยผง และแม้แต่กระถางดอกไม้เอง ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะทำได้แค่ต้องถอนตัวก่อนเท่านั้นสินะ” เสียงของหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจ ในขณะที่นางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะนำข่าวดีกลับมา แต่ใครจะรู้ แทนที่จะเป็น…”
“หรือจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้หรือขอรับ” เฟิ่งหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ย่อมใช่อย่างแน่นอน นายท่านได้ทราบข่าวที่ผู้พิทักษ์จิตอสูรถูกสังหารแล้ว และเขาได้ส่งสาส์นจันทร์เสี้ยวโลหิตออกมา โดยมีคำสั่งให้พวกเราทั้งคู่กลับไปที่นิกายโดยด่วนและไม่อาจชักช้าแม้แต่น้อย” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวช้า ๆ
“อะไรนะ? หากเราต้องกลับไปเช่นนี้ เราจะไม่… เป็น…” เฟิ่งหมิงไม่สามารถกล่าวต่อไปได้อีก และใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ข้าไม่ได้กังวลถึงเรื่องนั้น เพราะในเวลานี้ นายท่านต้องการคนรองมือรองเท้า และเขาจะไม่ฆ่าพวกเราอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากพวกเราได้สูญเสียยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก่อนกลับคือนำมันกลับคืนมา” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าแค่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เดิมทีสมบัติอมตะอย่างเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ซึ่งควรอยู่ในมือของข้ากลับถูกเจ้าเด็กคนนั้นแย่งชิงไป ทำให้ข้าไม่ได้อะไรเลยนอกจากการสูญเสียสมบัติอมตะและลูกน้องของข้าไป ช่างเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่อาจรับได้!”
“ท่านหมายถึงสิ่งใดหรือขอรับ?” เฟิ่งหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีเมื่อได้รู้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา ไม่ว่านางจะกล่าวถึงความอัปยศอดสูใด ๆ ก็ตาม เขาไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
“สิ่งที่ข้าหมายถึงน่ะหรือ? ข้าจะทำอะไรได้อีก นายท่านได้วางแผนและเตรียมการ เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูนิกายให้กลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์มาหลายสิบปีแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้ เพราะข้อผิดพลาดที่เกิดจากพวกเราสองคน จึงได้เปิดเผยการมีอยู่ของนิกายทางอ้อม และข้าเกรงว่ากองกำลังอันยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรคงคาดเดาถึงตัวตนของพวกเราได้แล้ว” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านกล่าวช้า ๆ
“ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านยังเรียกเราทั้งสองกลับไปที่นิกายในครั้งนี้เพื่อสะสมความแข็งแกร่ง เพื่อที่ว่าในสิบปีข้างหน้า หลังจากขัดเกลาบ่อเทวะแปรโลหิตจนเสร็จสมบูรณ์ เราจะดำเนินแผนคืนชีพจันทร์เสี้ยวโลหิตอย่างเต็มที่!”
“ในที่สุดเราจะได้เข้าสู่สงครามแล้วหรือ?” เฟิ่งหมิงรู้สึกกระตือรือร้น และเลียริมฝีปากของเขา “ราชวงศ์ซ่งเฟื่องฟูและมั่งคั่งอย่างแท้จริง การอยู่ในแดนรกร้างนรกโลหิตตลอดเวลาก็เหมือนกับอยู่ในนรกที่โหดร้าย ข้าไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว! แต่น่าเสียดายที่ข้ายังคงต้องรออีกสิบปี…”
“สิบปี?” เสียงของหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านแผ่วเบา “สำหรับผู้บ่มเพาะ มันก็เป็นเพียงชั่วพริบตา”
…
ภายในรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า
หลังจากที่เฉินซีขับไล่คนในชุดดำด้วยเคล็ดวิชาสะท้านทวยเทพของเขา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเขายังได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนใด ๆ เขาจะไม่เข้ามาในเมืองทะเลสาบมังกรโดยพลการเป็นอันขาด
เพราะตอนนี้เขาได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จึงทำให้ตกเป็นเป้าหมายของผู้คนนับไม่ถ้วน อีกทั้งเขายังได้สร้างศัตรูกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วย ดังนั้นก่อนที่เขาจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้ การซ่อนตัวอยู่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรย่อมเป็นการดีที่สุด
ผ่านไปไม่นาน รถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าก็หยุดลงที่หน้าลานบ้านภายใต้การแนะนำของเฉินฮ่าว
ลานบ้านนี้ดูเก่าและทรุดโทรม เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว เศษแผ่นสีที่ทาด้วยสีแดงหลายชิ้นหลุดลอกออกและหล่นลงมาจากประตูสีแดงสด ด้านบนของกำแพงเต็มไปด้วยหญ้าแห้งเหี่ยวและตะไคร่น้ำเกาะอยู่ อีกทั้งยังมีแมวจรจัดตัวหนึ่ง เมื่อมันเห็นคนใกล้เข้ามา มันก็กระโดดผ่านชายคาบ้านพร้อมกับเสียง ‘ฟิ้ว’ ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ทันทีที่กลุ่มของเฉินซีลงจากรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า สารถีชราที่ขับรถม้าก็เดินลงมาพร้อมกับพวกเขา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองลานบ้านก่อนจะเงียบไป
“คนผู้นี้คือ ‘เฉินเฟิ่งฉือ’ หัวหน้าสายลับของตระกูลต้วนมู่ เขาน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองทะเลสาบมังกร ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาและหูของเขาไปได้ ครั้งหนึ่งหลิงคงจื่อ ผู้เป็นประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้เชิญให้เขาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่เขาได้ตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการดำรงอยู่ของเฉินเฟิ่งฉือ จึงทำให้ตระกูลของต้วนมู่มีข้อมูลข่าวสารที่ดีสุดยิ่งกว่าบรรดากองกำลังอื่น ๆ” ตู้ชิงซีอธิบายให้เฉินซีฟังผ่านกระแสปราณ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีจึงเข้าใจในทันทีและไม่กล้าที่จะประเมินชายชราผู้มีหน้าตาธรรมดาคนนี้ต่ำอีกต่อไป
“ลุงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายหญิงและเด็กสาวที่อยู่ในลานบ้านนี้เมื่อสองปีก่อนหายไปไหน” ต้วนมู่เจ๋อถาม
“นายน้อย ผู้ชายคนนั้นชื่อเมิ่งคง ส่วนผู้หญิงชื่อไป๋หว่านฉิง และเด็กหญิงชื่อซีซี พวกเขาย้ายมาที่นี่เมื่อสองปีก่อนแต่กลับอยู่ได้ไม่เกินเจ็ดวัน” ดวงตาที่ขุ่นมัวของเฉินเฟิ่งฉือ เผยให้เห็นแววครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งขณะที่เขากล่าวช้า ๆ
“แล้วท่านพอรู้ไหมว่าพวกเขาหายไปที่ใด” เฉินซีถามด้วยท่าทางที่มีความสุข
ดวงตาของเฉินเฟิ่งฉือหรี่ลงในขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งโดยไม่ได้กล่าวอะไรเป็นเวลานาน
“ไม่ต้องกังวลไป ลุงเฉินจะต้องรู้อย่างแน่นอน ตอนนี้เขากำลังรำลึกความทรงจำของตัวเองอยู่” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยการส่งเสียงผ่านกระแสปราณ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าการขอความช่วยเหลือจากต้วนมู่เจ๋อ จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริง ๆ!”
“นายน้อย ข้าไม่รู้ว่าบางสิ่งสมควรจะกล่าวถึงหรือไม่” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเฟิ่งฉือก็กล่าวออกมาช้า ๆ
“ว่ามาเถิด” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “คนเหล่านี้เป็นสหายที่ข้าไว้ใจที่สุด ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระราชวังข่ายดารา!” เฉินเฟิ่งฉือทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงด้วยคำพูด
จู่ ๆ สีหน้าของเฉินซีก็ถมึงทึงลงทันที เมื่อเขานึกถึงไฉ่เล่อเทียนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขา บรรพบุรุษของไฉ่เล่อเทียน เป็นปรมาจารย์ขอบเขตสถิตกายาที่มีความสามารถสูงส่งในพระราชวังข่ายดารา มิใช่หรือ?
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นเพราะข้าหรือเปล่า…?
แต่เมื่อเขาเปรียบเทียบตามเวลา เฉินซีก็รู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อย เพราะตอนที่น้าไป๋และคนอื่น ๆ หายตัวไป เขายังไม่ได้ฆ่าไฉ่เล่อเทียนเลยด้วยซ้ำ!
“เด็กหญิงที่ชื่อซีซี นางเกิดมาพร้อมกับกายาดวงจิตวารีโดยกำเนิด และพรสวรรค์ของนางก็เป็นหนึ่งในล้าน ดังนั้นจึงมีผู้อาวุโสหญิงของพระราชวังข่ายดาราที่มีนามว่าเจียงชิงปรารถนาในตัวซีซีและพยายามที่จะจับตัวนางเพื่อรับเป็นศิษย์” เฉินเฟิ่งฉือกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ในตอนนั้น ไป๋หว่านฉิงจากไปด้วยความเกลียดชังในใจและขู่ว่าสักวันหนึ่งนางจะทำลายล้างพระราชวังข่ายดาราทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ใด ส่วนเมิ่งคงนั้น เพื่อที่จะนำซีซีกลับคืนมา เขาจึงถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แขนของเขาพิการ เส้นลมปราณในร่างกายถูกทำลาย และกลายเป็นคนพิการ ปัจจุบันได้กลายเป็นขอทานข้างถนน”
เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของสองพี่น้องเฉินซีและเฉินฮ่าวก็กลายเป็นเย็นชาในทันที แม้แต่ท่าทางของพวกตู้ชิงซีก็ดูไม่ได้เช่นเดียวกัน
ช่างไร้ยางอาย!
การกระทำของพระราชวังข่ายดาราที่จับตัวลูกสาวของคนอื่นไปแตกต่างกับคนต่ำช้าที่ทำการค้ามนุษย์อย่างไร?
“ข้าจะฆ่าเจียงชิง! ข้าจะฆ่านาง!!” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยเสียงลอดไรฟัน เขาและเมิ่งคงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ซึ่งตอนนี้เขาได้ยินว่าแขนของเมิ่งคงต้องพิการ เส้นลมปราณถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ จนต้องกลายมาเป็นขอทานอยู่ข้างถนน ดังนั้นเขาจะระงับความโกรธแค้นในใจได้อย่างไร?
“ลุงเฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ท่านลุงเมิ่งอยู่ที่ใด” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่เขาตบไหล่เฉินฮ่าว เพื่อให้อีกฝ่ายสงบอารมณ์เล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ ว่า
“ตามข้ามา” เฉินเฟิ่งฉือพยักหน้าและเดินขึ้นรถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้า
กลุ่มของพวกเขานั่งรถลากไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่และบีบคั้น เพราะพวกเขาหมดอารมณ์ที่จะสนทนา หลังจากผ่านไปไม่นาน รถลากสมบัติหกอาชาเกล็ดฟ้าก็หยุดอยู่ที่มุมถนน
มุมถนนนี้เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลและถูกปกคลุมไปด้วยขยะ มีกระโจมขาดรุ่งริ่งสีดำเหมือนน้ำมันตั้งอยู่ที่นั่น ยามสายลมพัดผ่านก็ดูเหมือนพวกมันจะล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ
ที่หน้ากระโจมหลังหนึ่ง มีชายรูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าเหี่ยวย่น ผมเผ้ารุงรังและเต็มไปด้วยฝุ่นโคลน เขานอนขดตัวอยู่ในน้ำโสโครก ร่างกายของเขาโชยไปด้วยกลิ่นเหม็นฉุน
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ คนผู้นี้ก็นอนขดอยู่บนพื้นโดยปราศจากการเคลื่อนไหวใด ๆ ราวกับว่าเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณไปนานแล้ว และมีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ และพลังชีวิตของเขาก็อ่อนแอถึงขีดสุด
เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของเฉินฮ่าวก็เบิกกว้าง และเขากล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “ท่านลุงเมิ่ง?”
ร่างของขอทานบนพื้นสั่นสะท้านในทันใด แต่เขาก็ยังไม่แหงนหน้าขึ้นมา
เฉินซีจมอยู่ในความคิดของตัวเองชั่วขณะ เขายังคงจำได้ดี ตอนที่เขาพบกับเมิ่งคงเป็นครั้งแรก เขามีรูปร่างที่สูงใหญ่ ดูสง่าผ่าเผย เขาดูเหมือนวีรบุรุษผู้มีรูปโฉมที่หล่อเหลา
แต่ตอนนี้… เขากลับกลายเป็นเพียงขอทานสกปรกที่ขดตัวอยู่ในสิ่งปฏิกูล นี่ยังเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองหมอกสนอยู่อีกหรือ?
ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างสุดจะพรรณนา เฉินซีฝืนกัดฟันแน่นก่อนจะปิดปากเงียบ
เฉินฮ่าวคุกเข่าลงบนพื้น และตะโกนพร้อมกับสะอื้นไห้ “ท่านลุงเมิ่ง ได้ยินไหม? นี่ข้าเองเฉินฮ่าว ข้าคือเฉินฮ่าว!”
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกของตู้ชิงซีก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป และพวกเขาก็รู้สึกเศร้าโศกอยู่ในใจ
“พวกเจ้าทุกคนจำผิดคนแล้ว ข้าไม่ใช่เมิ่งคง รีบไปให้พ้นหน้าข้าซะ!” ขอทานที่นอนขดอยู่บนพื้นได้กล่าวในที่สุด เสียงที่แหบแห้งของขาเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดอย่างสุดจะพรรณนา และดูเหมือนว่าเขากำลังอดกลั้นกับบางสิ่งอยู่เพียงลำพัง
“ท่าน… ท่านกังวลว่าข้าจะทำให้พระราชวังข่ายดาราต้องขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ? ก็แค่ผู้อาวุโสของพระราชวังข่ายดาราไม่ใช่หรือ? ข้าจะไปฆ่านางเดี๋ยวนี้!” เฉินฮ่าวยืนขึ้นอย่างกะทันหันก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินออกไป
“หยุดซะ!” เฉินซีตะโกนออกมาด้วยเสียงทุ้มหนัก “มันไร้ประโยชน์ไม่ว่าเจ้าจะโกรธแค่ไหนในตอนนี้ ก่อนอื่นพาท่านลุงเมิ่งคงกลับไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขาเสียก่อน ส่วนข้าจะไปเยี่ยมพี่ใหญ่เป่ยเหิงเพื่อขอให้ท่านช่วยซีซี”
ร่างของเฉินฮ่าวหยุดลง และเขากัดฟันขณะที่กล่าวว่า “ตกลง! แต่ท่านพี่ ท่านคงจะไม่ห้ามข้าไม่ให้ล้างแค้นใช่ไหมขอรับ ถ้าไม่มีท่านลุงเมิ่ง ข้าก็คงไม่มีวันนี้ ข้าต้องแก้แค้นให้ท่านลุงเมิ่งให้ได้!”
“ข้าสัญญา แต่ไม่ใช่วันนี้” เฉินซีพยายามอย่างดีที่สุดที่จะสงบสติอารมณ์ ก่อนที่เขาจะกล่าวช้า ๆ ว่า “ตอนนี้ เรากลับไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรก่อนเถอะ”
เฉินฮ่าวเงียบไปนาน จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงเพื่อแบกเมิ่งคงไว้บนหลังก่อนจะเดินจากไป
น้ำโสโครกที่สกปรกและมีกลิ่นเหม็นเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว กลิ่นเหม็นฉุนโชยเข้าจมูก แต่เขาไม่สนใจ เพราะคนที่แบกไว้บนหลังคืออาจารย์ที่ชักนำเขาไปสู่เส้นทางมหาเต๋าแห่งกระบี่
ภายในหัวใจของเฉินฮ่าว เมิ่งคงคืออาจารย์ของเขา และหากไม่มี เมิ่งคงแล้ว เฉินฮ่าวก็คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้!