บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 161 การตัดสินใจของไป๋หว่านฉิง
บทที่ 161 การตัดสินใจของไป๋หว่านฉิง
หลังจากงานเทียบอันดับมังกรซ่อนสิ้นสุดลง เฉินซีได้กลับไปฝึกอย่างลับ ๆ ที่ยอดเขาใจสัจธรรมในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยใช้วารีวิญญาณจำนวนมาก เสริมความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณของเขาและความเข้าใจต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เต๋าแห่งสวรรค์
ยกตัวอย่าง เช่น การเตรียมการของเฉินซีที่จะทำให้เขาสามารถบ่มเพาะพลังทักษะแปรสภาพปราณเพื่อที่จะได้บรรลุความสำเร็จในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราในรวดเดียว ตำหนักอินทนิลของเขาเปรียบดั่งทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ลึกล้ำดั่งก้นเหว และมีปราณแท้แห่งดวงดาราทั้งเก้าสุกสกาวพราวพร่างอยู่เบื้องบนทะเลสาบตำหนักอินทนิล ขณะเดียวกันพวกมันยังเปล่งประกายสดใส มีความเป็นธรรมชาติ ห่างไปอีกเพียงหนึ่งก้าวเขาจะขึ้นว่าสู่ขอบเขตเคหาทองคำแล้ว
ภายในค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราในตอนนี้ เฉินซีได้เปลี่ยนที่อันตรายให้เป็นที่ปลอดภัยและเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และการบ่มเพาะกายาของเขายังได้บรรลุสู่ตำหนักอินทนิลขั้นดาราที่เก้าแล้ว นอกจากนี้ เขายังใช้ความเข้าใจในเต๋าแห่งสวรรค์สร้างอักขระจ้าววิญญาณของตัวเอง นั่นก็คืออักขระจ้าววิญญาณแห่งสายลมและอักขระจ้าววิญญาณแห่งสายฟ้า ส่วนปราณจ้าววิญญาณทั่วร่างกายของเขานั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต จนสามารถกลั่นออกมาดั่งของเหลว และมีกลิ่นอายของพลังที่ต่างกันสิบชนิด พลังบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของเขาสูงขึ้นจากเดิมกว่าสิบเท่า!
ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะปราณภายใน หรือบ่มเพาะร่างกายต่างก็มีการพัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว กล่าวได้ว่านี่เป็นพรสวรรค์อันอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน!
ทว่าทั้งหมดมิได้เกิดจากความบังเอิญเลยแม้แต่น้อย
เส้นทางของการบ่มเพาะขึ้นอยู่กับฝึกฝนด้วยความขยันขันแข็งเจ็ดในสิบส่วนและเกิดจากโชคอีกสามส่วน ความอุตสาหะของเฉินซีคงไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก ด้วยมีสหายสัตว์อสูรอย่างไป๋คุย ทำให้เฉินซีประสบแต่โชคดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัยในถ้ำเซียน การต่อสู้และฆ่าฟันในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ การบ่มเพาะอย่างลับ ๆ ในทะเลทรายมรณะ การแข่งขันที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์… จากสถานการณ์ที่ผ่านมา เฉินซีบอกได้เลยว่าพวกมันล้วนแต่มีอันตรายอย่างยิ่ง แต่เขาก็รอดมาได้เพราะได้รับโชคที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเกินความคาดหมายของคนทั่วไป
ภายใต้การเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่อง การฝึกบ่มเพาะพลังและการชุบตัวให้แข็งแกร่ง การฝ่าภยันตรายและไฟ ท่ามกลางสถานการณ์ที่อันตรายหากก็มีโชคร่วมด้วย วันนี้เฉินซีสามารถมาถึงจุดนี้ได้อย่างปลอดภัยและประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาดใจยิ่ง
‘ดวงดาว สายลม ธาตุทั้งห้า หยิน หยาง สายฟ้า…ข้าเพิ่งก้าวสู่ประตูแห่ง เจตจำนงเต๋าเหล่านี้ก็จริง แต่การฝึกของข้าก้าวหน้าไปถึงขอบเขตดังกล่าวแล้ว สงสัยจริง ๆ ว่าถ้าข้าเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ในระดับที่ลึกมากขึ้นและกลั่นเขตแดนเต๋าของตัวเองได้แล้ว คนอื่นจะต้องเผชิญกับความน่าเกรงขามสักแค่ไหน’
เฉินซีรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ไหลเวียนอยู่ในเลือด เนื้อและผิวหนังของเขา ในใจพลันเกิดความรู้สึกมั่นใจพุ่งสูงราวกับว่าตนจะทำอะไรก็ได้ในโลกนี้และมีอำนาจเหนือสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา
ถึงกระนั้นเขาก็ยังสังเกตได้ว่ากระแสวังวนดำและขาวยังคงหลั่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวแห่งดวงดาวเข้าสู่ร่างกายตนอยู่ไม่หยุดหย่อน…
กระแสวังวนดำขาวปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดหกลี้และอัสนีดาราพิฆาตที่มันกลืนกินพื้นที่กว่าหนึ่งในสี่ของค่ายกลใหญ่ พลังที่ว่านี้เป็นสิ่งที่พระราชวังข่ายดาราใช้เวลาสั่งสมมานานสองสามพันปี อีกทั้งต้องสังเวยชีวิตและดวงวิญญาณของศิษย์นับหมื่นเพื่อกระตุ้นพลังไม่มีสิ้นสุด ดั่งท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และพลังที่เฉินซีดูดกลืนนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของพลังทั้งหมดด้วยซ้ำ เปรียบดั่งขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัวกระนั้น
ครืนนน!
ความรู้สึกขยายตัวพลุ่งพล่านขึ้นในกายของเขาอีกครั้ง และมาพร้อมกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับเส้นเอ็นและผิวหนังกำลังถูกฉีกออกจากกัน เหมือนกับกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำไม่หยุดและเคลื่อนไปทั่วทุกรูขุมขนทั่วร่างกาย
‘ข้าจะต้องเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำของการบ่มเพาะร่างกายให้ได้!’ เฉินซีกัดฟันและตั้งใจโคจรเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลัง ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นธุลีโกลาหล ซึ่งเดิมสงบเงียบและไม่ได้ถูกกระตุ้นกลับดูเหมือนจะตื่นตัวขึ้นมาทันที และทำท่าว่าจะกลืนกินพลังร้ายกาจที่ไหลหลั่งมาจากภายนอก
ทันทีที่ธุลีโกลาหลเคลื่อนไหว ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนามในอักขระจ้าววิญญาณพฤกษาที่สอง แร่โลหะนิรนามในอักขระจ้าววิญญาณทองคำที่เจ็ด อัญมณีเพลิงนิรนามในอักขระจ้าววิญญาณอัคคีที่สาม และมุกวารีนิรนามในอักขระจ้าววิญญาณวารีที่เก้าดูเหมือนจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล ขณะนั้นทั้งหมดเริ่มดูดซับพลังงานที่ส่งมาจากธุลีโกลาหลอย่างต่อเนื่อง
สมบัติมหัศจรรย์ทั้งห้านี้เฉินซีได้รับมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ และทั้งหมดก็ปลดปล่อยปราณบริสุทธิ์จากธาตุทั้งห้า อีกทั้งพวกมันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังจ้าววิญญาณของธาตุทั้งห้าที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเฉินซี เพื่อเสริมสร้างการบ่มเพาะพลังแปรสภาพร่างกายของเขา
เมื่อก่อนเฉินซีเคยกังวลว่าหลังจากธุลีโกลาหลหายไป สมบัติล้ำค่าทั้งห้าจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว
พลังที่หลั่งไหลออกมาจากกระแสวังวนดำและขาวนั้นเหมือนกับสายฝนที่ตกลงสู่พื้นที่ที่เคยแห้งแล้ง มันได้ทำให้ธุลีโกลาหลชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้น ในขณะที่พลังของธุลีโกลาหลได้หล่อเลี้ยงสมบัติล้ำค่าอีกสี่ชิ้นที่เหลือทางอ้อมด้วย และจะหมุนวนไปรอบ ๆ อีกครั้งรวมทั้งมีความลึกล้ำอันไร้ขอบเขต
ด้วยธุลีโกลาหลสกัดกั้นพลังงานที่ไหลออกมาจากกระแสวังวนดำและขาว เฉินซีจึงสัมผัสได้ว่าความเจ็บปวดที่ปรากฏขึ้นทั่วร่างกายเมื่อครู่ค่อย ๆ หายไปอย่างรวดเร็ว และเกิดความอุ่นสบายราวกับว่าเขากำลังอาบน้ำท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ
แต่เฉินซียังคงไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะกระแสวังวนดำและขาวก่อตัวขึ้นจากสายฟ้า หากเกิดความผิดพลาดแม้จะเล็กน้อยที่สุด อาจส่งผลร้ายรุนแรงที่สุดได้ อย่าว่าแต่คนอย่างเขา แม้แต่เซียนปฐพีก็อาจถูกทำลายจนสิ้นซากได้ทีเดียว
‘ดูเหมือนว่าข้าคงทำได้เพียงรอให้พลังงานของกระแสวังวนดำและขาวหายไปเสียก่อน ข้าจึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ สงสัยว่าท่านน้าไป๋กับพวกเป็นอย่างไรบ้าง…’ เฉินซีพึมพำกับตัวเอง
…
เป่ยเหิงยืนอยู่ข้างเฉินซี เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวไปด้วย เวลานี้เขาอยู่ในพื้นที่ที่ล้อมรอบไปด้วยกระแสวังวนดำและขาว และส่วนนี้ยังเป็นจุดศูนย์กลางอีกด้วย
เขาไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะทำให้สายฟ้าภายในกระแสวังวนดำและสีขาวระเบิดออกหรือไม่ สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้คือรอให้เฉินซีตื่นขึ้นจากการฝึกบ่มเพาะพลังเท่านั้น
เมื่อเขานึกถึงเรื่องนี้ เป่ยเหิงก็รู้สึกสับสนในใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาคิดจะปล่อยเฉินซีไว้ตามลำพังและเอาตัวรอด แต่สถานการณ์กลับพลิกผัน การปล่อยเฉินซีที่กำลังจัดการกับกระแสวังวนดำและขาวจะส่งผลให้ตัวเองต้องรับความทรมานไปด้วยเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งตอนนี้เขาได้ต้องอาศัยความคุ้มครองจากเฉินซี อย่างนี้จะไม่ทำให้เขาซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตเซียนปฐพีระดับสองต้องถอนหายใจอย่างหนักหน่วงได้อย่างไร
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในขณะนั้นแสงสว่างสามสายพุ่งผ่านท้องฟ้ามา ไป๋หว่านฉิง ไป๋เถิง และไป๋กังดูเหมือนจะหวาดกลัวพลังที่ควบแน่นโดยกระแสวังวนดำและขาวอย่างมาก ทำให้ทุกคนหยุดมองอยู่ห่าง ๆ และไม่กล้าเข้ามาใกล้
เป่ยเหิงตกตะลึง ก่อนที่จะกวาดตามองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่าค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราตั้งขึ้นนั้นถูกทำลายหายไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น พื้นที่ในภูเขาดาวตกแยกออกจากกัน พื้นดินในบริเวณนั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ภาพแห่งการทำลายล้างปรากฏให้เห็นทั่วไป อีกทั้งสภาพแวดล้อมยังสงัดเงียบและเวิ้งว้างเป็นอย่างยิ่ง
‘หรือว่าคนพระราชวังข่ายดาราถูกสังหารตายหมดแล้ว’ เป่ยเหิงรำพึงในใจ หากยังระแวดระวังอยู่ในทีขณะมองไปยังคนสามคนในระยะไกล
มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ทำลายพระราชวังข่ายดาราทั้งหมด และแม้แต่ค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่น่าเกรงขามระดับนี้ เป็นใครก็ต้องระมัดระวังเป็นธรรมดา
“น่าอัศจรรย์เหลือเกิน! เขาใช้พลังสายฟ้าในการบ่มเพาะร่างกาย!” ไป๋เถิงกวาดสายตาผ่านไปยังเฉินซี จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“เฉินซี เป็นเจ้าจริง ๆ…” เมื่อไป๋หว่านฉิงมองจากบริเวณใกล้เคียง นางก็จำเฉินซีได้ทันที สีหน้าของนางออกจะตกใจ แต่ท่าทางที่แสดงออกไม่เปลี่ยนแปลง เป็นธรรมดาที่นางเฝ้าดูการเติบโตของเฉินซีมาตลอด จะจำไม่ได้อย่างไรว่าหนุ่มน้อยที่นั่งหลับตาฝึกบ่มเพาะพลังที่เห็นแต่ไกลคือเฉินซี
“สหายนักพรตเต๋า เจ้ารู้จักน้องเล็กของข้าด้วยหรือ” เป่ยเหิงพูดด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่าพลังของไป๋หว่านฉิงนั้นตื้นเขินมาก แต่กลับมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซีนปฐพีระดับหก คอยติดตามอยู่เคียงข้าง ฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าเอ่ยอ้างว่าตัวเองมีอาวุโสกว่านาง
“ถูกต้อง” ไป๋หว่านฉิงพยักหน้า จากนั้นนางก็นึกอะไรบางอย่างได้และมองไปที่เป่ยเหิงด้วยท่าทางประหลาดใจ “แล้วเจ้ากับเขาเป็นอะไรกัน”
“ข้าและน้องเล็ก…เฉินซี นับถือเป็นพี่น้องกัน พวกเราปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามกันมาทีเดียว” เป่ยเหิงตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าคนสามคนนี้คงอยากฆ่าเขาจะได้ไม่มีพยานรู้เห็น แต่เมื่อเขาได้ยินว่าไป๋หว่านฉิงรู้จักเฉินซี ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นก็ผ่อนคลายลงเป็นอันมาก และนึกดีใจอยู่เงียบ ๆ ‘โชคดีที่ข้าไม่ทอดทิ้งเฉินซี มิฉะนั้นต่อให้รอดจากตรงนี้ได้ แต่คงรอดจากการล้างแค้นของสามคนนี้ได้ยาก’
เมื่อคิดเช่นนี้ เป่ยเหิงก็ยิ่งไม่สามารถมองข้ามเฉินซีได้ เจ้าหนุ่มนั่นมี ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ ที่น่าเกรงขามและลึกลับนัก และตอนนี้เขาก็มีความเกี่ยวข้องกับสามคนนี้ก่อนหน้าข้าไม่นาน ภูมิหลังของสหายน้อยคนนี้ดีแค่ไหน
“อ๋อ” ไป๋หว่านฉิงพยักหน้าและความรู้สึกในใจที่เพิ่มขึ้นได้ผ่อนลงจนไม่ถึงกับต้องสงวนท่าทีนัก นางไม่คิดเหมือนกันว่าหลังจากไม่เจอกันเพียงสองปี เฉินซีจะเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้ และกลายไปเป็นพี่น้องกับคนขอบเขตเซียนปฐพี นางแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง และออกจะงงงันด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ นางก็ถามขึ้น “ถ้าเจ้าเป็นพี่ชายของเขา เช่นนั้นเจ้าคงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา ช่วยเล่าให้ข้าฟังได้ห”
“แน่นอน” เป่ยเหิงหัวเราะร่าก่อนที่จะเล่าเรื่องของเฉินซีที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่ได้พบว่าเฉินซีมีความสัมพันธ์พิเศษกับสตรีสาวสวยที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย เขาจึงทุ่มเทพลังทุกอย่างเพื่อสืบหารวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเฉินซี โดยใช้ฐานะสูงส่งของตัวเองและความแข็งแกร่งของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร จึงได้รับข้อมูลมากมายมาอย่างรวดเร็ว ทั้งครบถ้วนและเชื่อถือได้
เมื่อเขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ มันจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดาย เขาเริ่มต้นจากเฉินซีทำลายตระกูลหลี่จนพินาศ กระทั่งถูกตระกูลซูไล่ล่า เพราะชายหนุ่มเคยกวาดล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและคนขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซู จนถึงเรื่องที่เขาพลิกกระแสงานเทียบอันดับมังกรซ่อนด้วยตัวเอง รวมทั้งการที่ชายหนุ่มสังหารผู้บ่มเพาะลึกลับ ไม่รู้จักที่มาถึง 32 คน…
ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน เป่ยเหิงก็อธิบายทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และยังชื่นชมเฉินซีอยู่ไม่ขาดปาก ในแง่ของความน่าสนใจ มันไม่ได้ด้อยไปกว่าตำนานเทพเจ้ากับวิญญาณที่นักเล่าเรื่องในโรงน้ำชาบนโลกมนุษย์แม้แต่น้อย ขณะที่ไป๋หว่านฉิงนิ่งฟังด้วยความสนใจไม่น้อย นางเกิดความรู้สึกคล้อยตามไปด้วย มีทั้งประหม่า ตื่นเต้น ภูมิใจ ไม่พอใจ และต่าง ๆ นานา
แม้แต่ไป๋เถิงที่ฟังอยู่ไม่ไกลยังรู้สึกชื่นชมอย่างมาก สายตาที่ทอดมองไปทางเฉินซีก็เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว มีทั้งความประหลาดใจและความชื่นชม
มีเพียงไป๋กังเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองอย่างไม่ยอมแพ้ ท่าทางยโสและเย่อหยิ่งเช่นเคย ส่วนสิ่งที่เขาคิดในใจนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้
“ท่านลุงเถิง ข้าอยากไปดูตระกูลซู” หลังจากที่นางฟังคำอธิบายของเป่ยเหิงเสร็จแล้ว ไป๋หว่านฉิงก็ครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดในทันที
“คุณหนู ท่านสัญญากับข้าว่าจะกลับไปกับข้าหลังจากที่เราทำลาย พระราชวังข่ายดาราแล้ว” ไป๋เถิงถอนหายใจ “หากท่านขืนชักช้า ข้าเกรงว่าแม้แต่ตัวข้าก็คงถูกท่านประมุขลงโทษไปด้วย”
“ท่านลุงเถิง ตั้งแต่เด็กท่านเอ็นดูข้ามากที่สุด ชายหนุ่มคนนี้มีสัมพันธ์อันดีกับข้า ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลซูกดขี่ข่มเหงเขาอย่างหนักหนาสาหัส ข้าจึงต้องช่วยเขา” ไป๋หว่านฉิงกะพริบตาขณะที่นางอ้อนวอน “แม้เจ้าจะรู้ว่าเมื่อข้ากลับไปแล้ว คงยากที่ข้าจะได้กลับมาที่นี่อีก ดังนั้นเจ้าต้องยอมรับคำขอร้องของข้า”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ น้าเล็ก ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจอีกหรือ” ไป๋กังพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
ไป๋หว่านฉิงหันขวับไปมองคนพูด ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองไป๋เถิงอีกครั้งด้วยท่าทางที่น่าสงสาร
“ไม่เป็นอะไร” ไป๋เถิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่เขาถอนหายใจ “คุณหนู ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”
สีหน้าของไป๋หว่านฉิงกลับมาแช่มชื่นทันที ดวงตาของนางจะเผยให้เห็นร่องรอยของความเด็ดเดี่ยวในการเข่นฆ่า “เป็นธรรมดาที่จะทำลายล้างตระกูลซู ต้องถอนรากถอนโคนพวกมันเพื่อช่วยเฉินซีจากปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
หัวใจของเป่ยเหิงกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินดังนี้ สตรีคนนี้น่ากลัวนัก! พระราชวังข่ายดาราลักพาตัวบุตรสาวของนางไป ท้ายที่สุดทั้งหมดก็ต้องตาย ตอนนี้เพื่อประโยชน์ของเฉินซี นางกำลังจะทำลายล้างตระกูลซู นี่… นี่นางช่างร้ายกาจนัก!
“ตกลง!” ไป๋เถิงลังเลสักครู่ก่อนที่จะตกลง “คุณหนู ถ้าท่านยังคงเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาท่านกลับไปด้วยตัวเอง”
ไป๋หว่านฉิงยิ้มหวาน “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำแน่นอน”
“เฮ้อ คุณหนูนะคุณหนู! ราชวงศ์ซ่งเป็นดินแดนของตระกูลหวงฝู ตอนนี้พวกเราสังหารคนที่นี่ตายไปจำนวนมาก ดูท่าว่าเมื่อหวงฝูจงหลิงไปเยือนว่าที่ประมุขคนต่อไป คงปฏิเสธเขาได้ไม่ง่ายนัก” ไป๋เถิงส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะตำหนินาง แต่น้ำเสียงของเขาก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู เป็นใครก็มองออก
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของเป่ยเหิง ราวกับฟ้าผ่าเปรี้ยงลงที่กลางกระหม่อม อะไรนะ…หวงฝูจงหลิงเป็นจักรพรรดิแห่งต้าซ่ง! คนที่ปกครองแผ่นดินและมีอำนาจสูงสุด กลับถูกปฏิเสธเมื่อบอกว่าจะไปเยือนประมุขของคนพวกนี้อย่างนั้นหรือ
สวรรค์!
กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังสามคนนี้จะน่ากลัวสักเพียงใด