บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 167 การแสดงความเคารพบนยอดเขา
บทที่ 167 การแสดงความเคารพบนยอดเขา
นิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้เปิดประตูรับสมัครลูกศิษย์เป็นการครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หลิงคงจื่อในฐานะประมุขนิกายได้เผยปณิธานอันแรงกล้า ด้วยการเปิดประตูสู่นิกายก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น นอกจากยอดเขาค้ำนภาที่เป็นยอดเขาหลักของนิกายและพื้นที่หวงห้ามที่ภูเขาด้านหลังแล้ว อาณาเขตของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทั้งหมดได้เปิดให้ผู้คนได้เข้าชม ผู้ใดก็ตามที่ต้องการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจร จะต้องเข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรล่วงหน้าเพื่อแสดงความเคารพและเที่ยวชมด้วยความเพลิดเพลิน
กระแสของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาดั่งผ้าไหมที่ทอดยาวออกไป ทำให้มันเบียดเสียดจนไหล่ของพวกเขากระทบกัน
ณ ขณะนี้ภายในเทือกเขาเมฆาพเนจร ชายหนุ่มและหญิงสาวจากเมืองต่าง ๆ ในดินแดนทางตอนใต้ได้มาถึงนิกายกระบี่เมฆาพเนจรภายใต้การดูแลขององครักษ์และสมาชิกในครอบครัวตั้งนานแล้ว ไม่เพียงแต่ต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่ง ทรัพยากร และกำลังสำรองของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยสองตาของพวกเขาเอง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาต้องการคว้าโอกาสนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หากพวกเขาสามารถดึงดูดคนเหล่านี้และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ลูกหลานของพวกเขาจะไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อได้ผ่านการทดสอบเข้านิกายแล้วหรือ?
ในฐานะสมาชิกในตระกูลหรือผู้อาวุโส ทุกคนต่างหวังว่าบุตรชายของพวกเขาจะกลายเป็นมังกร บุตรสาวจะเป็นนกเพลิงอมตะ และจะมีผู้ใดที่ไม่หวังให้ลูกหลานของพวกเขาได้เข้าร่วมนิกายอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ เพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้โลกใบนี้บ้าง?
แน่นอนว่า แทบจะไม่มีคนธรรมดาทั่วไปหรือคนยากไร้ ซึ่งมีสถานะทางสังคมต่ำสุดของดินแดนทางใต้เดินมาถึงที่นี่ได้
เพราะตลอดเส้นทางที่จะมาถึงที่นี่ พวกเขาต้องผ่านเทือกเขา ป่าดง และทะเลทรายที่มีภยันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างทางไม่ได้แค่มีโจรกับขโมยเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ดุร้ายและสัตว์อสูรอีกด้วย หากพวกเขาไม่มีองค์รักษ์ที่ทรงพลังคอยปกป้อง และไม่มีสมบัติวิเศษที่พาพวกเขาเหาะเหินได้ ย่อมมีโอกาสสูงที่พวกเขาจะเสียชีวิตจากอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
เช่นเดียวกับมู่เหยาและมู่เหวินเฟย หากพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเฉินซี ก่อนที่จะเข้าสู่เมืองทะเลสาบมังกร พวกเขาก็คงถูกศิษย์พระราชวังข่ายดาราทั้งสามคนนั้นฆ่าตายไปตั้งนานแล้ว
“ดูสิ นี่คือยอดเขาใจสัจธรรม ที่เฉินซีผู้เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน และเป็นที่เลื่องลือทั่วดินแดนทางตอนใต้ได้อาศัยอยู่ ลูกเอ๋ย หากเจ้าสามารถบรรลุความสำเร็จอย่างที่เฉินซีมีได้ ผู้อาวุโสคนใดจะกล้าไม่เห็นด้วยกับข้าที่จะมอบตระกูลทั้งหมดให้แก่เจ้า?”
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้าเห็นมันไหม? เฉินซีที่มารดาเคยเล่าให้เจ้าฟัง คนที่สามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะเคหาทองคำทั้งหกคนและผู้บ่มเพาะแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคนของตระกูลซู ยิ่งไปกว่า ยังเป็นผู้ที่ได้รับอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน และพิชิตเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ซึ่งเป็นสมบัติอมตะได้อาศัยอยู่บนยอดเขานี้ เมื่อเจ้าได้เข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรในภายภาคหน้า เจ้าต้องยึดเขาเป็นเป้าหมายและทุ่มเทฝึกฝนอย่างหมั่นเพียร เพราะสถานะของมารดาและตัวเจ้าในตระกูลได้ขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งหมด”
“หลานเอ๋ย เจ้ามักจะหยิ่งผยองและเอาแต่ใจ ทั้งยังปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดูถูกเหยียดหยาม วันนี้ปู่พาเจ้ามาที่นี่ เพื่อให้เจ้าเห็นว่าไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าอยู่เสมอ เฉินซีมีอายุแก่กว่าเจ้าเพียงไม่กี่ปี แต่เขากลับเป็นพี่น้องร่วมสาบานของบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แล้วตัวตนของเจ้าล่ะคืออะไร? สิ่งที่เจ้ารู้เพียงอย่างเดียวก็คือการอาละวาดในเมืองขนาดเล็กเท่าฝ่ามือของเรา แล้วยังมีสิ่งใดให้น่าเย่อหยิ่งและพอใจอีกหรือ?”
ในบรรดายอดเขากว่าร้อยยอดภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ยอดเขาใจสัจธรรมเป็นยอดเขาที่มีผู้คนหลั่งไหลมามากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มและหญิงสาวบางคนมาที่ยอดเขาใจสัจธรรมภายใต้การนำทางของผู้อาวุโสและองครักษ์เพื่อเที่ยวชม ในขณะที่เฉินซีซึ่งเป็นเจ้าของยอดเขานี้ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างที่ผู้อาวุโสของตระกูลทั้งหลายใช้ในการสอนบทเรียนหรือให้กำลังใจแก่ลูกหลานของพวกเขาเอง และดูเหมือนว่าที่แห่งนี้ในยามนี้จะจอแจไปด้วยเสียงของผู้คน ซึ่งดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
“จงเงียบซะ! ที่นี่คือยอดเขาใจสัจธรรม สถานที่ที่บรรพจารย์อาของพวกข้าได้บ่มเพาะอยู่ หากพวกเจ้ายังกล้าขืนส่งเสียงดังอยู่อีก เราจะยกเลิกคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกายของพวกเจ้าอย่างแน่นอน!” ตงฟางกล่าวเสียงดังชัดเจน เขาได้พาศิษย์ชายสายในทั้งสามสิบห้าคน มาคอยรักษาการณ์อยู่ที่ด้านนอกห้องโถงบนยอดเขาใจสัจธรรม อีกทั้งพวกเขายังสวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินพร้อมกับตราสัญลักษณ์ของศิษย์สายในห้อยอยู่ที่เอว ทำให้พวกเขาดูสง่าผ่าเผยและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ฝูงชนที่มาเที่ยวชมยังยอดเขาใจสัจธรรม ไม่กล้าที่จะส่งเสียงอึกทึกครึกโครมในทันที และพวกเขาต่างก็เงียบสนิทขณะที่จ้องมองไปที่ตงฟาง และคนอื่น ๆ ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความเคารพและความริษยา
“ท่านบรรพจารย์อาของข้าได้สั่งว่า ทุกท่านได้เดินทางมาไกลจากเมืองใหญ่ต่าง ๆ ของดินแดนทางใต้และต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ดังนั้นจึงสั่งให้เรานำผลไม้และเหล้าชั้นเลิศมามอบให้โดยเฉพาะ ซึ่งมันเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการแสดงความนับถือเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นโปรดรับมันไว้” ที่ด้านข้าง หวังหว่านผู้มีใบหน้างดงามยิ้มเล็กน้อยขณะที่กล่าว จากนั้นศิษย์หญิงทั้งสามสิบห้าคนก็นำถาดอาหาร ชา เหล้าและผลไม้ชั้นเลิศมาถาดแล้วถาดเล่า มารยาทของพวกเขาเป็นที่น่าพึงพอใจและไม่มีความเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนอื่นรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นราวกับกำลังอาบสายลมที่อ่อนโยนของฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ ฝูงชนที่มาเที่ยวชมยอดเขาใจสัจธรรมก็ถอนหายใจ ดูสิ นี่คือทรัพยากรและทุนสำรองของนิกายที่ยิ่งใหญ่!
“สหายเต๋า ข้าอยากรู้ว่าเราจะสามารถแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเฉินซีได้หรือไม่” ชายชราผมขาวผู้หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้เอ่ยปากถาม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น รูปร่างหน้าตาของเขาชรา และอายุของเขาก็แทบจะเป็นปู่ของเฉินซีได้แล้ว แต่เขากลับเรียกเฉินซีว่าผู้อาวุโส และการแสดงออกของเขายังเปี่ยมด้วยความเคารพอย่างจริงใจ จึงทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกแปลกพิกล
แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ความแข็งแกร่งย่อมสามารถกำหนดความอาวุโส ไม่ต้องกล่าวถึงการที่เฉินซีเป็นน้องชายร่วมสาบานของเป่ยเหิง ซึ่งเป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ดังนั้นการเรียกเขาว่าผู้อาวุโสจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
“ข้าขออภัย ท่านบรรพจารย์อาไม่ได้อยู่ที่ยอดเขาใจสัจธรรมในตอนนี้ หากทุกคนต้องการแสดงความเคารพ ระหว่างการทดสอบเข้านิกายในวันพรุ่งนี้ ท่านบรรพจารย์อาของข้าก็จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกท่านก็จะสามารถพบเขาได้” ตงฟางกล่าว
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็รู้สึกพึงพอใจกับการได้เดินทางมาที่ยอดเขาใจสัจธรรม
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เฉินซีไม่ได้อยู่ที่ยอดเขาใจสัจธรรม เนื่องจากจำนวนคนที่มาเที่ยวชมที่ยอดเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานที่ฝึกฝนของเขาที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความเงียบสงบและสันโดษ ตอนนี้กลับไม่ต่างอะไรกับตลาดที่พลุกพล่าน ประกอบกับผู้คนที่มาเพราะชื่อเสียงของเขาและต้องการมาแสดงความเคารพแก่เขาทุกครั้ง หากมันแค่ครั้งหรือสองครั้งก็คงไม่เป็นไร แต่เมื่อมันหลายครั้งเข้า แม้แต่นักบุญก็ยังต้องรู้สึกรำคาญ แล้วจะนับประสาอะไรกับคนเช่นเขา
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ภายนอกยอดเขาชั่วคราว
…
ที่ภายนอกของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
ที่ด้านข้างของน้ำตกและทะเลสาบ เฉินซีถือม้วนคัมภีร์สีฟ้าและกำลังทำความเข้าใจเต๋าแห่งยันต์อักขระ ม้วนคัมภีร์เล่มนี้มีชื่อว่าคัมภีร์ค่ายกลทั้งสิบสามของโจวซวี่เยี่ยน และเขาได้ยืมมันมาจากหอหมื่นคัมภีร์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร การอนุมาน การปรับแต่ง และทักษะในการสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งสิบสามรูปแบบได้ถูกบันทึกไว้ในนั้น และองค์ประกอบภายในนั้นก็ประณีตและสอดคล้องกับหลักการของสวรรค์
เพราะเขาต้องการที่จะบ่มเพาะทักษะการอนุมานที่อยู่ในนั้น
เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร อีกทั้งยังมีความลึกลับอันไร้ขอบเขตของสวรรค์และปฐพี ซึ่งซับซ้อนเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนมีความลับของสวรรค์แฝงอยู่ และมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบ่มเพาะวิธีการสร้างแผ่นยันต์อักขระและค่ายกลทั้งหมดในโลกนี้ แต่ตราบใดที่เขาเข้าใจทักษะการอนุมานแล้ว เขาจะสามารถเรียนรู้ค่ายกลหรือแผ่นยันต์อักขระชิ้นใหม่ ๆ ได้ทั้งหมด
เป็นผลให้ความแข็งแกร่งของความสามารถในการอนุมานของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระนั้นสอดคล้องกับความสามารถของเขา ยิ่งมีความสามารถในการอนุมานมากขึ้นเท่าใด ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระจะยิ่งเข้าใจความลับของสวรรค์และจะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงขั้นนั้น ก็จะสามารถใช้มันเพื่อขัดเกลาอุปกรณ์ กลั่นโอสถ สังหารหรือกักขังศัตรู ควบแน่นปราณวิญญาณ แปลงพลังดาราจักรให้เป็นปราณแท้ รักษาอาการบาดเจ็บ ปัดเป่าเมฆหรือสร้างฝน และอื่น ๆ ที่สามารถกระทำตามใจปรารถนา
วัตถุประสงค์ในการฝึกฝนทักษะการอนุมานของเฉินซีนั้นธรรมดามาก เพราะเขาต้องการรวมกระบวนท่ากระบี่อันยอดเยี่ยมทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ และทำให้การเปลี่ยนแปลงที่ไร้ขอบเขตหมดสิ้นไป
แน่นอนว่า หากความสามารถในการอนุมานของเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ความรู้และความเข้าใจของเขาที่มีต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น และมันจะนำมาซึ่งคุณประโยชน์และความก้าวหน้า
“หยินและหยางเกิดจากการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว…” เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับคัมภีร์ จิตวิญญาณของเขาได้อนุมานรูปแบบต่าง ๆ ของแผ่นยันต์อักขระได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และเขาก็ไม่ได้ตระหนักถึงการเวลาที่ล่วงเลยไปแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น เกิดเสียงฝีเท้าที่หนาแน่นของม้าดังขึ้นจากทางภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป และแม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นสะเทือนพร้อมกับฝุ่นปลิวว่อนไปในอากาศ
ในเวลาไม่นาน กลุ่มขององค์รักษ์ในชุดสีสดใสที่ดูแข็งแกร่งประมาณห้าสิบคน ควบขี่ม้าโลหิตเพลิงเมฆาด้วยท่าทางที่ดุดัน ขณะที่พวกมันแผดเสียงและเข้ามาใกล้บริเวณนี้อย่างรวดเร็ว ตรงศูนย์กลางขององค์รักษ์เหล่านี้คือรถม้าที่หรูหราซึ่งลากโดยเสือดาวเขาเดี่ยวทั้งหกตัว รถม้าคันนี้ตกแต่งด้วยลวดลายมวลเมฆและมีเพชรพลอยห้อยอยู่ และมันอาบด้วยประกายแสงของสมบัติ อีกทั้งพวกเขาก็ยังรวดเร็วยิ่งนัก เพียงพริบตาได้ก็มาถึงด้านข้างของน้ำตกและทะเลสาบแล้ว
“หยุด!” ชายวัยกลางคนที่มีดวงตาดุร้ายโบกมือไปที่ด้านหลังของเขา และคนกลุ่มนี้ก็หยุดในทันที ทำให้พวกเขาดูเหมือนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีระเบียบเป็นอย่างมาก
“เฮ้ เจ้าเด็กน้อย นิกายกระบี่เมฆาพเนจรอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นเฉินซี จึงตะโกนถามขณะที่ยังไม่ได้ลงจากหลังม้า
“ใช่แล้ว” เฉินซีพยักหน้ารับ แต่เขาก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ ‘ข้าไม่สามารถอยู่ที่ยอดเขาใจสัจธรรมได้ และแม้แต่ที่แห่งนี้ก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าข้าต้องเสาะหาสถานที่อันเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ฝึกฝนอย่างสงบสุข’
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้มารวมตัวกันที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร ชายหนุ่มและหญิงสาวส่วนใหญ่มีองครักษ์และข้ารับใช้ติดตามมาด้วย และมีคนจำนวนมากที่หยิ่งยโสและเอาแต่ใจมากกว่าคนกลุ่มนี้ ดังนั้นเฉินซีจึงไม่รู้สึกอะไรกับน้ำเสียงที่ถือดีและเย่อหยิ่งของชายวัยกลางคนที่มีต่อเขา
“ตงเชวี่ย เรารีบเดินทางมาจากเมืองทะเลหมอกตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่ได้หยุดพัก และเราสมควรที่จะแวะพักผ่อนที่นี่ ก่อนจะขึ้นไปบนภูเขาในอีกสักครู่” ชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมปักและหมวกหยกก้าวเดินลงมาจากรถม้าที่หรูหรา
“ขอรับ” ชายวัยกลางคนที่มีดวงตาดุร้ายซึ่งมีนามว่า ‘ตงเชวี่ย’ ขานรับด้วยเสียงดังก้อง ก่อนจะเริ่มสั่งให้คนอื่น ๆ กางกระโจมตามลักษณะที่ได้ฝึกฝนมา
“เจ้าหนู ถอยไปซะ ทะเลสาบนี้ถูกครอบครองโดยตระกูลตงแห่งเมืองทะเลหมอกแล้ว” เนื่องจากทะเลสาบนี้ครอบคลุมพื้นที่เพียงสิบสองจั้งเท่านั้น และเฉินซีเองก็นั่งอยู่ที่ด้านข้างของทะเลสาบ ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมา ทันใดนั้น ตงเชวี่ยก็ได้เคลื่อนม้าไปยังเบื้องหน้าของเฉินซี และมองลงมาจากหลังม้าขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงกดขี่และคุกคาม
เฉินซีขมวดคิ้วขึ้น และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ช่างมันเถอะตงเชวี่ย อย่าได้ไล่เขาออกไป ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่จะถามเขาในภายหลัง” ชายหนุ่มรูปงามโบกมือแล้วตรงมาที่ข้างของทะเลสาบ เขาใช้น้ำล้างหน้าก่อนจะนั่งขัดสมาธิและรับจอกสุราโปร่งใสที่เต็มไปด้วยสุราชั้นดีสีแดงเข้ม จากนั้นจึงดื่มอย่างเต็มปากเต็มคำก่อนจะเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “เจ้าหนู เจ้ารู้จักเฉินซีหรือไม่”
เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปีคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงเจ้ากี้เจ้าการและหยิ่งยโส อีกทั้งยังทำตัวเหมือนผู้อาวุโสที่ดื้อรั้น
เฉินซีรู้สึกว่ามันน่าขบขันเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับ
“โอ้ หากอย่างนั้นบอกข้าหน่อยสิว่า เขาน่าเกรงขามอย่างที่ข่าวลือว่าไว้จริง ๆ หรือเปล่า” ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายเมื่อเขาถามอีกครั้ง
เฉินซีส่ายหัว “ข้าไม่รู้”
ชายหนุ่มหัวเราะ “เจ้าท่าทางจะโง่เขลาเกินไปจริง ๆ ขนาดข้าอยู่ที่เมืองทะเลหมอก ข้ายังเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ในฐานะคนจากเมืองทะเลสาบมังกร เจ้ากลับไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเขาได้อย่างไร”
เฉินซีเอ่ยถาม “สหายเต๋า หรือว่าเจ้ากำลังตามหาเฉินซี เพื่อต้องการอะไรบางอย่าง”
“มันไม่มีอะไรเสียหายหากจะบอกเจ้า ปัจจุบัน เฉินซีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร พวกเขาได้รับความเคารพและมีอำนาจเป็นอย่างมาก ว่ากันว่า เขาจะเข้าร่วมพิธีรับสมัครศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในครั้งนี้ หากข้าได้สร้างความสัมพันธ์กับเขาแล้ว ข้าย่อมมีความมั่นใจอย่างเต็มร้อยที่จะผ่านการทดสอบเข้านิกายในวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มรูปงามหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งขณะที่เขากล่าวอย่างสบาย ๆ
“โอ้ ข้าสงสัยนักว่าสหายเต๋าจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร” เฉินซีถามด้วยความตกใจ เขาประหลาดใจจริง ๆ เพราะเขาไม่รู้จักคนที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้เลย
“ข้าบอกไม่ได้ ข้าบอกไม่ได้” ชายหนุ่มรูปงามยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ยังไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยความจริง เขาจึงถามเฉินซีแทน “ใช่แล้ว เจ้ามาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกายกระบี่เมฆาพเนจรเช่นกันหรือ?”
เฉินซีส่ายหัว “ไม่”
ชายหนุ่มรูปงามถอนหายใจ “ใช่ มีผู้คนนับแสนที่เข้าร่วมในครั้งนี้ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้เปิดประตูเพื่อรับสมัครศิษย์ ในขณะที่มีเพียงหนึ่งร้อยตำแหน่งเท่านั้น เจ้าเป็นคนโดดเดี่ยวที่ไม่มีทั้งเงินทองหรือการสนับสนุนใด ๆ แม้ว่าเจ้าจะเข้าร่วมการทดสอบแต่ก็ไม่อาจผ่านไปได้ เจ้าควรรู้ข้อจำกัดของตัวเอง”
ครืน! ครืน! ครืน!
ขณะนี้เอง เสียงฝีเท้าของม้าที่หนาทึบดั่งเสียงกลองได้ดังขึ้นอีกครั้งจากทางภูเขาที่อยู่ห่างออกไป และเสียงดังกล่าวก็ดังกึกก้องยิ่งกว่ากลุ่มของชายหนุ่มรูปงามคนนี้เสียด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังที่ท่าทางแข็งแกร่งก็พุ่งเข้ามาที่ทะเลสาบแห่งนี้ องครักษ์ทั้งหกสิบสี่คนสวมชุดเกราะเกล็ดและผ้าคลุมสีแดงเข้ม กำลังขี่สัตว์ที่มีเขาสีดำเข้มเหมือนน้ำหมึกอยู่ที่สองข้างทาง ขณะที่รถม้าสมบัติที่ดูเหมือนจะสร้างจากหินหยกและผลึกน้ำแข็งอยู่ตรงกลาง รถม้าสมบัติมีผ้าม่านที่สวยงามและถูกดึงโดยสัตว์ร้ายทั้งแปด มันดูมีเอกลักษณ์อย่างมาก
มีกระดิ่งโปร่งแสงแขวนอยู่บนรถขนสมบัติสายแล้วสายเล่า เมื่อสายลมพัดผ่าน เสียงระฆังก็ดังกังวานชัดเจนราวกับเสียงของน้ำพุ กระจ่างและแผ่วเบา ซึ่งทำให้จิตใจของคนรู้สึกสงบ
เมื่อมองจากที่ไกล คนกลุ่มนี้เหมือนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก และในเวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงข้างทะเลสาบ
“ตระกูลหวัง? ฮึ่ม! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนก็จะมาเช่นกัน” ชายหนุ่มรูปงามเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตามองออกไปก่อนจะตะคอกอย่างเย็นชาทันที ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักกลุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่