บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 171 การทดสอบเข้านิกาย
บทที่ 171 การทดสอบเข้านิกาย
การทดสอบขั้นแรกในการเข้านิกายคือตรวจสอบอายุกระดูก
ที่เบื้องหน้าของฝูงชน มีชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวเข้มกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่เงียบ ๆ ที่ด้านหลังโต๊ะ ในขณะที่ด้านข้างของเขามีศิษย์สายในสองสามคนกำลังทำงานอย่างหัวปั่น
บนโต๊ะนั้นมีหินทรงกลมสีดำสนิทถูกวางไว้ และเมื่อผู้เยาว์ที่เข้าร่วมการทดสอบวางมือลงบนหิน มันจะทดสอบอายุกระดูกของพวกเขาอย่างแม่นยำ
ศิษย์ที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรต้องการรับสมัครในครั้งนี้ ต้องมีอายุแท้จริงที่ต่ำกว่ายี่สิบปี และการทดสอบอายุกระดูกก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บ่มเพาะบางคนลักไก่เข้าไปได้ ท้ายที่สุด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะอายุของผู้บ่มเพาะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลซู ซูหลิงเฟิงที่ดูเหมือนเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ เนื่องจากเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เขาบ่มเพาะและมีเพียงอายุกระดูกเท่านั้นที่จะไม่ถูกหลอก
“โม่ไจ๋ อายุ 19 ปี มีคุณสมบัติ!”
“เฝิงเว่ยหู่ อายุ 13 ปี มีคุณสมบัติ!”
“เยว่จ้าน อายุ 26 ไร้คุณสมบัติ!”
…
ท่ามกลางเสียงประกาศของเหล่าศิษย์ในนิกาย ผู้ที่มีอายุกระดูกที่เหมาะสมต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ผู้ถูกตัดสิทธิ์ต่างก็เศร้าโศกเสียใจ มีบางคนถึงกับสะอื้นไห้เสียงดังและพยายามฆ่าตัวตาย ในขณะนี้ ความรู้สึกและอารมณ์ที่แตกต่างกันของผู้คนได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
เฉินซีถอนหายใจยาวต่อเนื่องขณะที่เขาเฝ้าดู นับว่าโชคดีที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยมีอายุเพียงยี่สิบปีกับสิบเจ็ดปีเท่านั้น จึงทำให้พวกเขาสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น สิ่งนี้ทำให้คนทั้งคู่ทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก และได้รับตราคำสั่งไม้ทั้งสองชิ้นเรียบร้อยแล้ว
ตราคำสั่งทั้งสองนี้มีอายุ ชื่อ และข้อมูลอื่น ๆ ถูกจารึกไว้ และการได้รับตราคำสั่งนี้เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าร่วมในการทดสอบขั้นที่สองได้
เฉินซีนำพวกเขาทั้งสองไปที่การทดสอบร่างกายทันที
ศักยภาพของร่างกายจะสัมพันธ์กับความเร็วในการบ่มเพาะ ยิ่งร่างกายดีเท่าใด ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น กลับกัน หากร่างกายไม่ดี เส้นลมปราณก็จะไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะฝึกฝนเท่าใดก็ตามก็ไม่อาจเกิดผลที่ดีได้ และยากที่จะก้าวหน้าในภายภาคหน้า ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีชะตาสู่ความเป็นเซียนไปตลอดกาล
ในตอนนี้ มู่เหยาและมู่เหวินเฟยมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว แม้ว่าร่างกายของพวกเขาอาจถือได้ว่าไม่ดีที่สุด แต่ก็อยู่ในระดับสูง ทำให้พวกเขาผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย ในระหว่างกระบวนการนี้ เฉินซีเฝ้ามองจากด้านข้างอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาสังเกตเห็นว่าการทดสอบร่างกายได้ตัดสิทธิ์คนไปเพียงไม่กี่พันคน และดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถบ่มเพาะจนกลายเป็นเซียนและแสวงหาเต๋าได้
เมื่อเวลาผ่านไปจนใกล้เที่ยง เฉินซีก็พามู่เหยาและมู่เหวินเฟย ไปยังสถานที่ทดสอบเจตจำนงของพวกเขา
ในที่แห่งนี้ มีสนามทรงกลมที่กินพื้นที่สี่ลี้ และมีธงสีเหลือง 64 ผืนถูกติดตั้งตามตำแหน่งที่ลึกซึ้ง มันคือ ‘มหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตา’
ผู้เยาว์ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องนั่งสมาธิอยู่ในค่ายกลใหญ่ เมื่อค่ายกลนั้นถูกเปิดใช้งาน ร่างกายทั้งหมดของพวกเขาจะได้รับแรงกดดัน ราวกับว่าพวกเขากำลังแบกบางสิ่งที่มีมวลน้ำหนักมหาศาลไว้บนหลัง ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลวงตาต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นภายในจิตใจของพวกเขา เช่น ทะเลเลือด ภูเขาซากศพ ปราณปีศาจและวิญญาณพยาบาทที่บ้าคลั่ง ด้วยภาพลวงตาเหล่านี้ จึงทำให้ร่างกายและสภาพจิตใจของพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการทดสอบที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
หากสามารถยืนหยัดอยู่ในมหาค่ายกลได้นานเท่าใด เจตจำนงก็จะยิ่งแน่วแน่มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เจตจำนงที่แน่วแน่ ย่อมหมายความว่าจิตใจที่มีต่อเต๋าก็จะยิ่งแน่วแน่มากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนผู้นั้นจะไม่สูญเสียจิตใจ บุกทะลวงผ่านความยากลำบากทั้งหมด เอาชนะความโลภต่าง ๆ และขจัดอุปสรรคทั้งหมดบนหนทางเพื่อแสวงหาความเป็นเซียนและไม่หลงทางอีกต่อไป
ในโลกนี้ มีผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอยู่มากมาย แต่กลับต้องกลายเป็นคนธรรมดาหรือพิกลพิการเพราะเจตจำนงของพวกเขาขาดความแน่วแน่ ในขณะที่คนธรรมดาที่มีพรสวรรค์เหล่านั้นจะอาศัยปณิธานและเจตจำนงที่ไม่ธรรมดา เพื่อที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ และหัวเราะเยาะให้แก่โลกใบนี้อย่างภาคภูมิใจ
ในฐานะที่เป็นนิกายบ่มเพาะวิชากระบี่ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรจึงมุ่งความสนใจไปที่เต๋าแห่งกระบี่ และความต้องการของพวกเขาที่มีต่อเจตจำนงของคนผู้นั้นรุนแรงมาก ดังนั้นการทดสอบเจตจำนงจึงเป็นการทดสอบที่สำคัญยิ่งในบรรดาการทดสอบทั้งหมด และในการทดสอบเข้านิกายนี้ อัจฉริยะรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่จะถูกตัดสิทธิ์ด้วยการทดสอบเจตจำนงนั่นเอง
ข้อกำหนดในการผ่านการทดสอบนั้นนับว่าง่ายมาก เพียงแค่นั่งสมาธิอยู่ภายในมหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตา และยืนหยัดให้ได้จนหมดช่วงหนึ่งก้านธูป แน่นอนว่า หากคนผู้นั้นยิ่งยืนหยัดได้นานเท่าใด ย่อมแสดงว่าเจตจำนงของคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก และเมื่อคนผู้นั้นได้เข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรในอนาคต การปฏิบัติต่อคนผู้นั้นก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเยี่ยม
ในเวลาไม่นาน มู่เหยา มู่เหวินเฟย และผู้เยาว์อีก 998 คนได้รวมตัวกันครบหนึ่งพันคน และพวกเขาก็พากันเข้าไปสู่ค่ายกล
เมื่อทุกคนนั่งสมาธิตามตำแหน่งอย่างถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสในชุดขาวที่อยู่ด้านนอกค่ายกล ก็สร้างผนึกที่ล้ำลึกและเปิดใช้ค่ายกลขนาดใหญ่ในทันที
ทันใดนั้น เงาหินขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน และเกือบจะเวลาเดียวกัน แรงกดดันมหาศาลได้โถมลงมาอย่างรุนแรง!
ราวกับว่ามีเนินเขาเล็ก ๆ กดทับไหล่ของพวกเขา
“อ๊า!” เงาหินเพิ่งปรากฏขึ้น ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่คาดฝันว่าเขาจะได้รับแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จึงไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ร่างกายของเขาถูกกดราบไปกับพื้น ขณะที่เขาส่งเสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชออกมา
เพียงไม่กี่อึดใจ มีชายหนุ่มและหญิงสาวหลายสิบคนที่ไม่สามารถยืนหยัดและยอมแพ้ไป อีกทั้งยังมีบางคนที่ไม่สามารถยอมแพ้ได้ทันเวลา ทำให้พวกเขาหมดสติอยู่ตรงนั้น และถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยค่ายกล
ห่างออกไปจากค่ายกล คือผู้เยาว์อีกหนึ่งพันคนที่จะเข้าร่วมในการทดสอบเจตจำนงในชุดถัดไป เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวลง และหัวใจของพวกเขาก็หวาดกลัวจนแทบจุกอก แต่แน่นอนว่ามีหลายคนที่จ้องมองด้วยความตื่นเต้น และพวกเขาต่างก็เร่าร้อนด้วยความกระตือรือร้น
ในบริเวณโดยรอบมีฝูงชนหนาแน่น และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสและองครักษ์ของชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาดูฉากนี้ แต่สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดกลับดูเคร่งขรึมและวิตกกังวลอย่างมาก
เฉินซีอยู่ท่ามกลางฝูงชน ดวงตาของเขาจดจ้องไปที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยโดยไม่กะพริบตา
ในเวลาไม่นาน คนกว่าเจ็ดร้อยคนก็ถูกตัดสิทธิ์ออก แต่นับว่าโชคดีที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยยังคงสามารถยืนหยัดได้อยู่
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป
ในขณะนี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวในค่ายกลส่วนใหญ่ต่างก็ปิดตาแน่นขณะที่เหงื่อไหลลงมาเหมือนสายน้ำเล็ก ๆ เปียกชุ่มเสื้อผ้าของพวกเขา
ท่าทางของพวกเขาทั้งโกรธเคือง ไม่พอใจ หรือเฉยเมยโดยสิ้นเชิง… สิ่งนี้มีสาเหตุมาจากสภาพจิตใจของพวกเขาที่ได้รับผลกระทบจากฉากอันน่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ ที่เกิดมาจากภาพลวงตา
การทดสอบเจตจำนงนี้ยากถึงสุดขีด ร่างกายและสภาพจิตใจของพวกเขาได้รับแรงกดดันในระหว่างการทดสอบ และหากพวกเขาขาดความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างสูงส่ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนหยัดจนก้านธูปเผาไหม้จนหมด
ท่าทางของมู่เหยาและมู่เหวินเฟยนั้นนับว่าไม่เลว แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะดูไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะล้มพับ มีเพียงมู่เหยาที่กัดริมฝีปากของนาง และเลือดไหลหยดลงมาตามมุมปากของนาง ทำให้นางดูเหมือนสิ้นหวังอยู่บ้าง
จนกระทั่งก้านธูปได้ดับลง
มีเพียงผู้ทดสอบสิบสามคนเท่านั้น ที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในมหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตา!
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ บรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งกดดันมากขึ้น จากผู้ทดสอบหนึ่งพันคน กลับเหลือเพียงสิบสามคนเท่านั้น อัตราส่วนของการผ่านทดสอบนั้นไม่น้อยเกินไปหรือ?
“ไม่เลว พี่น้องคู่นี้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นจริง ๆ” เฉินซีมองไปที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยที่อยู่ในมหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตา และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเฉินฮ่าว ซึ่งเป็นน้องชายของเขา ‘หลายปีก่อน เฉินฮ่าวคงเคยประสบกับการทดสอบเช่นนี้ ก่อนที่จะสามารถเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรใช่หรือไม่?’
ขณะที่ความคิดของเฉินซีล่องลอยไปไกล ค่ายกลก็ถูกปิดการใช้งาน
มู่เหยา มู่เหวินเฟย และอีกสิบเอ็ดคนก็ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าอ่อนล้าเป็นอย่างมาก แต่ดวงตาของพวกเขากลับเปล่งประกายด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ
แน่นอนว่า การที่สามารถยืนหยัดจากคนนับพัน ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงคู่ควรกับความภาคภูมิใจ
พวกเขาทั้งสิบสามคนมาถึงหน้าโต๊ะและรอผู้อาวุโสในชุดขาวแจกจ่ายตราคำสั่ง
ในขณะนี้ มีชายหนุ่มรูปงามเดินมาจากที่ห่างไกล ศิษย์สายในที่อยู่ด้านหลังโต๊ะเงยหน้าขึ้นพลางกวาดสายตามอง ก่อนจะขมวดคิ้ว “หลิวเฉิน เจ้าถูกตัดสิทธิ์ตั้งแต่ค่ายกลเพิ่งเปิดใช้งาน ทำไมเจ้าถึง…”
ศิษย์สายในคนนี้ยังกล่าวไม่ทันจบ ผู้อาวุโสในชุดขาวที่หลับตาทำสมาธิอยู่เสมอกลับลืมตาขึ้นทันที จากนั้นเขาก็โบกมือเพื่อขัดจังหวะเหล่าศิษย์สาย ขณะที่ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย แต่ไม่ทราบว่าเขากล่าวถึงสิ่งใด
ทว่าศิษย์สายในผู้นั้นกลับเข้าใจทันที และเขาไม่ได้กล่าวอะไรอีกก่อนที่จะรีบมอบตราคำสั่งไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า การที่ครอบครองตราคำสั่งไม้นี้ ย่อมสามารถเข้าร่วมการทดสอบครั้งไป
หลิวเฉินหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง และประสานมือของเขาไปทางผู้อาวุโส ก่อนที่จะจากไปอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ เหล่าผู้เยาว์ที่ต่อแถวเพื่อเข้าร่วมการทดสอบก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที บางคนรู้สึกอิจฉา บางคนรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม และยังมีบางคนตะโกนคำว่า ‘ไม่ยุติธรรม’ และ ‘โกง’ ด้วยเสียงอันดังก้อง
“ฮึ่ม!” ผู้อาวุโสในชุดขาวพึมพำอย่างเย็นชาก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ
“พวกเจ้าทุกคนบังอาจรบกวนเวลาพักผ่อนของผู้อาวุโสฮวาหง พวกเจ้ายังอยากเข้าร่วมการทดสอบอยู่หรือไม่!? พวกเจ้าช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเสียจริง ๆ! หากไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็จงออกไปซะ!” ศิษย์สายในเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะตวาดเสียงดัง
ทันใดนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงโวยวายอีกเลย และบริเวณโดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เพราะไม่มีผู้ใดอยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่พวกเขายังมีหลายคนที่ติดสินบนกรรมการเพื่อให้ผ่านการทดสอบ เมื่อคนเหล่านั้นเห็นฉากนี้ พวกเขาต่างก็ยิ้มอยู่ในใจ และมั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถผ่านการทดสอบได้
เฉินซีขมวดคิ้วทันที เขาจำผู้อาวุโสคนนี้ได้ เขาถูกเรียกว่า ‘ฮวาหง’ และเป็นผู้อาวุโสสายในที่รับผิดชอบด้านการขนส่งและงานทั่วไป แต่เนื่องจากไม่เคยใกล้ชิดกับผู้อาวุโสคนนี้มาก่อน ความประทับใจของ เฉินซีที่มีต่อคนผู้นี้ จึงจำกัดอยู่เพียงแค่การเคยเจอเท่านั้น
แต่ในขณะนี้ เมื่อเขาเห็นฮวาหงปกป้องหลิวเฉินอย่างโจ่งแจ่ง และปล่อยให้เขาผ่านการทดสอบเจตจำนงที่ยากที่สุดได้อย่างราบรื่น ความสะอิดสะเอียนก็เกิดขึ้นในใจเขาทันที
ในขณะนี้ มีชายหนุ่มเดินออกมาจากกลุ่มคนทั้งสิบสามคนที่ผ่านการทดสอบเจตจำนง ผิวของเขาคล้ำ หน้าตาธรรมดา และบนร่างสวมทับด้วยหนังสัตว์ที่เก่าและขาดรุ่งริ่ง นอกจากนี้ยังมีกลิ่นเหงื่อติดตามตัว ทำให้เขาดูเหมือนลูกชายของนายพรานทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบกับชายหนุ่มและหญิงสาวในบริเวณใกล้เคียงซึ่งสวมชุดทอหรือเสื้อคลุมหยก ก็ดูเหมือนว่าเขาได้อาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ ส่วนอีกคนเพียงอยู่บนโลก
เห็นได้ชัดว่าเขาอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองมายังตนเองจากโดยรอบ ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน และใบหน้าที่ดำคล้ำของเขาก็กลายเป็นสีแดงก่ำไปทั้งหน้า
“อะไรวะ! ไอ้บ้านนอกแบบนี้สามารถผ่านการทดสอบเจตจำนงได้เช่นกันหรือ?”
“บัดซบ! เหม็นชิบหาย! ไอ้เจ้าคนนี้ไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว?”
“ฮึ่ม! ต่อให้ผ่านการทดสอบเจตจำนงแล้วอย่างไรล่ะ? ดูท่าทางโง่เขลาของเขาสิ เขาคงไม่สามารถผ่านการทดสอบความเข้าใจได้อย่างแน่นอน คิดจะเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างนั้นหรือ? อย่างน้อยก็ส่องกระจกดูเสียบ้างนะ”
เมื่อพวกเขาเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของชายหนุ่มผิวเข้ม ผู้คนโดยรอบต่างก็ส่งเสียงเย้ยหยันออกมาทันที
สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องรู้สึกประหลาดใจก็คือ หลังจากที่ชายหนุ่มผิวเข้มได้ยินคำเย้ยหยัน เขากลับสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ยิ่งไปกว่านั้น บนหว่างคิ้วที่เข้มของเขา มีความแข็งกระด้างและโหดเหี้ยมอยู่ราง ๆ ซึ่งแสดงออกถึงการดื้อรั้นและไม่ยอมสยบต่อผู้ใดอย่างง่ายดาย
ท่ามกลางฝูงชนก็มีสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่งที่สวมหนังสัตว์ขาดรุ่งริ่งเช่นกัน รูปร่างหน้าตาของพวกเขาธรรมดาและซื่อตรง ผิวพรรณของพวกเขาก็ดำคล้ำยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้แรงงานอย่างหนักตลอดทั้งปี
ชายหนุ่มในชุดหนังสัตว์คือ จูซวิ่น ซึ่งเป็นบุตรชายของพวกเขานั่นเอง
ครอบครัวของพวกเขาล่าสัตว์อยู่บนภูเขามาหลายชั่วอายุคน และผ่านวันเวลาอย่างยากลำบาก ในครั้งนี้ พวกเขามาที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร เพราะหวังว่า จูซวิ่น บุตรชายของพวกเขาจะสามารถผ่านการทดสอบและเข้าร่วมนิกายได้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความยากจนเหมือนพวกเขาในภายภาคหน้า
ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นลูกชายของพวกเขาถูกเหยียดหยาม สามีภรรยาคู่นี้ก็ปิดปากแน่น และความเจ็บปวดเผยในแววตาของพวกเขา แต่สายตาสองคู่ก็ยังจดจ้องไปที่บุตรชาย ราวกับต้องการให้กำลังใจเขา
“เจ้าชื่อจูซวิ่นหรือ? ในการทดสอบเจตจำนงครั้งนี้ เจ้า…” ศิษย์สายในยังกล่าวไม่ทันจบ กลับถูกผู้อาวุโสฮวาหงขัดจังหวะอีกครั้ง ชายชราเงยหน้าขึ้นมองไปที่จูซวิ่น ก่อนที่เขาจะส่ายศีรษะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวอะไรก็ตาม แต่ทัศนคติของเขาก็ชัดเจนแล้ว
ศิษย์สายในคนนี้ตกตะลึงทันที และเขาก็ก้มศีรษะลง หลังจากผ่านไปสักพัก จึงประกาศผลออกมาว่า
“อะไรกัน?! เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
“ฮึ่ม! มันเป็นเรื่องธรรมดาที่รู้กันอยู่แล้ว ภายใต้สายตาของผู้คนในตอนนี้ มีเพียงสิบสามคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ และผลลัพธ์นี้จะต้องรายงานแก่ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกาย แต่เนื่องจากหลิวเฉินได้ผ่านการทดสอบโดยอาศัยเส้นสายของเขา ดังนั้นจึงต้องมีคนที่ตัดสิทธิ์ออกไปแทน”
“โธ่ เจ้าเด็กโง่เขลาคนนี้จึงถูกแทนที่ด้วยคนอื่น!”
“หรือว่าผู้อาวุโสฮวาหงไม่กลัวที่จะถูกผู้อื่นเปิดโปงกัน?”
“เฮอะ เจ้าไร้เดียงสามากเกินไปหน่อยหรือไม่? นี่คือสิ่งที่เข้าใจได้โดยปริยาย ในบรรดาบุคคลสำคัญเหล่านั้นในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ผู้ใดไม่มีญาติและสหายบ้าง? พวกเขากำลังหาทางออกให้แก่คนสนิทพวกเขา ใครจะใส่ใจกับผู้อื่นที่ตนไม่รู้จัก? บางทีหลิวเฉินอาจเป็นลูกนอกสมรสของหลิงคงจื่อก็ได้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ไม่มีทั้งอำนาจและภูมิหลัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจหากพวกเขาจะโกรธเคือง ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขายังคงดื้อรั้น คิดที่จะแค้นนิกายกระบี่เมฆาพเนจร การกระทำเยี่ยงนี้มันต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบข้างส่งเสียงพูดคุยจอแจขึ้นมา สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังจูซวิ่นนั้น มีทั้งความสมเพช การเยาะเย้ย การดูถูก และการยินดีในความโชคร้ายของเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็ขมวดคิ้ว เมื่อเขานึกถึงตงฟาง หวังหว่าน น้องชายและน้องสาวของพวกเขา เขาก็คิดกับตัวเอง ‘หากข้าไม่ได้พบเจอตงเซวียนหงและหวังอวิ๋นฉือเสียก่อน พวกเขาก็คงจะสามารถผ่านการทดสอบทั้งหมดได้อย่างราบรื่นเช่นกันใช่หรือไม่?’
สมาชิกของตระกูลร่ำรวยซึ่งมีทั้งเส้นสายและเงินทอง ก็สามารถติดสินบนได้ แต่ผู้คนที่ยากจนนั้นต้องเดินทางไกลด้วยความยากลำบาก และต้องเผชิญกับอุปสรรคทุกรูปแบบกว่าจะมาถึงที่นี่ หากพวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม แล้วผู้ใดจะสงสารและช่วยเหลือพวกเขา?