บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 172 ฮวาหง
บทที่ 172 ฮวาหง
เมื่อเฉินซีคิดถึงจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ผู้ที่มีพร้อมทั้งทรัพย์สินและอำนาจมักเป็นกลุ่มคนที่เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ ในขณะที่ผู้ไร้ความมั่งคั่งและอำนาจ มักจะไม่ได้รับความยุติธรรมจากกฎเกณฑ์นั้นอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากลับถูกกดขี่และข่มเหงแทน ในท้ายที่สุด ก็จะกลายเป็นผู้เสียสละ และเป็นหินให้ผู้อื่นคอยเหยียบข้ามไป
นี่คือกฎที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่ก็เป็นที่รู้กันทุกหนทุกแห่งในโลก ดังนั้นจึงมีวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงมัน นั้นคือต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!
ในขณะนี้ ภายใต้สายตาที่จ้องมองด้วยความสมเพชระคนเยาะเย้ยจากสิ่งรอบข้าง จูซวิ่นผู้มีใบหน้าดำคล้ำกลับกลายเป็นแดงก่ำ และบิดเบี้ยวจากการข่มเหงที่เขาสัมผัสได้
เปลวไฟแห่งความโกรธได้ลุกโชนในแววตาของเขา หน้าอกที่ผ่าเผยและหนาแน่นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำหมัดแน่น เล็บที่แหลมคมของเขาจิกเข้าไปในเนื้อ จนเกิดรอยเลือดออกมา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ทันได้สังเกตถึงมันเลยแม้แต่น้อย
เขาเป็นเพียงบุตรชายที่เถรตรงของนักล่าบนภูเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่า ผู้คนในโลกนี้เปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาโดยพลการ หรือว่าพวกเขาล้วนไร้ยางอาย จึงกล้าดูหมิ่นการทุ่มเทฝึกฝนของเขาโดยไม่ได้แยแสใด ๆ?
ต่อให้เค้นสมอง เขาก็คิดไม่ออกจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยวและดื้อรั้นเหมือนวัวป่า ในขณะที่ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังศิษย์สายในที่อยู่ด้านหลังโต๊ะ และต้องการคำอธิบายจากคนผู้นั้น
ศิษย์สายในคนนั้นมีนามว่า ‘ฝูเจิ้ง’ ซึ่งเดิมทีเขาก็รู้สึกสงสารจูซวิ่นอยู่ในใจเช่นกัน แต่เมื่อเขาสัมผัสกับความโกรธในดวงตาของอีกฝ่าย ก็ทำให้เขาหงุดหงิดในทันที และตะคอกอย่างเย็นชาก่อนที่จะเบือนหน้ากลับไป เขาไม่อาจใส่ใจกับไอ้หน้าโง่คนนี้ได้อีกต่อไป
ทันใดนั้น เด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งสวมชุดกระโปรงสีสันฉูดฉาดเป็นประกาย นางมีรูปร่างบอบบางและมีผิวอ่อนนุ่มที่ขาวราวกับหิมะเดินเข้ามา ใบหน้าที่งดงามของนางก็เผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง จนเหมือนหงส์ตัวน้อยที่เย่อหยิ่ง นางไม่ได้แลทางซ้ายหรือขวา แต่ก้าวไปยังโต๊ะอย่างสง่างาม
เฉินซีจำได้ว่าเด็กสาวคนนี้มีนามว่า ‘เซี่ยชีเฉี่ยว’ และนางก็ถูกตัดสิทธิ์ตั้งแต่มหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตาเปิดใช้งานเช่นกัน ทว่าในตอนนี้ การกระทำของนางที่เดินไปยืนอยู่หน้าโต๊ะนั้นก็แสดงความชัดเจนในตัวเอง
ตามที่คาดไว้ เมื่อพวกเขาเห็นเซี่ยชีเฉี่ยว เด็กสาวผู้จองหองมาถึง นอกจากจูซวิ่นแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวอีกสิบสองคนที่ผ่านการทดสอบก็รู้สึกกังวลทันที พวกเขาต่างก็สามารถแยกแยะได้ว่า เด็กสาวคนนี้น่าจะเหมือนกันกับหลิวเฉิน และนางกำลังจะแทนที่ตำแหน่งในหมู่ผู้ผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตาม หากนางได้รับตำแหน่งมา หนึ่งในนั้นจะต้องถูกตัดสิทธิ์อย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ใดจะเต็มใจมอบตำแหน่งให้?
ผู้อาวุโสฮวาหงที่หลับตาครุ่นคิดอย่างสบาย ๆ พลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง และดวงตาของเขาก็เป็นประกายเมื่อเห็นเซี่ยชีเฉี่ยว เขาพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่จะรอยยิ้มนั้นจะจางหายไป จากนั้นสายตาของเขาก็กวาดไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวที่ผ่านการทดสอบทั้งสิบสองคน
“เจ้า เจ้าถูกตัดสิทธิ์จากการทดสอบ จงกลับไปซะ”
ฮวาหงกวาดสายตามองพวกเขาทั้งหมดก่อนจะหยุดที่มู่เหยา สายตาของเขาเฉียบแหลมอย่างมาก เพราะจากท่าทางและการกระทำนั้น เขาสามารถแยกแยะได้ว่าเด็กสาวคนนี้ต้องไม่มีภูมิหลังใด ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะถอดตำแหน่งของนางและมอบให้แก่เซี่ยชีเฉี่ยว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่เหยาก็ตกตะลึงไปทันที และโทสะพลันปรากฏบนใบหน้านางแทบจะทันที ในระหว่างที่นางเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกายครั้งนี้ นางต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ และเดิมที นางคิดว่าหลังจากที่นางมีคุณสมบัติผ่านเข้าสู่นิกายแล้ว พี่ใหญ่เฉินจะมองนางในแง่มุมใหม่อีกครั้ง แต่นางจะคาดคิดได้อย่างไรว่า เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับนางจริง ๆ
หากเป็นก่อนที่นางจะมาถึงเมืองทะเลสาบมังกร มู่เหยาคงต้องกล้ำกลืนความอัปยศและจากไปอย่างเชื่อฟัง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความสัมพันธ์ของนางกับเฉินซี นางจึงได้เห็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่มีพลังมหาศาลมากมาย กระทั่งเมื่อวานเอง นางยังนั่งพูดคุยกับบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงและประมุขนิกายหลิงคงจื่ออยู่เลย ถึงแม้ว่านางจะทำได้เพียงรับฟังด้วยความเคารพ แต่จะมีผู้ใดกล้ามองข้ามนางอีก?
ดังนั้นด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานี้ จึงถือได้ว่ามู่เหยามีความมั่นใจอย่างมาก จากนั้นนางก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนค่อย ๆ กล่าวว่า “ข้าไม่เห็นด้วย”
ทันทีที่นางกล่าวจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เหยาจะกล้าปฏิเสธผู้อาวุโสฮวาหงต่อหน้าเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่านางไม่กลัวที่จะไม่สามารถออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร?
“ฮึ่ม! หญิงสาวบ้านนอกคนนี้มาจากไหน? เจ้ารู้จักมารยาทบ้างไหม? เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังเผชิญหน้ากับใคร? ไสหัวไปซะ และอย่าทำตัวโง่เขลาอยู่ที่นี่” ก่อนที่ใครจะกล่าวอะไร เซี่ยชีเฉี่ยวเชิดคางขึ้นก่อนที่จะกล่าวอย่างเย่อหยิ่งและดูถูกเหยียดหยาม
“ช่างไร้ยางอายถึงขีดสุดอย่างแท้จริง เจ้าล้มเหลวทันทีที่การทดสอบเจตจำนงเริ่มขึ้น ไม่ต้องกล่าวถึงพรสวรรค์ของเจ้าที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก ตอนนี้เจ้ายังคิดแย่งตำแหน่งของข้าไปอย่างไร้ยางอาย มีสตรีคนไหนในโลกที่ไร้ยางอายเช่นเจ้าบ้างหรือไม่?” มู่เหยาไม่ได้โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย และสีหน้าของนางก็สงบนิ่งขณะที่นางตอกกลับอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน
“ผู้หญิงต่ำต้อยเช่นเจ้าที่ไม่มีอำนาจหรือภูมิหลังใด ๆ กลับกล้าเรียกข้าว่าไร้ยางอายจริง ๆ หรือ?” เซี่ยชีเฉี่ยวโมโหอย่างสุดขีด จนกรีดร้องออกมาด้วยเสียงที่เสียดหู ใบหน้าที่สวยงามของนางในตอนนี้กลับบิดเบี้ยวจนไม่น่าดู จากนั้นนางก็หันกลับไปมองผู้อาวุโสฮวาหงและกล่าวว่า “ท่านลุงฮวา หรือว่าท่านจะไม่ทำสิ่งใดเลย?”
“เอาล่ะ ชีเฉี่ยว ใจเย็น ๆ ” ฮวาหงลุกขึ้นยืนและโบกมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมู่เหยาพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “เด็กน้อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จงออกไปอย่างเชื่อฟังซะ มิฉะนั้น…”
“ท่านอาจารย์ฮวา ข้าคิดว่าท่านควรปล่อยเรื่องนี้ไป” ในขณะนี้ หญิงสาวในชุดสีฟ้าได้แยกฝูงชนออกมาขณะที่นางเดินผ่านอย่างช้า ๆ ผมยาวของนางเป็นสีดำสนิท มีคิ้วเป็นรูปทรงต้นหลิว ดวงตาใสกระจ่าง และผิวที่บอบบาง ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างหน้าตาของนางก็งดงามเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่ชิงหนี่?” มู่เหยาร้องออกมา
หญิงสาวในชุดสีฟ้าคนนี้คือ เหยียนชิงหนี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสิบหกศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มให้มู่เหยาก่อนจะจ้องไปที่ฮวาหง
นับว่าไม่แปลกใจเลย ที่แท้หญิงสาวคนนี้ก็มีคนหนุนหลังอยู่เช่นกัน!
ผู้ชมที่อยู่บริเวณโดยรอบก็เข้าใจในทันที
เมื่อเหยียนชิงหนี่ปรากฏตัว เฉินซีที่เตรียมยื่นมือเข้ามา ก็พยักหน้าให้กับตัวเองและรอให้สถานการณ์คลี่คลายอย่างเงียบ ๆ เขาไม่อยากจะทำให้ฮวาหงต้องขายหน้าต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นอกจากเขาจำเป็นต้องทำ ท้ายที่สุด เขาก็ได้รับการดูแลจากเป่ยเหิงมากเกินไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะรังเกียจฮวาหงสุดใจ แต่ก็ไม่ควรที่จะเข้าไปแทรกแซงปัญหาของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนมีความเข้าใจผิดว่าเขาเป็นตัวการก่อเรื่องวุ่นวาย และได้แทรกแซงอำนาจของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
ในขณะนี้ การมีศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเมฆาสอดมือเข้าช่วย เช่นเหยียนชิงหนี่นั้นก็ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้แล้ว
แต่สถานการณ์กลับไม่ดำเนินไปตามความต้องการของเฉินซี
ฮวาหงเริ่มหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด และสีหน้าของเขาก็ดูเป็นลางร้ายในขณะที่เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฮึ่ม! ชิงหนี่ เจ้าเป็นเพียงศิษย์ชั้นยอด ในขณะที่ข้าเป็นผู้อาวุโสและเป็นผู้ดูแลการทดสอบเจตจำนงนี้ ดังนั้นมันใช่เรื่องของเจ้าที่จะสอดมือเข้ามาหรือ?”
เขาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก การถูกปฏิเสธโดยเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีอำนาจหรือภูมิหลังใด ๆ ทำให้เขารู้สึกไม่ยินดีเป็นอย่างมาก และตอนนี้กลับมีศิษย์ชั้นยอดอีกคนมาสั่งเขาถึงเรื่องนี้ หากเขาไม่จัดการกับมันอย่างแน่วแน่ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก?
“ท่านอาจารย์ลุงฮวาหง ท่านต้องการปลดมู่เหยาออกจากตำแหน่งจริงหรือ?” เหยียนชิงหนี่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างช้า ๆ
นางก็เห็นเฉินซีในฝูงชนเช่นกัน และบังเอิญเห็นว่ามู่เหยากำลังลำบาก นางจึงตัดสินใจที่จะยืนหยัดและยื่นมือช่วยเหลือเฉินซี สำหรับการเปิดเผยตัวตนของชายหนุ่ม นางจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะนางเดาไว้แล้วว่าเฉินซีต้องซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ต้องการปรากฏตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง มิฉะนั้น ด้วยความสามารถของเขา เขาคงจัดการกับทุกสิ่งไปนานแล้ว
“ทำไม? เจ้าสงสัยในการตัดสินใจของข้าหรือ? เชื่อหรือไม่ ข้าจะเนรเทศเจ้าไปที่ยอดเขามังกรอเวจีเพื่อทำหน้าที่กุลีเป็นเวลาสามเดือน!” ฮวาหงยิ่งโกรธมากขึ้น แต่ใบหน้าของเขาก็ไร้ความรู้สึกขณะกล่าวคำอย่างเย็นชา
“ท่านลุงฮวากล่าวถูกต้องแล้ว! มีอะไรที่น่าแปลกใจกับแค่การเป็นศิษย์ชั้นยอด? เมื่อข้าผ่านการทดสอบของนิกายแล้ว ข้าจะกลายเป็นที่หนึ่งในหมู่ศิษย์ชั้นยอดอย่างแน่นอน อีกทั้งยังแทนที่สถานะของเฟยเหลิ่งชุ่ยในคราวเดียวเช่นกันด้วย” เซี่ยชีเฉี่ยวมองไปยังเหยียนชิงหนี่ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม และคำกล่าวของนางเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างสุดจะพรรณนา
เหยียนชิงหนี่ถอนหายใจและไม่กล่าวสิ่งใดอีก หากคนผู้นั้นต้องการรนหาที่ตาย ก็คงไม่มีทางที่จะหยุดยั้งได้
เมื่อเซี่ยชีเฉี่ยวเห็นสิ่งนี้ ก็คิดว่าเหยียนชิงหนี่รู้สึกเกรงกลัว ร่องรอยความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางทันที
สีหน้าของฮวาหงผ่อนคลายขึ้นก่อนที่จะมองไปที่มู่เหยา และออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ฝูเจิ้ง ไปจับตัวนางและทำให้การบ่มเพาะของนางพิการก่อนที่จะเนรเทศนางไปที่ยอดเขามังกรอเวจี เพื่อเป็นทาสกุลีตลอดชีวิตของนาง ข้าต้องการให้ทุกคนเข้าใจว่าผลที่ตามมาของการล่วงเกินนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้า จะต้องชดใช้ในราคาที่สาสม”
“เจ้าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ” ในขณะนี้ เสียงที่ไม่แยแสก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮวาหงก็หันกลับไปมองและสังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่มีใบหน้าหล่อเหลา กำลังเดินเข้ามาช้า ๆ และใบหน้าของเขาก็กระตุกอย่างรุนแรง ในขณะที่เปลวไฟแห่งความโกรธในใจของเขาเกือบจะถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเจ้าพวกเด็กเหล่านี้ต้องการท้าทายอำนาจของข้า?
ชายหนุ่มคนนั้นคือเฉินซี ที่มักจะนั่งอยู่บนยอดเขาใจสัจธรรมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และอาจถือได้ว่านอกจากเป่ยเหิงและคนอื่น ๆ อีกสองสามคน ผู้อาวุโสและศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เมฆพเนจรต่างรู้เพียงชื่อของเฉินซีเท่านั้น ส่วนรูปลักษณ์ของเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์สายในและสายนอกของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรยังมีทั้งหมดถึงหนึ่งแสนคน
ดังนั้น ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ฮวาหงจะไม่รู้จักเฉินซี
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นใคร? กล้าสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าหรือ? ในเมื่อเจ้ากำลังรนหาที่ตาย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าสำเร็จ และจะเนรเทศเจ้าพร้อมกับสาวน้อยคนนี้ไปที่ยอดเขามังกรอเวจี เพื่อเป็นทาสที่เจ้าไม่อาจจากไปได้ตลอดชีวิต! ศิษย์ทั้งหลาย! ไปจับเจ้าเด็กคนนี้พร้อมกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และส่งพวกเขาไปที่ยอดเขามังกรอเวจีซะ!” ฮวาหงตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“รับทราบ!” ฝู่เจิ้งและศิษย์สายในอีกเจ็ดคนทะยานออกไปและแยกออกเป็นสองกลุ่ม สามคนกระโจนเข้าหามู่เหยา ในขณะที่อีกสี่คนกระโจนเข้าหาเฉินซี
เพียะ! เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ในชั่วพริบตา ทุกคนรู้สึกเพียงมีบางสิ่งแวบเข้ามาที่ดวงตาของพวกเขา และศิษย์สายในทั้งสี่ที่ได้กระโจนเข้าหาเฉินซีก็กระเด็นไปไกลกว่าสี่สิบจั้ง ราวกับว่าพวกเขาถูกทุบด้วยค้อนเหล็กขนาดมหึมา แก้มขวาของพวกเขาทั้งหมดล้วนปูดบวม ปากของพวกเขากำลังกระอักเลือด และต่างก็นอนกองกับพื้นขณะที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ในอีกด้านหนึ่ง เหยียนชิงหนี่ก็เคลื่อนไหวอย่างไม่เกรงกลัว และยืนขวางอยู่ต่อหน้ามู่เหยา นางเป็นคนที่ฉลาดเฉลียว ดังนั้นจึงสามารถแยกแยะระหว่างข้อดีและข้อเสียได้โดยธรรมชาติ ในขณะนี้ การยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินซีย่อมมีแค่ประโยชน์อย่างยิ่ง
ในขณะที่เหยียนชิงหนี่ยืนอยู่ต่อหน้ามู่เหยา ศิษย์สายในทั้งสามคนก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าในทันที ทว่าสถานะของพวกเขาก็ชัดเจนแล้ว พวกเขาเป็นเพียงศิษย์สายใน ในขณะที่เหยียนชิงหนี่เป็นศิษย์ชั้นยอด พวกเขาจะกล้าลงมือต่อต้านศิษย์ชั้นยอดได้อย่างไร?
“บังอาจ! เจ้ากล้าทำร้ายศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร โทษของเจ้าไม่สามารถให้อภัยได้! ไม่มีผู้ใดที่สามารถห้ามข้าฆ่าคนได้แล้วในตอนนี้!” ฮวาหงตะโกนออกมาอย่างเย็นชา เจตนาฆ่าที่รุนแรงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที จากนั้นปลายเท้าของเขาก็เหยียบลงบนพื้น ทำให้ร่างกายของเขาเป็นดั่งลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู ทะยานเข้าหาเฉินซีอย่างรุนแรงราวกับระเบิด
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร การบ่มเพาะของฮวาหงได้บรรลุไปสู่ขอบเขตจุติเมื่อปีที่แล้ว เมื่อเขาโจมตีในตอนนี้ มันก็เหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา และทั้งร่างกายของเขาก็ปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวและรุนแรงออกมา ซึ่งบดขยี้พื้นที่โดยรอบจนเกิดเสียงขึ้น ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกหายใจไม่ออกและรู้สึกเหมือนมีเนินเขากดทับอยู่ ทำให้พวกเขาแทบกระอักเลือดและขาดอากาศหายใจ
“ไอ้โง่! หยุดมือซะ!” ในขณะนี้ มีเสียงตะโกนที่ดังก้องราวกับระเบิด ซึ่งแฝงไปด้วยพลังและอำนาจอันไร้ขอบเขต ดั่งเสียงของฟ้าร้องที่ดังกึกก้องไปทั่วสวรรค์และโลก