บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 178 ขุมสมบัติของเฉียนหยวน
บทที่ 178 ขุมสมบัติของเฉียนหยวน
‘กระบวนท่ากระบี่สวินแห่งวายุ’ เป็นกระบวนท่าที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงมากมายและเป็นอิสระเสรีดั่งสายลม ยามที่มันอ่อนโยนก็เหมือนกับดอกฝ้ายที่ปลิวผ่านมวลเมฆ แต่ยามที่มันรุนแรง พลังของมันสามารถแบ่งแยกทะเลออกจากกันหรือบดขยี้ภูผาให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีสิ่งใดในโลกและสวรรค์ที่จะเทียบเคียงได้
เมื่อครั้งที่เฉินซียังอยู่ที่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เขาได้หยั่งรู้ถึงเต๋าแห่งสายลมอย่างถ่องแท้แล้ว ในขณะนี้ เมื่อรวมเข้ากับกระบี่สวินแห่งวายุอย่างสมบูรณ์แบบ พลังของมันก็เพียงพอที่จะทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างง่ายดาย
นี่มันเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมที่สมบูรณ์แบบหรือ?
ดวงตาซึ่งเผยให้เห็นถึงการดูถูกของเซวี่ยเฉินหรี่ลง การโจมตีเช่นนี้ยังคงต่ำชั้นมากสำหรับเขา ชายหนุ่มจึงยืนหยัดอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว เนื่องจากปราณที่สะสมอยู่ในฝ่ามือของเขานั้นหนาแน่นและเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาแค่รอให้เฉินซีก้าวมาข้างหน้า จากนั้นจะทุบเฉินซีให้ตายในทีเดียว!
เห็นได้ชัดว่าเซวี่ยเฉินมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองเป็นอย่างมาก
ทว่ามันกลับเหนือความคาดหมายของเขา เฉินซีที่ถูกปกคลุมด้วยเงากระบี่นับไม่ถ้วน ไม่ได้พุ่งเข้ามาโจมตีเขา แต่กลับเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันเมื่อมาถึงครึ่งทางและทะยานจากไปในระยะไกล
หวืด!
เคล็ดวาตะเหินทะยานที่ถูกใช้โดยเฉินซี ได้หลอมรวมเข้ากับเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาของเขา ทำให้ร่างกายทั้งหมดของเขาดูเหมือนภูตผีโปร่งแสง ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เซวี่ยเฉินไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็คว้าค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกที่อยู่บนพื้น แล้วโยนมันเข้าไปในมิติภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ก่อนที่จะหันหลังกลับไป และพุ่งทะยานอย่างรุนแรงเข้าไปในป่า!
ตั้งแต่การใช้กระบวนท่า ‘กระบี่สวินแห่งวายุ’ ไปจนถึงการจัดการกับค้างคาวมังกรโลหิตหกปีก หรือการหลบหนีออกไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขาราบรื่นดั่งเมฆที่เคลื่อนตัวและสายน้ำที่หลั่งไหล ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วของเฉินซีก็รวดเร็วเป็นอย่างมาก จนอาจถือได้ว่าเป็นขีดจำกัดที่เฉินซีจะสามารถบรรลุได้
อันที่จริง เฉินซีไม่เคยคิดที่จะปะทะเซวี่ยเฉินเลยตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะต่อสู้ก้าวข้ามสองขอบเขตการบ่มเพาะ เพื่อสังหารเซวี่ยเฉินโดยอาศัยความแข็งแกร่งของตนในปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เฉินซีจะต่อสู้กับคนผู้นี้เพราะถ้าดื้อรั้น แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เขาจะต้องสูญเสียค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกไป และนั่นจะทำให้เขาต้องสูญเสียมากกว่าการที่เขาจะได้รับกลับคืนมาอย่างแน่นอน
ทันทีที่พวกเขาได้เริ่มการต่อสู้ เฉินซีได้ตัดสินใจหนีตั้งแต่แรกแล้ว!
“บัดซบ! ไอ้หนู เจ้าไม่รอดแน่! เดิมทีข้าตั้งใจจะฆ่าเจ้าอย่างตรงไปตรงมา และให้โอกาสเจ้าได้ตอบโต้บ้าง แต่เจ้ากลับไม่รักษาโอกาสเช่นนั้นเอาไว้ ดูท่าข้าคงจะต้องบดขยี้เจ้าและชิงค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกกลับคืนมาเสียแล้ว!” ไม่ว่าการบ่มเพาะของเซวี่ยเฉินจะสูงส่งเพียงใด เขาก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าอีกฝ่ายที่ดูเหมือนมดปลวกคนนี้จะไร้ยางอายได้ขนาดนี้ เซวี่ยเฉินเย้ยหยันขณะที่เขาไล่ตามเฉินซีในทันที
ในขณะนี้ สหายอีกคนของเซวี่ยเฉินกำลังเดือดดาลด้วยความโกรธขณะที่เขาทะยานเข้ามา และกล่าวด้วยสีหน้ามืดหม่น “บัดซบ! เซวี่ยเฉิน เจ้าเด็กคนนั้นก็หนีไปเช่นกันหรือ?”
“หนีหรือ? หึ เขาจะรอดไปจากเงื้อมมือของข้าได้อย่างไร? ข้าสามารถบดขยี้มดปลวกที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลให้ตายได้อย่างง่ายดาย!” เซวี่ยเฉินหัวเราะเยาะดังก้อง “ศิษย์พี่เผยจง โปรดรอสักครู่ ค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกนั้นจะต้องเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน!”
“ฮึ่ม! ข้าหวังว่ามันจะเป็นอย่างที่เจ้าพูดนะ” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า เผยจง คำรามอย่างเย็นชาและไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ทันใดนั้น ทั้งสองก็พุ่งตรงเข้าไปในป่าที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้อย่างรวดเร็ว
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป เซวี่ยเฉินและเผยจงก็ได้หยุดอยู่ที่พื้นที่โล่งในส่วนลึกของป่า
“บัดซบเอ๊ย! กลิ่นอายของไอ้เจ้าเด็กนั่นได้หายไปจากจุดนี้ และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ข้าก็หามันไม่เจอ” สีหน้าของเซวี่ยเฉินค่อนข้างซีดเซียว เนื่องจากเขาได้ใช้ปราณแท้ไปมหาศาลเพื่อค้นหาเฉินซี แต่กลับไม่สัมผัสถึงร่อยรอยของอีกฝ่ายในระแวกรอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะจับเจ้าเด็กคนนั้นง่ายดายเหมือนล้วงของออกจากกระเป๋าได้อย่างไร? ช่างน่าสมเพช! เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลาง แต่กลับไม่สามารถจัดการกับเจ้าเด็กคนนั้นที่เป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้เลยหรือ?” เผยจงตะคอกเย็นชาและน้ำเสียงของเขาก็แสดงความไม่พอใจอย่างมาก
“ศิษย์พี่ เจ้าเด็กนั่นมันเจ้าเล่ห์เกินไป แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของมันจะแค่ขอบเขตตำหนักอินทนิล แต่มันก็ได้บรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมได้อย่างถ่องแท้ และทักษะการเคลื่อนไหวของมันก็ล้ำลึกเป็นอย่างมากเช่นกัน ข้าเกรงว่ามันจะหนีไปแล้วจริง ๆ” ใบหน้าของเซวี่ยเฉินแปรผันไปมาขณะที่เขากล่าว การปล่อยให้มดปลวกที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลหลบหนีจากเงื้อมมือของเขาได้นั้น มันเป็นสิ่งน่าละอายเกินไปจริง ๆ
“แล้วไปเถอะ! ดูเหมือนว่าเราคงไม่มีชะตาร่วมกับค้างคาวมังกรโลหิตหกปีก เดิมทีข้าคิดว่าจะได้รับผลึกแก่นอสูรของมันเพื่อช่วยเจ้าในการบรรลุสู่ระดับขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้กลับทำได้เพียง…” เผยจงถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ตอนนี้เรากลับทำได้เพียงเดินทางไปยังห้วงทะเลทรายมรณะเท่านั้น!”
เมื่อเซวี่ยเฉินได้ยินถึงคำว่าห้วงทะเลทรายมรณะก็ถอนหายใจเช่นกัน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ห้วงทะเลทรายมรณะนั้นน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ แต่ถ้าข้าสามารถบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบระหว่างอยู่ภายในนั้นได้ ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถติดอยู่ในสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง ที่จะจัดขึ้นในอีกห้าปีนับจากนี้ได้ มิฉะนั้น หากอาศัยการบ่มเพาะของข้าในปัจจุบัน เกรงว่าข้าเองก็อาจจะไม่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรกอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เผยจงส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เท่าที่ข้าทราบมา นอกจากผู้บ่มเพาะจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของเราแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์ของนิกายต่าง ๆ ในที่ราบตอนกลางก็ได้มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะเช่นกัน ในแง่หนึ่ง มันคือการขัดเกลาความแข็งแกร่งของพวกเขา เพื่อเตรียมการสำหรับการชุมนุมดาวรุ่งที่จะจัดขึ้นในอีกห้าปีนับจากนี้ และมันก็เป็นการค้นหาเบาะแสของขุมสมบัติอีกด้วย”
“เบาะแสของขุมสมบัติหรือ?”เซวี่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ตามคำทำนายของผู้อาวุโสของนิกายเรา ขุมสมบัติในตำนานของเฉียนหยวน จะปรากฏขึ้นในห้วงทะเลทรายมรณะในอนาคตอันใกล้นี้ ขุมสมบัตินี้เป็นสิ่งที่เซียนสวรรค์ได้หลงเหลือไว้ และมันได้กักเก็บสมบัติมหัศจรรย์นับไม่ถ้วนที่มีอยู่ในสวรรค์และโลกเอาไว้ อีกทั้งยังมีมรดกของผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ที่เยี่ยมยุทธ์ ดังนั้น ผู้อาวุโสในนิกายจึงสั่งให้เราทั้งคู่ เดินทางไปที่ห้วงทะเลทรายมรณะเพื่อพิสูจน์ว่าคำทำนายเป็นเรื่องจริงหรือไม่” เผยจงกล่าวช้า ๆ
“เหตุใดข้าถึงไม่ได้ข่าวคราวใด ๆ เลย” เซวี่ยเฉินจ้องมองอย่างเหม่อลอยขณะกล่าวคำ
“เรื่องนี้เป็นเพียงการคาดเดาของผู้อาวุโส และความไม่แน่นอนของมันก็มีมากเกินไป ดังนั้นเจ้ารู้แล้วจะทำอะไรได้บ้าง? เจ้าควรจะรู้ความจริงข้อนี้ดีไม่ใช่หรือ?” เผยจงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “จำไว้ มนุษย์ตายเพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง เช่นเดียวกับนกที่ตายในการแสวงหาอาหาร จุดประสงค์ที่เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะนั้น ก็เพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งของเจ้า ส่วนขุมสมบัติของเฉียนหยวน หากเรามีชะตาต้องกับมันและได้รับมาก็คงเป็นการดี แต่ถ้าเราไม่มีชะตาต้องกับมัน ก็อย่าได้ฝืนเก็บเอามาใส่ใจ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้า”
“คำสอนของศิษย์พี่นั้นถูกต้อง” เซวี่ยเฉินพยักหน้ารับ แต่แววตาของเขาก็ปรากฏความไม่เห็นพ้องอย่างเลือนราง
“ไปกันเถอะ เราไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป ศิษย์พี่หญิงชิงซิ่วอี้อาจมาถึงห้วงทะเลทรายมรณะแล้วและกำลังรอคอยพวกเราอยู่” ทันทีที่เผยจงกล่าวจบ เขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งไปสู่เส้นขอบฟ้า
‘ศิษย์พี่หญิงชิงซิ่วอี้?’ ร่างที่สง่าและงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ปรากฏขึ้นในใจของเซวี่ยเฉิน ทำให้หัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะเต้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็ทะยานจากไปเช่นกัน
“ที่แท้ เจ้าสองคนนี้เป็นศิษย์ของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์จากที่ราบตอนกลางนี่เอง…” ไม่นานหลังจากที่เซวี่ยเฉินและเผยจงได้จากไป มีร่างหนึ่งได้กระโดดลงมาจากต้นไม้สูงที่อยู่ด้านข้างของพื้นที่โล่ง และร่างนั้นก็คือเฉินซีนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้วิชารัศมีไร้ร่องรอยเพื่อปกปิดกลิ่นอายของเขา ดังนั้น เว้นแต่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะที่สามารถควบแน่นจิตสัมผัสเทพของเขา มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตเห็นเฉินซีได้ ด้วยเหตุนี้เองที่เขาสามารถหลบหนีจากการค้นหาของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสองคน ซึ่งคือเซวี่ยเฉินและเผยจงนั่นเอง
การซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ทำให้เฉินซีได้ยินการสนทนาระหว่างเซวี่ยเฉินกับเผยจงได้อย่างชัดเจน และรู้สึกพูดไม่ออกในขณะที่เขาครุ่นคิด
ตามที่เผยจงได้กล่าวไว้ บรรดาศิษย์จากนิกายแห่งที่ราบตอนกลางได้ใช้ห้วงทะเลทรายมรณะเป็นสถานที่ฝึกฝนเพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งและเตรียมการสำหรับเข้ารว่มการชุมนุมดาวรุ่งซึ่งจะจัดขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า ‘ดูเหมือนว่าตอนที่ข้ามุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะนั้น ไม่เพียงแต่ต้องระวังภัยจากธรรมชาติ แต่ยังต้องคอยระวังภัยจากผู้คนด้วย’
แต่ในตอนนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเฉินซี คือมีขุมสมบัติที่เซียนสวรรค์ได้เหลือทิ้งไว้เบื้องหลังกำลังจะปรากฏในห้วงทะเลทรายมรณะในอีกไม่ช้า ‘ถ้าข่าวนี้เป็นเรื่องจริง หรือว่าข้าควรไปที่นั่น เผื่ออาจจะได้รับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มากมายของเซียนดูดีไหมนะ?’
อาจถือได้ว่าเฉินซีเองนั้น ก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเสี่ยงโชคของตัวเองและค้นหาทรัพย์สมบัติของเซียนมาตั้งนานแล้ว เมื่อครั้งที่เขาได้เข่นฆ่าซูเหลิ่งที่สุสานกระบี่แดนนิพพาน ทำให้เขาได้ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารามาจากซูเหลิ่ง และมันสามารถทลายกำแพงมิติของสถานที่ต่าง ๆ เช่น แดนเร้นลับและที่พำนัก หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ไม่เคยใช้มันเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงทำให้เขารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก
“สองคนนั้นได้จากไปแล้วหรือ” หลิงไป๋กระโจนออกมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ และตบท้องน้อย ๆ ของเขาขณะที่ปล่อยเสียงเรอออกมาดัง “เอิ้ก”
เฉินซีพยักหน้ารับ จากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างออก และร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เจ้าคงไม่ได้กินค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกไปใช่ไหม?”
หลิงไป๋พยักหน้า “เป็นงานเลี้ยงที่เอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ข้าเกือบจะเมามายจากปราณวิญญาณที่อยู่ในนั้นแล้ว อ๊ะ ไม่ได้การ ข้าต้องกลับไปบ่มเพาะและทุ่มเทที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเสียก่อน”
มุมปากของเฉินซีกระตุกอย่างรุนแรง และในใจของเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกนั่น คือสัตว์ร้ายจากยุคบรรพกาลที่สามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์และเกือบจะกลายเป็นร่างมนุษย์ ดังนั้นตัวตนของมันจึงถือว่าเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แต่มันกลับถูกเจ้านี่กินเสียเกลี้ยงเลยเนี่ยนะ?
“เจ้าโกรธหรือ?” หลิงไป๋กะพริบตา
เฉินซีกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “แล้วเจ้าคิดอย่างไรล่ะ”
“เจ้าตั้งใจจะไม่ย่างเนื้อให้ข้าอีกแล้วหรือ?” หลิงไป๋เอ่ยถาม
เฉินซียังคงมีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกขณะที่เขากล่าวว่า “เจ้าคิดอย่างไรล่ะ”
“ข้าแค่ล้อเล่น ข้าเก็บผลึกแก่นอสูรของสัตว์ร้ายตัวนั้นไว้ให้เจ้า”
“…”
“ทำไมเจ้าไม่กล่าวอะไรออกมาเลย” ไป๋หลิงถามด้วยท่าทางร้อนรน
“ในอนาคต… อย่าได้ล้อเล่นเช่นนี้กับข้าอีก!” น้ำเสียงของเฉินซีดูเหมือนกับว่าถูกรีดออกมาจากรอยแยกระหว่างฟัน และเขาก็จ้องเขม็งไปที่เจ้าตัวเล็กคนนี้ที่เรียนรู้ทุกอย่างยกเว้นแต่เรื่องที่ดี
หลิงไป๋ยิ้มกว้างขณะที่เขาพลิกฝ่ามือ ก็มีผลึกแก่นอสูรปรากฏขึ้นบนนั้น
ผลึกแก่นอสูรนั้นเป็นสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟที่มีพื้นผิวคล้ายกับโปร่งแสง ขณะที่แก่นแท้บริสุทธิ์จำนวนมหาศาลกำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในนั้น และเฉินซียังพบเห็นค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกกู่ร้องและเวียนว่ายไปมาอยู่ภายในอย่างเลือนราง
ตุ้บ! ตุ้บ!
ผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกนี้ เปล่งเสียงดังเหมือนการเต้นของหัวใจ และมันดำเนินไปตามจังหวะของชีวิตและเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
“ข้าได้ขัดเกลาผลึกแก่นอสูรนี้ให้แก่เจ้าแล้ว หลังจากที่เจ้าได้กินมัน ข้ารับประกันได้เลยว่าเจ้าจะสามารถพัฒนาการบ่มเพาะปราณของเจ้าบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างแน่นอน” ขณะที่หลิงไป๋กล่าว ก็ได้โยนผลึกแก่นอสูรออกไป
เฉินซีรีบคว้ามันไว้ในมืออย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็จ้องไปที่หลิงไป๋ “ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า”
“เอาล่ะ เอาล่ะ รีบไปบ่มเพาะซะ ข้าจะไปเล่นกับไป๋คุยดีกว่า” หลิงไป๋โบกมือก่อนจะหายตัวไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เมื่อพวกเขากำลังหนีจากภูเขาสีเลือดนั้น หลิงไป๋ก็พาไป๋คุยออกมาเช่นกัน
แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือ ไป๋คุยได้พบกับค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกก่อน และมันต้องการฉวยโอกาสตอนที่ค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกกลายร่าง เพื่อจะกลืนกินผลึกแก่นอสูรของมัน ทว่าตอนนี้กลับเป็นประโยชน์ต่อเฉินซีไปโดยปริยาย
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีไม่อาจละเว้นจากการถอนหายใจได้ “เจ้าไป๋คุยนี่สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นสัตว์มงคลชั้นยอดท่ามกลางสวรรค์และโลก ไม่ว่ามันจะไปที่ใดก็สามารถนำโชคลาภมหาศาลมาให้แก่ข้าได้”
โดยไม่รอให้เสียเวลาอีกต่อไป เฉินซีก็ได้พบสถานที่ลับภายในป่าและตั้งค่ายกลป้องกันก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิ จากนั้นเขาก็กินผลึกแก่นอสูรของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกเข้าและเริ่มโคจรการบ่มเพาะ เพื่อที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำ!