บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 188 เซี่ยวจวิน
บทที่ 188 เซี่ยวจวิน
ท่ามกลางการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หานไป๋และผู้อาวุโสของตระกูลหานที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นทั้งสามคน มีสองคนถูกเฉินซีลอบสังหาร ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือล้วนเสียชีวิตจากการถูกหลิงไป๋โจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต เฉินซีก็ได้เก็บรวบรวมแกนทองคำของพวกเขาเอาไว้
ในขณะนี้ แกนทองคำทั้งสี่ลูกได้ถูกใช้งานโดยหลิงไป๋ผ่านเคล็ดวิชาลับ และแกนทองคำทั้งสี่นั้นประสานการทำงานจากระยะไกลเพื่อสร้างมหาค่ายกลนิพพาน มันเหมือนกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสีทองพร่างพรายซึ่งสะกดทั้งสี่ขั้วของสวรรค์และโลก และถูกสร้างขึ้นภายในเขตแดนเต๋าแห่งการสังหาร ไม่เพียงกักขังตัวอักษร ‘ฆ่า’ ที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น แต่มันยังปิดล้อมหานกู่เยว่ไว้ภายในค่ายกลอีกด้วย
‘บัดซบ! ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรว่า เจ้าตัวเล็กที่สูงเพียงครึ่งฉื่อก็ทรงพลังเช่นกัน แต่ข้ากลับมองข้ามการมีอยู่ของมัน… หากค่ายกลที่ก่อตัวขึ้นจากแกนทองคำทั้งสี่ถูกจุดชนวนขึ้นแล้วละก็…’ ทันใดนั้น ความคิดของหานกู่เยว่ก็สับสนอลหม่าน เนื่องจากความหวาดกลัวสูงสุดเกิดขึ้นในใจของเขา
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
เมื่อความคิดของหานกู่เยว่โลดแล่น และเขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แกนทองคำทั้งสี่ก็เปล่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นในทันทีทันใดราวกับว่าพวกมันถูกบดด้วยหินโม่ ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ข้างหูของเขา น้ำเสียงนี้มีแฝงด้วยคำที่เรียบง่าย และคำนั่นก็คือ “ระเบิด!”
คำนี้เป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ทำให้หานกู่เยว่ได้สติขึ้นมา
ในเวลาเช่นนี้ เขาจะกล้าลังเลต่อไปได้อย่างไร? จากนั้นเขาก็รีบโคจรปราณแท้ของตัวเองอย่างดุเดือด เพื่อระดมการบ่มเพาะทั้งหมดของเขา ในขณะที่เขาถือเคียวแห่งการสังหารด้วยความมุ่งมั่นที่จะฝ่าแสงสีทองส่องประกายที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ ในเวลาเดียวกัน สมบัติวิเศษประเภทป้องกันจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายเขา และทุก ๆ ชิ้นก็อยู่ในระดับปฐพีและอาบไปด้วยแสงสมบัติอันเจิดจ้าขณะที่พวกมันปล่อยกลิ่นอายต่าง ๆ ออกมา
ทว่ามันกลับสายเกินไปแล้ว!
มหาค่ายกลนิพพานนั้นเป็นค่ายกลประเภทกักขัง ซึ่งเป็นค่ายกลขนาดมหึมาที่นิกายกระบี่นิพพานโบราณเคยใช้เพื่อสยบเสาทั้งสี่ ในขณะนี้ เมื่อหลิงไป๋ใช้แกนทองคำทั้งสี่เป็นรากฐานของค่ายกล แม้ว่าเขาจะสามารถใช้ประสิทธิภาพของมันได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วน แต่ก็เพียงพอที่จะกักขังหานกู่เยว่ได้ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ และในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ แกนทองคำทั้งสี่ได้ถูกจุดชนวนโดยหลิงไป๋ผู้วางแผนเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว
ตู้ม!
ทันใดนั้น พลังทำลายล้างที่ไม่มีใครเทียบได้ทั้งสี่พลันระเบิดขึ้นเหนือหัวของหานกู่เยว่ อานุภาพของมันราวกับภูเขาไฟสี่ลูกที่ปะทุอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงระเบิดโครมครามซึ่งน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
แกนทองคำในร่างกายของผู้บ่มเพาะเป็นรากฐานของสวรรค์และโลก ซึ่งผู้บ่มเพาะต่างก็ต้องใช้เพื่อบรรลุสู่มหาเต๋า และการบ่มเพาะทั้งหมดจะถูกหลอมรวมอยู่ภายในนั้น ดังนั้น มันจึงเหมือนกับถังดินปืนที่ต้องการประกายไฟเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะก่อให้เกิดพลังทำลายล้างที่สามารถทำให้ท้องฟ้าพังทลาย แผ่นดินแตกสลาย ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดดับลง
โดยปกติแล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่แกนทองคำของผู้บ่มเพาะจะถูกแย่งชิงไป เพราะพลังทำลายล้างนั้นน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก จนแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติก็ยังต้องหลีกเลี่ยงมันราวกับมันเป็นโรคระบาด
แน่นอนว่า แกนทองคำของผู้บ่มเพาะบางคนอาจจะแย่งชิงมาจากผู้อื่น แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถระเบิดมันได้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้มันขัดเกลาสมบัติวิเศษที่น่าทรงอานุภาพหรือกลั่นเป็นเม็ดยาเพื่อใช้กับตัวเอง และสิ่งเหล่านี้ที่สกัดจากแกนทองคำยังให้ผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่อาจหยั่งรู้อย่างไร้ขอบเขต
แต่ในขณะนี้ เพื่อปกป้องชีวิตของเฉินซีและตัวเขาเอง หลิงไป๋จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้แกนทองคำเหล่านี้เพื่อฝ่าฟันจากสถานการณ์การต่อสู้อันสิ้นหวัง อีกทั้งมันก็ไม่ใช่แกนทองคำของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกเจ็บปวด
ตู้ม!
บรรยากาศโดยรอบในขณะนั้น เหมือนกับภูเขาพังทลายและคลื่นยักษ์ที่ถาโถม สวรรค์และโลกก็แตกสลาย ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทางด้วยแรงระเบิด ไม่ว่าพลังทำลายจะผ่านไปที่ใด เขตแดนเต๋าแห่งการสังหารจะแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที ก่อนที่มันจะพุ่งออกไปโดยรอบ ทำให้ต้นไม้ยักษ์ที่สูงตระหง่านมากมายกลายเป็นผุยผงและถูกแผดเผาจนหวนคืนสู่ความว่างเปล่า แม้แต่แนวภูเขาที่ทอดยาวออกไปก็ยังถูกระเบิดจนเกิดเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ที่น่าตกตะลึงอยู่มากมาย
แรงระเบิดก่อให้เกิดมวลเมฆรูปเห็ดที่ม้วนตัวอย่างรุนแรงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าโดยมีหานกู่เยว่เป็นศูนย์กลางของแรงระเบิด
ภายใต้การระเบิดที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้สวรรค์และโลกมืดสลัวแทบจะทันที ส่วนหานกู่เยว่นั้นทำได้เพียงร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชและไม่ยินยอม ก่อนที่สมบัติวิเศษระดับปฐพีบนร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนร่างของเขาไม่เหลือซาก แม้แต่พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ยังถูกแรงระเบิดจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนไร้ก้นบึ้ง ฝุ่นผงฟุ้งกระจายไปในอากาศและเปลวควันลอยล่องสู่ท้องฟ้า ทำให้สภาวะเช่นนี้ ราวกับเป็นจุดจบของโลกได้มาถึงแล้ว!
แกนทองคำทั้งสี่ถูกประสานเข้าด้วยกัน และพลังทำลายล้างที่พวกมันได้ระเบิดออกมานั้นมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง!
“มันตายแล้วหรือ?” ทันทีก่อนที่จะระเบิดแกนทองคำ หลิงไป๋ได้พาเฉินซีพุ่งทะยานไปยังระยะไกลอย่างบ้าคลั่ง ในขณะนี้ พวกเขายืนอยู่ห่างออกไปราวสองลี้ แต่กระแสลมที่รุนแรงดั่งใบมีดยังคงเฉือนใบหน้าพวกเขาจนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย และพลังการระเบิดของแกนกลางทองคำนั้นจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใดก็สามารถพิสูจน์ได้จากสิ่งที่เกิดเช่นนี้
“หึ! พลังทำลายล้างของแกนทองคำทั้งสี่ที่ระเบิดออกมาสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังต้องบาดเจ็บสาหัส แล้วจะไปนับประสาอะไรกับแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นมันจะต้องตายอย่างแน่นอน” หลิงไป๋กล่าวอย่างมั่นใจ
“แต่เจ้าเฒ่าบัดซบนั่นก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี ข้าชักสงสัยแล้วว่าเหล่าศิษย์อัจฉริยะที่จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งของราชวงศ์ซ่งในอีกห้าปีต่อจากนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงใด” หลังจากประสบกับการต่อสู้ครั้งนี้ ในที่สุด เฉินซีก็ได้สัมผัสกับพลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“เฉินซี ตัวเจ้าทรงพลังยิ่งกว่าเขาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสุนัขแก่ตัวนั้นอาศัยเคียวสมบัติวิเศษ การเข่นฆ่ามันโดยใช้กำลังของเจ้าก็ง่ายเหมือนการเชือดไก่” หลิงไป๋กล่าวด้วยรอมยิ้มที่แทบฉีกถึงใบหู
เฉินซีไม่เห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ทั้งหมด เนื่องจากเขาฝึกฝนทั้งการแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะลมปราณ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ฝึกฝนคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบจนสามารถก้าวข้ามขอบเขตเพื่อฆ่าศัตรูที่มีการบ่มเพาะเหนือกว่าเขา ทว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็ครอบครองสมบัติวิเศษที่ทรงพลังและมีความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านี้ ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่โหดร้ายและป่าเถื่อน จะมีผู้ใดต่อสู้อย่างโง่เขลาโดยอาศัยการบ่มเพาะของตัวเองเพียงอย่างเดียวกัน?
“ไปเอาเคียวสมบัติวิเศษกันเถอะ! ข้าอยากรู้ว่ามันเลิศเลออย่างไร จึงทำให้เจ้าสุนัขแก่ใช้มันเพื่อสร้างเขตแดนเต๋าได้” หลิงไป๋สะกิดเฉินซี และต้องการที่จะบินไปยังจุดที่หานกู่เยว่ล้มตาย
“ช้าก่อน! ดูนั่นสิ!” สายตาของเฉินซีกวาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจและสังเกตเห็นว่ามีร่างสองร่างยืนอยู่บนยอดเขาที่ห่างไกล
…
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารของท่านพ่อจึงระเบิดออกมา อ่า มันช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ!”
“ช้าก่อน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังที่เกิดจากการระเบิดของแกนกลางทองคำ…”
“ฮะ เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเด็กคนนั้นมีการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น และไม่มีแม้แต่แกนทองคำเสียด้วยซ้ำ มันจะระเบิดแกนทองคำได้อย่างไร”
“ใช่ ข้าเองก็คิดไม่ออกเช่นกัน”
“หึ ไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันมากนัก ในเมื่อท่านพ่อได้ลงมือแล้ว เจ้าเด็กนั่นจึงไม่มีทางหนีจากความตายไปได้ เฮ้อ แต่ข้าหวังว่าท่านพ่อจะไม่ฆ่ามัน แต่กลับทำให้การบ่มเพาะของมันต้องพิการและดึงจิตวิญญาณของมันออกมา เพื่อที่จะให้มันต้องทนทุกข์ทรมานจากเปลวเพลิงพิษที่คอยทรมานอย่างไม่รู้จบไปทั้งวันทั้งคืนและไม่สามารถเกิดใหม่ได้ตลอดไป! ฮึ่ม! คนที่ทำให้นายน้อยผู้นี้ต้องขุ่นเคือง มันจะต้องพบกับจุดจบที่น่าสยดสยอง!”
บนยอดเขาที่ห่างไกลโพ้น ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมองดูเมฆรูปเห็ดที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความตกตะลึงและอุทานอย่างไม่สิ้นสุด ชายหญิงคู่นี้ย่อมคือ หานเหวินจวินและสาวใช้เซี่ยวจวิน เมื่อหานกู่เยว่สำแดงเขตแดนเต๋าแห่งการสังหาร เขาได้ส่งทั้งสองคนออกไป แต่พวกเขาทั้งสองคนกลับไม่เต็มใจที่จะจากไปและรั้งรอผลลัพธ์ของการต่อสู้อยู่เงียบ ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย และจิตใจของพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“เป็นเพราะคำพูดของเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะรอดพ้นจากหายนะในวันนี้!” ในขณะนี้ เฉินซีเป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านในขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของคนสองคนอย่างรวดเร็ว และสายตาของเขาก็กวาดผ่านพวกเขาอย่างเย็นชาก่อนที่จะร่อนลงมายังหานเหวินจวิน
“เจ้า… เจ้า… เจ้ายังไม่ตาย!?” ทันใดนั้นรูม่านตาของหานเหวินจวินก็ขยายออก ขณะที่เขาร้องออกมาด้วยเสียงที่เสียดหูอย่างน่าสยดสยอง และท่าทางของเขาก็ดูเหมือนกับว่าพบเจอภูตที่น่าสะพรึงกลัว
“ถ้าข้าตายไปแล้ว ข้าจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าได้อย่างไร? หลิงไป๋ฆ่ามันซะ!” เฉินซีสั่งอย่างเลือดเย็น เขาเกลียดเจ้าสวะที่เย่อหยิ่ง จองหอง และมีจิตใจมุ่งร้ายตัวนี้เป็นอย่างมาก ถ้าเขาไม่ถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด บางทีเขาอาจสร้างปัญหาให้กับเฉินซีในภายภาคหน้า
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ผู้บ่มเพาะของตระกูลหานของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป เจ้า เจ้า…” หานเหวินจวินหวาดกลัวจนถึงขั้นที่จิตวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง เขาร้องและคำรามเสียงดังลั่น และกำลังจะหลบหนี แต่แสงเย็นเยียบกลับเคลื่อนตามหลังเขาอย่างรวดเร็ว และพุ่งทะลุลำคอของเขาจากทางด้านหลัง ทำให้เขาเสียชีวิตในทันที!
“เจ้าสุนัขโสโครก ฝีมือต่ำทรามแต่กลับทำตัวเย่อหยิ่ง เจ้าสมควรตายแล้ว!” หลิงไป๋ถ่มน้ำลายด้วยความดูถูกเหยียดหยาม และเพียงโบกมือ ถุงร้อยสมบัติของหานเหวินจวินก็ลอยมาอยู่ในมือเขาแล้ว
เมื่อนางเห็นวิธีการที่เด็ดขาดของหลิงไป๋ในการฆ่าหานเหวินจวิน สาวใช้เซี่ยวจวินพลันหน้าซีดลงทันที แต่นางก็ไม่กล้าทำผลีผลามและกล่าวด้วยความกลัวอย่างสุดขีด “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ นายท่าน โปรดเมตตาและไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ารับประกันว่าจะไม่บอกใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”
“โอ้ เจ้าเป็นสาวใช้จริง ๆ หรือ” สายตาของเฉินซีนั้นลึกล้ำยิ่งนักในขณะที่เขาจดจ้องไปที่เซี่ยวจวินอย่างแน่วแน่
“ข้า… ข้าจะมีตัวตนอื่นได้อย่างไร” เซี่ยวจวินรู้สึกลอบสะดุ้งตกใจ แต่นางก็กล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้กลับน่าเกลียดยิ่งกว่ายามร่ำไห้
“ถ้าเจ้ายังเสแสร้งอีกต่อไป ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้” เฉินซีกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่สุขุม แต่ผู้ฟังกลับสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่าภายในคำพูดของเขา
“หยุดเสเเสร้งได้แล้ว นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเช่นเจ้า กลับคิดว่าจะหลอกลวงผู้คนด้วยความสามารถอันน้อยนิดเช่นนี้หรือ? ข้าจะฆ่าเจ้าทันทีหากเจ้ายังไม่สารภาพออกมา!” หลิงไป๋รู้สึกหมดความอดทน จึงกล่าวด้วยเจตนาฆ่าที่พลุ่งพล่าน คนตัวน้อยผู้นี้ดุร้ายยิ่งกว่าเฉินซีเสียอีก และเขาไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังต้องการที่จะทำลายล้างนางอย่างไร้ความปรานีแทบจะทันที
ใบหน้าของเซี่ยวจวินซีดเผือดลงอย่างน่าสยดสยองขณะที่นางกล่าวด้วยความตกใจว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นใคร? เจ้ารู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเราได้อย่างไร? นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตของข้าไม่เคยออกมาจากที่ซ่อนเป็นเวลานับสามพันปีแล้ว และข้าไม่เคยเปิดเผยตัวตนออกไป ดังนั้นเจ้าทั้งคู่จะจดจำข้าได้อย่างไร”
“ฮึ่ม! ในที่สุดเจ้าก็เผยหางออกมา ไม่ต้องกล่าวถึงการจดจำเจ้าได้ แม้แต่กองกำลังของเจ้าที่เมืองทะเลสาบมังกร ก็ถูกพวกเรากวาดล้าง! เศษกองขยะเช่นนั้นสมควรถูกเรียกว่าผู้บ่มเพาะของนิกายอสูรหรือ? มันช่างน่าขันจริง ๆ!” หลิงไป๋ยืนกอดอกแน่น ใบหน้าเล็ก ๆ ที่หล่อเหลาและเย็นชาของเขาฉายแววดูถูกเหยียดหยาม
“เมืองทะเลสาบมังกร… เจ้า เจ้าคือเฉินซี! ไอ้บัดซบที่ขโมยเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตของข้าไป! เจ้าทั้งคู่ถึงวาระที่จะตายแล้ว! รู้ตัวหรือไม่? ชื่อของเจ้าถูกป้อนในเทียบรายชื่อสังหารของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตของข้าแล้ว และยามที่นิกายของข้ากวาดล้างไปทั่วทั้งโลก เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่เจ้าต้องตาย!” เซี่ยวจวินร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เฉินซีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “กล่าวเสร็จแล้วหรือ? ถ้าเสร็จแล้วก็ตอบคำถามข้ามาซะ ใครเป็นผู้ครอบครองวิธีซ่อมแซมเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อยู่ตอนนี้? หากเจ้าตอบข้ามา ข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเจ้าจนพิการและจะปล่อยเจ้าไป”
“ฮ่า ๆ! แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าต้องรู้ว่าใครครอบครองมันอยู่ และไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอกเจ้า วิธีซ่อมแซมเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อยู่ในมือของหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ฟ่านอวิ๋นหลาน ตอนนี้นางอยู่ในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปหานางล่ะ” เซี่ยวจวินหัวเราะอย่างเย็นชา
เฉินซีไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสาวใช้คนนี้จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างง่ายดาย และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงขณะที่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘หัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ฟ่านอวิ๋นหลานหรือ? เนื่องจากนางสามารถเป็นหัวหน้าหมู่ตึกได้ ข้าเกรงว่านางจะเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งภายในนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต หรือว่าการที่สาวน้อยคนนี้บอกข้าอย่างง่ายดายเป็นเพราะนางตั้งใจจะยืมมีดเพื่อฆ่าคนและแย่งเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปจากข้า…’
“เฉินซี เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน! ฮ่า ๆ! ข้าจะแจ้งข่าวนี้ให้หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านทราบ ดังนั้นข้าคงอยู่กับเจ้าไม่ได้อีกต่อไป!” เซี่ยวจวินหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ขณะที่ร่างกายของนางกลายเป็นหมอกสีเลือดและทะยานออกไป เพียงชั่วพริบตา นางก็พุ่งห่างออกไปไกลถึงสองลี้แล้ว สิ่งนี้คือวิชาม่านหมอกโลหิตเพื่อใช้ในการหลบหนี ซึ่งต้องแลกกับการทำร้ายพลังชีวิตของตัวเอง!