บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 195 ชิงซิ่วอี้
บทที่ 195 ชิงซิ่วอี้
ตู้ม!!
เมื่อเฉินซีใช้ศิลาวิญญาณดาราที่มีอยู่จนหมดเกลี้ยง ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาก็อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์แบบที่สุด และอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าบนหลังของเขาก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นตำหนักอันตระการตาทั้งเก้า!
เพียงชั่วพริบตา ธาตุทั้งห้า หยิน หยาง สายลม สายฟ้า… ความลี้ลับต่าง ๆ ของสวรรค์และโลกเกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีแห่งสวรรค์ชั้นแล้วชั้นเล่า ซึ่งคล้ายกับนักปราชญ์โบราณที่กำลังทำนายความลับของสวรรค์ หลังจากที่เขาแหงนหน้าขึ้น ก็พบกับปรากฏการณ์ลี้ลับที่ไร้ขอบเขตที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
ในขณะนี้บนหลังของเฉินซี อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้าซึ่งอยู่ที่จุดศูนย์กลาง อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราพฤกษาที่สองอยู่ทางทิศตะวันตก อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราทองคำที่เจ็ดอยู่ทางทิศตะวันออก อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราวารีที่เก้าอยู่ทางเหนือ และอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามอยู่ทางทิศใต้ อักขระจ้าววิญญาณทั้งห้านี้ก่อให้เกิดการส่งเสริมและยับยั้งซึ่งกันและกัน จนทำให้ธาตุทั้งห้าหลอมรวมกันเป็นสิ่งเดียว อีกทั้งยังเป็นวัฏจักรไร้ที่สิ้นสุด
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคืออักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยินและตะวันออกเฉียงเหนือคืออักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยาง ซึ่งพวกมันอยู่ที่ขั้วบนของตำหนักทั้งเก้า หยินและหยางไหลเวียนส่งเสริมกันและกัน
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันออกเฉียงใต้คืออักขระจ้าววิญญาณแห่งสายลมและอักขระจ้าววิญญาณแห่งสายฟ้า ซึ่งอยู่ที่ขั้วล่างของตำหนักทั้งเก้า สายลมและสายฟ้ากระทบกัน ทำให้สรรพสัตว์ในโลกถือกำเนิดขึ้น
นอกจากนี้ ตำหนักทั้งเก้าแห่งยังสอดคล้องกับขนาดของแผนผังก่อนฟ้า เช่นเดียวกับกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ ยิ่งไปกว่านั้น อักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราปฐพีที่ห้าราวได้ครอบครองตำหนักซึ่งอยู่ตรงศูนย์กลาง เสมือนกับเป็นจักรพรรดิที่บัญชาโลกด้วยหัวใจที่เที่ยงธรรม!
ยิ่งไปกว่านั้น จุดชีพจรดาราที่อยู่ภายในอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าได้ถูกทะลวงเปิดออก ภายในนั้นมีดวงดาวสว่างไสวนับล้านที่กำลังเคลื่อนตัดผ่านกันทั้งแนวนอนและแนวตั้ง นอกจากนี้ เมื่อมองจากระยะไกล แผนภาพตำหนักทั้งเก้านี้ก็เสมือนกับกลุ่มดาวที่ลี้ลับและยากหยั่งถึงซึ่งซุกซ่อนความลับของสวรรค์เอาไว้ อีกทั้งยังกะพริบแสงอย่างแผ่วเบาราวกับพวกมันกำลังหายใจอยู่ ทำให้ดูน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
เมื่อตำหนักทั้งเก้าก่อร่างขึ้นจนสมบูรณ์ ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังเติบโตขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด และเมื่อเงยหน้าขึ้นไป จิตสำนึกเขาก็ได้ทะยานไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยดวงดารา นอกจากนี้ การหายใจ พลังชีวิตและความคิดของเขา… ทุกสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับดวงดาวมากมายที่อยู่ห่างออกไปนับแสนนับล้านลี้ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้กลายเป็นจ้าวแห่งจักรวาลที่สามารถควบคุมดวงดาราทั้งมวล ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างสุดจะพรรณนา
ในสภาวะที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ มวลพลังที่พลุ่งพล่านภายในเลือดเนื้อของเฉินซีดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว อักขระจ้าววิญญาณทุกรูปแบบกำลังสั่งสม หล่อหลอม และหมุนเวียนปราณจ้าววิญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง และด้วยความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมของการที่ครอบครองพลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ อาจทำให้ผู้คนต้องตกอยู่ในพลังอำนาจ จนไม่อาจหลุดพ้นได้
ทันใดนั้น เฉินซีก็ลุกยืนขึ้นและชกกำปั้นออกไป
ตู้ม!
พลังหมัดของเฉินซีได้พัดพาอากาศโดยรอบออกไปในทันที ทำให้มิติพังทลาย และเจตจำนงที่แฝงมากับโจมตีได้ทะยานไปทั่วทั้งฟ้าดิน ยามที่เขาชกกำปั้นออกไป ราวกับว่าทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยพลังกำปั้นที่แฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งหลากหลายสิบประเภท ซึ่งได้กลายเป็นมังกรนับสิบตัวที่กำลังบิดตัวไปมา และทะยานไปทั่วทุกทุกทิศอย่างรุนแรง อีกทั้งยังครอบครองพละกำลังที่สามารถยกภูเขาหรือแยกสายน้ำ และสามารถเขย่าจักรวาลอันยิ่งใหญ่!
“เฉินซี จงรับกระบี่ข้าซะ!” ลับเสียงตะโกน ร่างของหลิงไป๋ได้แปรเปลี่ยนเป็นดวงแสงสีทองพร่างพรายขณะฟาดฟันไปยังเฉินซี การฟันครั้งนี้แฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่แดนนิพพาน นอกจากนี้ยังเป็นการโจมตีด้วยวิชากระบี่ขั้นสูงสุดที่หลิงไป๋ได้บ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอีกต่อไป เพราะแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางธรรมดาทั่วไปก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่คิดที่จะหลีกเลี่ยงปราณกระบี่ที่ถาโถมเข้ามา เขากลับก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับชกกำปั้นออกไป จนกลายเป็นพลังหมัดที่แฝงปราณจ้าววิญญาณที่อ้างว้าง เก่าแก่ กว้างใหญ่ และน่าสะพรึงกลัวมาบรรจบกันที่จุดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่กลิ่นอายของพลังหมัดก็สามารถทำให้พื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ และสั่นสะเทือนกำแพงโดยรอบจนเกิดเสียงแตกร้าว
ตู้ม!
อานุภาพของกำปั้นนั้นเหมือนกับค้อนยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากขุนเขา การปะทะเพียงครั้งเดียวกลับทำให้ดวงแสงสีทองสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังกึกก้อง และลอยออกไปทางด้านหลังราวกับว่าวที่สายป่านขาด
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ดวงแสงสีทองได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ของหลิงไป๋ในทันที และดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ทำให้เจ้าตัวลอยห่างออกไปกว่าสิบสองจั้ง จึงจะสามารถตั้งหลักได้อย่างมั่นคงเช่นเดิม
“ช่างทรงพลังยิ่งนัก! หมัดที่เรียบง่ายก็เพียงพอที่จะบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางบางคนได้ หากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับฉู่เทียนจวี่อีกครั้งละก็ เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชภายใต้หมัดนี้อย่างแน่นอน” หลิงไป๋อุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เฉินซีเองก็พึงพอใจกับหมัดนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน และตระหนักได้ว่า หากพึ่งพาการบ่มเพาะร่างกายของเขาในปัจจุบัน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นบางคนได้ แต่ก็ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางมากมายที่มีความแข็งแกร่งต่างกัน ดังนั้นจึงไม่อาจเหมารวมพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกันได้
‘ข้าจะบ่มเพาะอย่างช้า ๆ ขั้นตอนต่อไปคือ การบ่มเพาะร่างกายขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ในขั้นตอนนั้น ทันทีที่ปราณแท้และเลือดในร่างกายของข้าได้โคจรหมุนเวียน มันจะสามารถสร้างแก่นปราณแท้อยู่เหนือศีรษะของข้า ยามที่ต้องรับมือกับผู้บ่มเพาะธรรมดาบางคน พลังของแก่นปราณแท้ก็สามารถทำให้พวกเขาหวาดกลัว และทำให้จิตคุกคามสลายไป!’ เฉินซีกำหมัดแน่นด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
หลังจากที่การบ่มเพาะร่างกายของเขาบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นถึงสองสามเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ปราณแท้ในร่างกายของเขาก็เปรียบได้กับกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้ทุกกระบวนท่าที่เขาใช้นั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว และการกำหมัดเบา ๆ ของเขาก็สามารถบดขยี้สมบัติวิเศษระดับล้ำลึกได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น หากเขาใช้กระบวนท่าฝ่ามือมหาดาราออกไป ย่อมมีโอกาสที่จะสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะร่างกายหรือการบ่มเพาะปราณแท้ของเฉินซีในปัจจุบัน พวกมันก็ได้บรรลุไปถึงระดับที่อยู่เหนือกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปจนยากที่จะจินตนการได้ จึงทำให้เขาดูทรงพลังและไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก ดังนั้นก็ไม่ใช่การยาก หากเขาจะก้าวข้ามขอบเขตเพื่อที่จะทำลายล้างศัตรู
“เฉินซี ไปกันเถอะ วันนี้เป็นวันที่ห้วงทะเลทรายมรณะจะเข้าสู่ช่วงพักตัวแล้ว!” หลิงไป๋กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเฉินซี และกล่าวอย่างตื่นเต้น
“อะไรนะ? ผ่านไปสามวันแล้วหรือ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาไม่คาดคิดว่า เพียงแค่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำ กลับทำให้เวลาผ่านไปถึงสามวันแล้ว
“ไปกันเถอะ ก่อนอื่นเราจะไปซื้อกระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอด เนื่องจากสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ไม่สามารถแสดงพลังทั้งหมดของข้าได้อีกต่อไปแล้ว” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูออกไป
เมื่อครั้งที่เขาออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร การบ่มเพาะของเขายังคงอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และสามารถใช้สมบัติวิเศษระดับมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเตรียมกระบี่ระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดไว้หลายสิบเล่ม แต่ระหว่างการต่อสู้กับหานกู่เยว่ กระบี่ที่มีอยู่ได้เสียหายไปแล้ว และแทบจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตเคหาทองคำแล้ว จึงทำให้สามารถใช้สมบัติวิเศษระดับล้ำลึกได้ อีกทั้งการเดินทางสู่ห้วงทะเลทรายมรณะในครั้งนี้อาจเผชิญกับอันตรายที่ไม่อาจคาดคิด ดังนั้นจึงต้องตระเตรียมสมบัติวิเศษอย่างเหมาะสมเพื่อคุ้มครองตัวเอง
หอขุมทรัพย์สวรรค์มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่และมีความมั่งคั่งมหาศาล นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมสมบัติที่หายากและแปลกประหลาดจากทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นจึงไม่มีทางขาดแคลนสมบัติวิเศษระดับล้ำลึกอย่างแน่นอน และอันที่จริง มันไม่เพียงแต่มีสมบัติวิเศษระดับล้ำลึก เพราะแม้แต่สมบัติวิเศษระดับปฐพีหรือสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ ก็สามารถหาซื้อได้ที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ และด้วยสิ่งนี้เอง ที่ทำให้ทรัพยากรและความมั่งคั่งที่น่าตกตะลึงของหอขุมทรัพย์สวรรค์ได้ถูกเปิดเผย
ห้องโถงหลักของหอขุมทรัพย์สวรรค์นี้ ดูเหมือนจะมีพื้นที่เพียงร้อยยี่สิบจั้ง แต่กลับมีประตูมากมายที่มีทางเดินนำไปสู่สถานที่ต่าง ๆ และทางเดินเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสมบัติวิเศษ เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ โอสถ ค่ายกล วัตถุวิญญาณ… เมื่อรวมห้องโถงที่แบ่งออกไปเป็นประเภทต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จะทำให้มันมีพื้นที่ถึงหนึ่งพันลี้ ซึ่งถือว่ากว้างใหญ่เป็นอย่างมาก
โถงสมบัติวิเศษถูกแบ่งออกเป็น หอแสดงกระบี่ หอแสดงดาบ และอื่น ๆ
เฉินซีปฏิเสธคำแนะนำของผู้ดูแลหญิงและเดินไปรอบ ๆ หอขุมทรัพย์สวรรค์ด้วยตัวเอง ตลอดเส้นทาง เขาได้พบกับสมบัติล้ำค่าและแปลกประหลาดมากมายที่ปกติแล้วพบเจอได้ยาก เช่น หนังของฉลามวาฬ รอยแยกและปะการังโลหิตที่มาจากทะเลตะวันออก กระดูกอาชามังกรและผลฟองน้ำแข็งจากพื้นที่ป่าเถื่อนทางตอนเหนือ อีกทั้งยังมีหญิงงามบางส่วนถูกนำไปขายเป็นสินค้า พวกนางไม่ได้มาจากเผ่ามนุษย์และอาศัยอยู่บริเวณชายขอบของอารยธรรม หญิงงามเหล่านี้มีผมสีน้ำตาลและดวงตาสีเขียวหยก ผิวของพวกนางขาวราวกับหิมะ และรูปร่างของพวกนางก็เร่าร้อนและยั่วยวน ทำให้พวกนางได้รับความนิยมจากผู้บ่มเพาะที่มีนิสัยชอบกักขังทาส
สิ่งทั้งหมดนี้ทำให้วิสัยทัศน์ของเฉินซีกว้างขึ้นเป็นอย่างมาก แต่เขายังสังเกตเห็นอีกว่ามีผู้บ่มเพาะจำนวนมากในหอขุมทรัพย์สวรรค์วันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้บ่มเพาะจากนอกดินแดนทางใต้ จากการสนทนาของพวกเขา เฉินซีก็ค่อย ๆ เข้าใจว่าผู้บ่มเพาะเหล่านี้เดินทางมาเพื่อซื้อเม็ดยาและสมบัติวิเศษต่าง ๆ เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุไม่คาดคิดเมื่อพวกเขาเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะเช่นเดียวกับเฉินซี
ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะจากนอกดินแดนทางใต้เหล่านี้นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และเกือบทั้งหมดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ซึ่งมีทั้งชายและหญิง ทุกคนมีรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์และเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายทรงพลังที่คนเหล่านี้เผยออกมาทำให้เฉินซีเองก็ยังรู้สึกหวั่นเล็กน้อย และไม่กล้าที่จะประเมินพวกเขาต่ำไป
“สหายเต๋า แล้วชุดกระบี่บินนี้ล่ะ? นี่คือชุดกระบี่เกล็ดมัจฉาระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งสามสิบหกเล่ม และยังมีแผนผังค่ายกลอีกด้วย ไม่เพียงแต่สามารถใช้เพื่อป้องกันศัตรูเท่านั้น มันยังสามารถก่อตัวเป็นมหาค่ายกลหมื่นมัจฉาวารีดับสูญเพื่อป้องกันที่อยู่อาศัย โดยการหมุนเวียนกระแสน้ำที่รุนแรงเพื่อเข่นฆ่าศัตรูที่รุกรานเข้ามาได้ด้วยนะเจ้าคะ” ในขณะที่เฉินซีตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงอันใสกระจ่างก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเขา
เมื่อเขาได้สติและมองไปโดยรอบ เขาก็ตระหนักได้ว่า ตัวเขานั้นอยู่ภายในหอแสดงกระบี่แล้ว
ผู้ดูแลหญิงที่งดงามซึ่งสวมผ้าโปร่งอย่างดีและมีร่างกายสูงสง่ายืนอยู่ที่ใจกลางของหอแสดงกระบี่ ขณะกำลังแนะนำค่ายกลกระบี่ให้แก่เฉินซีด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่เคารพ ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังอาบสายลมฤดูร้อนที่พัดโชยมา
หอแสดงกระบี่นี้ครอบคลุมพื้นที่ราวสองลี้ และมีลักษณะเป็นโดมทรงกลม เมื่อมองไปรอบ ๆ มันถูกปกคลุมไปด้วยชุดกระบี่อันยอดเยี่ยมซึ่งส่องประกายเจิดจ้าทว่าแฝงไปด้วยแรงกดดัน และหากมีใครอยู่ท่ามกลางพวกมัน ก็จะรู้สึกเหมือนกับตกอยู่ในทะเลกระบี่
เฉินซียังเห็นว่าภายในม่านแสงที่ตำแหน่งกึ่งกลางของหอแสดงกระบี่นั้น แขวนกระบี่ระดับสวรรค์ไว้สามเล่ม ใบกระบี่บางราวกับปีกของจักจั่น สีดำสนิทเหมือนหมึก และมีลวดลายที่ซับซ้อนและลึกล้ำที่บริเวณส่วนบนของกระบี่ พวกมันดูเรียบง่ายและธรรมดา แต่เมื่อมองจากระยะไกล ผู้คนกลับสัมผัสได้ถึงปราณแหลมคมที่เสียดแทงราวกับจะทำให้ร่างกายต้องถูกแช่แข็ง
‘สมกับเป็นหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถพบได้ทั่วราชวงศ์ซ่ง แม้แต่ชุดกระบี่ระดับสวรรค์ทั้งสามเล่มก็ยังมีขายอยู่ที่นี่ วิเศษยิ่งนัก วิเศษอย่างแท้จริง!’ เฉินซีชื่นชมอยู่ในใจ
“เฉินซี กระบี่ที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนสร้างจากแม่พิมพ์ ซึ่งยังไม่อาจเทียบกับศัสตราวิเศษที่ขัดเกลาด้วยตนเองหรือสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมาจากนิกายได้ ข้าคิดว่าสมบัติดี ๆ ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ ควรอยู่ในการประมูลของพวกเขา” หลิงไป๋กล่าวผ่านกระแสปราณและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามต่อกระบี่ที่อยู่ในหอแสดงกระบี่
เฉินซียิ้มแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ต่อสิ่งที่หลิงไป๋กล่าว แน่นอนว่าเขาต้องการกระบี่ที่น่าเกรงขามเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถซื้อกระบี่ธรรมดาได้ด้วยทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
“หืม?” อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีกำลังคิดที่จะสอบถามผู้ดูแลหญิงว่า กระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอดถูกวางไว้ที่ใด กลับกลายเป็นว่าผู้ดูแลหญิงได้ทอดทิ้งเขาและไปดูลูกค้าคนอื่นแล้ว
นี่ดูเหมืนจะไม่มีอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจก็คือ เขารู้จักผู้บ่มเพาะสองในสามคนที่ยืนอยู่ข้างผู้ดูแลหญิง!
คนสองคนนี้สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าที่มีลวดลายนกกระเรียนสีขาวปักอยู่ ปีกของนกกระเรียนกางออก ราวกับตั้งใจจะบินไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนมังกรท่ามกลางมนุษย์ เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาคือเผยจงและเซวี่ยเฉิน ผู้บ่มเพาะของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ที่มาจากที่ราบตอนกลาง
สองคนนี้ต่างก็เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางและสูงกว่า ซึ่งไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของพวกเขาต่ำไป เพราะตอนที่เฉินซียังไม่ได้บรรลุสู่ขอบเขตเคหาทองคำ ครั้งหนึ่งเขาได้ขัดแย้งกับคนสองคนนี้เพราะแก่นภายในของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีก และถ้าไม่ใช่เพราะเขาสามารถหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว ก็คงจะต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของสองคนนี้ไปแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของเฉินซีได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดนับหลายเท่า ดังนั้นเขาย่อมไม่กลัวคนสองคนนี้ แต่คนที่เขาไม่อาจหยั่งถึงฝีมือก็คือผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางของทั้งสองคน
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดยาวธรรมดา นางมีดวงตาที่งามงดและรูปลักษณ์ที่สวยงามราวกับว่านางมาจากภาพวาด ผมยาวของนางมีสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึกและสยายอยู่บนบ่า ขณะกำลังปลิวไสวเบา ๆ นางดูเหมือนนางฟ้าในภาพวาดหมอกฝนที่กำลังปกคลุมภูเขาที่ห่างไกล จึงทำให้นางดูเหมือนอยู่ในโลกอื่น และกลิ่นอายในร่างกายของนางก็ไหลเวียนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้นางดูสงบนิ่ง แต่ความแข็งแกร่งของนางกลับไม่อาจหยั่งถึงได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ ความโดดเด่นของเผยจงและเซวี่ยเฉินพลันถูกกลบไปโดยสิ้นเชิง
“หรือว่าผู้หญิงคนนี้เป็นศิษย์พี่ชิงซิ่วอี้ที่เผยจงและเซวี่ยเฉินเคยกล่าวถึง?” เฉินซีก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า เมื่อตอนที่เขาได้แอบฟังการสนทนาระหว่างเผยจงและเซวี่ยเฉินในป่า ทั้งสองคนเคยเอ่ยชื่อนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง