บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 213 ปารมิตา การลืมเลือน และ จุดจบ
บทที่ 213 ปารมิตา การลืมเลือน และ จุดจบ
กระจกหมอกลวงมายา!
เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษ!
สมบัติวิเศษจำนวนมากปรากฏขึ้นที่ท่ามกลางอากาศ ทำให้ฟ้าดินสูญเสียสีสันไปในทันที กระแสอากาศต่างส่งเสียงคร่ำครวญ พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยพลังงานที่หลากหลาย ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่มันระเบิดออก และปลดปล่อยแรงระเบิดที่รุนแรงจนถึงขั้นทำให้หนังศีรษะด้านชา
ไม่ว่าจะเป็น ชิงซิ่วอี้, หวงฝู่ฉงหมิง , หลิวเฟิงจื่อ, หมานหง หรือคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังพวกเขา กลุ่มทั้งสี้นี้เกิดจากรวมตัวของผู้บ่มเพาะรุ่นใหม่ที่มาจากทั่วทั้งราชวงศ์ซ่ง และพวกเขาทั้งหมดมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง นอกจากนี้ยังมีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่โดดเด่นและความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม สมบัติวิเศษทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองของพวกเขา ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดกันมาภายในนิกายของพวกเขา ทำให้พวกมันมีพลังที่ไม่ธรรมดา และเป็นสิ่งที่สมบัติทั่วไปที่สามารถซื้อได้ในท้องตลาด ไม่สามารถเทียบได้อย่างสิ้นเชิง
ในขณะนี้ สมบัติวิเศษชั้นเลิศเหล่านี้ถูกสำแดงพลังด้วยกำลังทั้งหมด อานุภาพของพวกมันมีมากมายมหาศาลจนไม่ได้ด้อยไปกว่าภูเขาไฟที่กำลังปะทุ แผ่นดินถล่ม หรือคลื่นยักษ์ที่ถาโถม และดูเหมือนว่ามันปรารถนาที่จะทลายท้องฟ้าให้พินาศ!
“อย่างที่คาดไว้ ตราบใดที่เจตนาร้ายยังไม่หมดสิ้น การเข่นฆ่าก็จะไม่มีทางสิ้นสุด ดี! ดี! ดียิ่งนัก! ข้าจะส่งพวกเจ้าทุกคนไปลงนรกให้หมด และเพื่อให้พวกเจาสำนึกต่อสิ่งที่กระทำ” เมื่อเฉินซีที่กำลังถูกรุมล้อมอยู่ตรงกลางเห็นฉากนี้ เสียงแหบแห้งและเยือกเย็นก็ดังออกมาจากมุมปากของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้นอกจากความเวทนาแล้ว ยังเผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่าที่เด็ดเดี่ยว
“ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรยเป็นวัฏจักรหมุนวนไป แต่ใบและดอกกลับไม่เคยได้บรรจบกัน เมื่อสิ่งหนึ่งนำมาซึ่งจุดจบของอีกสิ่ง เช่นเดียวกับคู่รักที่ข้ามดวงดาวและนำทางดวงวิญญาณข้ามไปยังยมโลกที่อยู่อีกฝาก ประหนึ่ง เส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟแห่งปารมิตา!”
พร้อมกับเสียงที่เศร้าโศกและเก่าแก่ที่เปล่งออกมา เฉินซีลงมืออย่างฉับพลัน เขายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง ยกมือชี้นิ้วไปยังท้องฟ้า แต่ร่างของเขากลับดูเหมือนเคลื่อนไหวไปทั่วสารทิศท่ามกลางอากาศ และด้วยการชี้ของเขา ปรากฏทะเลดอกไม้สีแดงเข้มเสมือนทะเลเลือดที่ถาโถมปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินอย่างฉับพลัน และเมื่อมองจากระยะไกล มันก็คล้ายกับพรมที่อาบไปด้วยด้วยเลือดสด ๆ ที่ทอดผ่านอากาศและนำไปสู่ขุมนรก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหล่าคนบาปจะต้องถูกทำลายล้าง
เขตแดนเต๋าแห่งปารามิตา. . . เส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟ!
ดอกไม้สีแดงเข้มที่น่าสยดสยองเหมือนเลือดเหล่านี้คือ ดอกพลับพลึงแดงที่เลื่องชื่อของยมโลก หรือถูกเรียกอีกอย่างว่าดอกปารมิตา พวกมันเสมือนเปลวไฟ หยาดเลือด และเป็นดอกไม้ที่ใช้นำทางดวงวิญญาณ นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทนของความหายนะ การพลัดพราก และความตาย ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อมีคนตาย วิญญาณของพวกเขาจะถูกชี้นำโดยดอกปารมิตาให้มุ่งหน้าไปยังยมโลก
“บัดซบ! แท้จริงแล้วคือเขตแดนเต๋าแห่งปารามิตาของยมโลกนี่เอง ทุกคน จงใช้กำลังทั้งหมดแล้วฆ่ามันซะ มิฉะนั้นพวกเราทุกคนจะถูกมันช่วงชิงวิญญาณ ถูกกักขังไว้ในยมโลก และไม่สามารถหลบหนีไปได้ชั่วนิรันดร์!” เมื่อนางเห็นดอกไม้สีแดงเข้มจำนวนมากที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดิน ดวงตาของชิงซิ่วอี้หรี่ลงอย่างฉับพลันพร้อมกับตะโกนออกไปอย่างชัดเจน แขนเสื้อของนางสั่นกระพือขณะที่มือขาวของนางพลิกหงายขึ้น ทำให้กระจกหมอกลวงมายาสำแดงพลังออกมาอย่างรุนแรง ปลดปล่อยหมอกเจ็ดสีที่เสมือนกับมังกรกำลังร่ายรำอย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านท้องฟ้าเพื่อโจมตีเข้าใส่เฉินซีอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องมีคำเตือนจากชิงซิ่วอี้ เพราะทุกคนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่มีในทันที
ตูม!
เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า รูปลักษณ์ของมันคล้ายกับภูเขาที่ยอดของมันชูไปถึงท้องฟ้า พร้อมกับอักขระมนตราที่ล้ำลึกจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังหมุนวนออกมาจากเตาหลอม อักขระมนตราเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นภูเขาสูงตระหง่านและทรงพลัง พวกมันต่างเคลื่อยมาบรรจบกัน จนกลายเป็นฉากอันทรงพลังของภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนที่บดขยี้อย่างรุนแรงต่อเฉินซีที่อยู่ข้างใต้
ในเวลาเดียวกัน ปรากฏกระบี่ที่ดูเหมือนสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งขึ้นมาจากท่ามกลางอากาศ
ส่วนของใบมีดอันคมกริบนั้น ราวกับมันสามารถรองรับน้ำทะเลที่ไร้ขอบเขต คลื่นซัดสาดเข้าหากันอย่างไม่หยุดยั้ง จนน้ำทะเลสีฟ้าสาดกระเซ็นขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างดุเดือด เสมือนกับมีฉลามมังกรยักษ์ที่เป็นจ้าวแห่งท้องทะเลกำลังคำรามด้วยความเดือดดาล ทำให้พลังอันดุร้ายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและผืนดิน
นอกจากกระบี่ที่ปรากฏขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็มีปราณหมัดโผล่ขึ้นมาจากกลางอากาศเช่นกัน พลังของมันทะยานไปยังท้องฟ้าอย่างดุเดือด ในขณะที่มันพวยพุ่งออกไปนั้น เสมือนกับภูเขาทับซ้อนกันอยู่มากมาย
จากนั้นก่อตัวขึ้นเป็นค้อนขนาดยักษ์ ที่ดูเหมือนต้องการจะทุบทำลายดวงดาว ท้องฟ้า หรือมิติให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้พบเห็น ไม่สามารถแยกแยะปราณหมัดที่เป็นของจริงและของปลอมออกได้
กระบี่สวรรค์ปฐพีของหลินโม่เซวียน และกระบี่เพลิงวิญญาณของเซียวหลิงเอ๋อร์…
ในขณะนี้ การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ ได้ถาโถมออกมาราวกับคลื่นยักษ์ และอานุภาพของการโจมตีเหล่านี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเองยังต้องหลีกหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
ตูม!
การโจมตีที่รุนแรงเสมือนฟ้ากำลังแตกสลาย ผืนแผ่นดินแยกออกจากกัน ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร่วงหล่นจากฟากฟ้า ทะเลดอกไม้สีเลือดที่กำลังปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินอยู่ในตอนนี้ กลับถูกบดขยี้จนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยเฉพาะหมอกเจ็ดสีของชิงซิ่วอี้ มันมีพลังงานมหาศาลที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้และกำลังอาละวาดอยู่ภายในทะเลดอกไม้สีแดงเลือด เมื่อมันกวาดผ่านสิ่งกีดขวางจะทำให้อากาศโดยรอบเกิดความปั่นป่วน
อย่างไรก็ตาม กลับมีสิ่งที่ยากจะเหลือเชื่อเกิดขึ้น นั้นคือการโจมตีเหล่านี้ไม่สามารถเข้าใกล้เฉินซีเลยสักนิด เขากำลังก้าวเดินอย่างอิสระอยู่ท่ามกลางอากาศ เสมือนกับเขาก้าวออกมาจากหกวิถีสังสารวัฏและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของห้าธาตุอีกต่อไป สีหน้าของเขาไม่มีร่องรอยของความทุกข์หรือความสุข ราวกับพระเจ้าที่เฝ้ามองกาลเวลาผ่านไปด้วยรอยยิ้มและยืนอยู่เหนือสรรพชีวิตภายในโลก
“มันเป็นไปได้อย่างไร” หวงฝู่ฉงหมิงคำรามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างเต็มกำลังเช่นนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเองก็ยังต้องหนีเอาชีวิตรอด แต่เรากลับไม่อาจสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของไอ้เจ้าเด็กคนนี้ได้อย่างไรกัน?” สายตาของหลิวเฟิงจื่อเต็มไปด้วยความกังวลและความสงสัย
“เจ้ามดปลวกที่มีฐานการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำ กลับทรงพลังขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร? แม้ว่ามันจะสามารถหยิบยืมความแข็งแกร่งจากสมบัติอมตะชิ้นนั้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลย ที่มันจะสามารถหลบหลีกการโจมตีของพวกเราไปได้อย่างง่าย”
“เขตแดนเต๋าแห่งปารามิตา. . . . เมื่อมันอยู่ที่อีกฝากหนึ่งแล้ว พวกเราจะสามารถโจมตีมันอีกได้อย่างไร” ดูเหมือนจะมีเพียงชิงซิ่วอี้ผู้เดียวเท่านั้น ที่มองเห็นสาเหตุที่แท้จริงออก นางขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทุกคน ก่อนอื่นพวกเรามาทำลายเขตแดนเต๋าแห่งปารามิตาก่อน เมื่อมันไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพิงอีกต่อไป มันจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
“แม่นางชิงกล่าวถูกต้องแล้ว”
“ฆ่า!”
“ฆ่าาาา!”
ทันใดนั้น ผู้คนก็หยุดไตร่ตรองถึงสาเหตุ และหันไปโจมตีดอกไม้สีแดงเลือดที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินโดยรอบ ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขาทันที
“หากไร้ผู้นำทาง ทะเลแห่งความทุกข์จะไม่มีที่สิ้นสุด และแม้แต่ทวยเทพก็ไม่สามารถดิ้นรนให้เป็นอิสระ ในขณะที่พวกเขาถูกดึงลงสู่การลืมเลือน” ในขณะนี้ นิ้วของเฉินซีกดลงไปยังอากาศที่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง
ครืนนน!
ท้องทะเลที่ขุ่นมัวทอดยาวพาดผ่านท้องฟ้าและผืนดิน กระแสคลื่นซัดสาดไปทั่วพื้นผิวอันไร้ขอบเขตของมัน พลังกลืนกินที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กำลังถาโถมมาจากท้องทะเลอย่างดุเดือด และกระแสคลื่นปั่นป่วนภายในนั้นเสมือนเหมือนเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังคร่ำครวญ “จม! จม! จม!” เสมือนพวกมันปรารถนาให้ทุกสรรพสิ่งจมลงสู่ท้องทะเลอันไร้ขอบเขตนี้
เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือน ทะเลทุกข์อันไร้ขอบเขต!
โอม! โอม! โอม!
สมบัติวิเศษทั้งหมดที่สำแดงพลังอยู่กลางท้องฟ้า ดูเหมือนพวกมันจะถูกคว้าจับด้วยมือที่ไร้รูปร่าง และพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อให้หลุดพ้นเป็นอิสระ แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นผล จึงเริ่มส่งเสียงร้องครวญคราง และค่อย ๆ ถูกลากลงไปยังท้องทะเลแห่งความทุกข์
“เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือน!” ชิงซิ่วยี่ไม่อาจรักษาท่าทีของนางได้อีกต่อไป พร้อมกับร้องออกมาอย่างรุนแรง “ทุกคน ระวังตัวด้วย เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือนนี้สามารถลบล้างสติปัญญาของทุกสรรพสิ่ง หากสมบัติวิเศษของพวกเราตกลงไปในนั้น ตราวิญญาณของเราจะถูกลบล้างก่อนที่จะถูกมันแย่งชิงไป!”
“บัดซบ! จะมีเขตแดนเต๋าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร!?”
“จงกลับมาซะ!”
“เอาคืนมาซะ ไอ้ระยำ!”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่พวกเขาตะโกนด่าสาปแช่งเสียงดัง ซึ่งหมายมั่นที่จะเอาสมบัติวิเศษกลับคืนมา สมบัติวิเศษเหล่านี้ล้วนเป็นไพ่ตายที่ล้ำค่าและหายาก เมื่อพวกเขาสูญเสียพวกมันไป ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาจะลดลงไปอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะต้องการจะแย่งชิงสมบัติอมตะที่เฉินซีครอบครองอยู่ พวกเขาจะไม่มีทางใช้สมบัติเหล่านี้ออกมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่า เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือนนี้ สามารถแย่งชิงสมบัติวิเศษของพวกเขาได้ คนเหล่านี้จึงใช้กำลังทั้งหมดของพวกเขา เพื่อที่จะแย่งเอาสมบัติวิเศษกลับคืนมา โดยไม่กล้าที่จะลังเลแม้แต่น้อย
“ต้องการเอาพวกมันกลับคืนหรือ? สายไปแล้ว! ยามสนธยานั้นไร้ขอบเขต นำพาซึ่งจุดจบแก่ทุกสรรพสิ่ง และผลาญสรรพชีวิตให้มลายสิ้น เขตแดนเต๋าแห่งจุดจบ จงสำแดงพลังซะ!” พร้อมกับเสียงที่เยือกเย็นและแหบแห้ง เฉินซีก้าวเดินฝ่าสายลมและเกลียวคลื่นภายในทะเลแห่งความทุกข์ จนมาถึงที่เบื้องหน้าสมบัติวิเศษทั้งหลาย จากนั้นเขายกมือขึ้นแล้วชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้น ปรากฏปราณสีดำสนิทเสมือนความมืดมิดถูกควบแน่นอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ปราณสีดำที่อาบอยู่ที่ปลายนิ้วนั้น ดูเหมือนกับการสิ้นสุดของกาลเวลา ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของจักรวาล เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายอันไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า อับจนหนทาง และไร้อำนาจที่จะพลิกผันทุกสรรพสิ่ง
สนธยาคือจุดสิ้นสุด
หลังสนธยาจะเป็นความเงียบอันชั่วนิรันดร์ และเมื่อผ่านพ้นความเงียบอันชั่วนิรันดร์ไปแล้ว จะเปิดศักราชใหม่สำหรับรุ่งอรุณที่จะมาถึง!