บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 214 สายใยแห่งเจตจำนง
บทที่ 214 สายใยแห่งเจตจำนง
โอม!
เขตแดนเต๋าแห่งจุดจบ ถูกควบแน่นที่ปลายนิ้วของเฉินซี ด้วยการชี้นิ้วของเขา ประกายแสงพลบค่ำพรั่งพรูออกมากวาดไปทั่วฟ้าดิน และสมบัติวิเศษอีกสิบชิ้นถูกกวาดผ่านด้วยแสงแห่งพลบค่ำเบา ๆ ก็ทำให้พวกมันเป็นเหมือนว่าวที่ถูกตัดสายขาดทันที สูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีกับเจ้าของก่อนจะตกลงสู่ทะเลแห่งความทุกข์ยาก
นอกจากชิงซิ่วอี้ที่ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ และได้ถอนกระจกหมอกลวงมายาของนางกลับคืนมา เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษของหวงฝู่ฉงหมิง ,กระบี่ฉลามมังกรวารีอนันต์ของหลิวเฟิงจื่อ ,กระบี่สวรรค์ปฐพีของหลินโม่เซวียน กระบี่เพลิงวิญญาณของ เซียวหลิงเอ๋อร์ , ภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตของเซวี่ยเฉิน … สมบัติของทุกคนแทบไม่สามารถหลบหนีได้ และตราวิญญาณของพวกเขาที่บนสมบัติวิเศษก็ถูกลบออก กลายเป็นสมบัติที่ไม่มีเจ้าของโดยสิ้นเชิง
อัก!
หลังจากขาดการเชื่อมต่อกับสมบัติวิเศษแล้ว หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่นๆ ก็สั่นสะท้านขณะที่พวกเขากระอักเลือดออกมาอย่างกะทันหัน และจิตใจของพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เอาสมบัติวิเศษของข้าคืนมา!”
“ไอ้สารเลว! หากเจ้าไม่คืนกระบี่สวรรค์ปฐพีของข้ามา มิฉะนั้น จะไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่จะช่วยเหลือเจ้าได้!”
“สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตมีสายใยวิญญาณของข้าที่คอยรับคำสั่งอยู่ภายใน เหตุใดถึงถูกลบล้างตราวิญญาณได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?”
เสียงกรีดร้องที่เสียดแหลมปะปนด้วยความโกรธและความหวาดกลัวดังก้องออกไปโดยทั่ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีที่ยืนหยัดอย่างภาคภูมิเหนือทะเลแห่งความทุกข์ พวกเขากลับไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว
ในขณะนี้ พวกเขาตระหนักได้แล้วว่า เจ้าเด็กที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขจเคหาทองคำนั้น รับมือไม่ง่ายอย่างที่เห็นจากภายนอก เขตแดนเต๋าต่าง ๆ ที่มันใช้ออกมานั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่สามารถเปลี่ยนแปลงความมัวหมองให้กลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันเป็นเขตแดนเต๋าที่พวกเขาไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง!
ท้ายที่สุดแล้ว เขตแดนเต๋าทุกแห่งจะถูกควบแน่นจากมหาเต๋าที่ผ่านการขัดเกลาและทำความเข้าใจอันขมขื่นนับไม่ถ้วนก่อนที่ผู้บ่มเพาะจะบรรลุ กระบวนการนี้ยากเย็นแสนเข็ญ และความยากของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าการขึ้นภูเขาด้วยมือเปล่าหรือถมทะเลด้วยก้อนกรวด ยิ่งไปกว่านั้น มันอาจทำให้ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ธาตุไฟเข้าแทรกจนไม่อาจควบคุมปราณแท้ของเขตแดนเต๋าไปตลอดชีวิต และในผู้บ่มเพาะนับพันนับหมื่น ถ้ามีผู้บ่มเพาะเข้าใจในเขตแดนเต๋าสักหนึ่งประเภท ก็นับว่าเขาโชคดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินซีสามารถใช้เขตแดนเต๋าแห่งปารมิตา, เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือน และเขตแดนเต๋าแห่งจุดจบได้ ซึ่งพวกมันล้วนคือมหาเต๋าทั้งสามประเภท ความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้และทักษะของเฉินซีในการใช้เขตแดนเต๋านั้น เหนือจินตนการของพวกเขาไปไกลลิบ ทำให้พวกเขาไม่อาจปลักใจเชื่อ ว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อยู่ในโลกนี้
เจ้าเด็กคนนี้มีฐานการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำจริง ๆ หรือ?
ในขณะนี้ ทุกคนต่างก็จดจ้องไปยังร่างสูงโปร่งที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่เหนือทะเลแห่งความทุกข์ พวกเขาไม่สามารถระงับความรู้สึกอันไร้พลังที่กำลังผุดขึ้นมาภายในใจของพวกเขาได้ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับภูเขาที่ไม่อาจสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีความคิดที่จะแย่งชิงสมบัติอมตะของเฉินซีอีกต่อไป แต่ในทางตรงข้าม กลับหวังเพียงจะนำสมบัติวิเศษที่เป็นของตนเองกลับมาคืนเท่านั้น
“เจ้าไม่ใช่เฉินซี” ชิงซิ่วอี้กล่าวออกมาอย่างกะทันหัน เสียงทุ้มหนักและเยียบเย็นของนางทำลายความเงียบสงัดลงโดยสิ้นเชิง
เฉินซีไม่ปฏิเสธใด ๆ
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสังเกตเห็นว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ เจ้าได้ใช้กำลังทั้งหมดแล้ว มิฉะนั้น เจ้าคงไม่รอจนถึงตอนนี้โดยเด็ดขาด” ชิงซิ่วอี้กล่าวคำต่อตำด้วยท่าทางที่สงบเป็นอย่างมาก
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองชิงซิ่วอี้ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความเข้าใจอย่างกะทันหันว่า “ที่แท้ก็เป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด ไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพลังของข้าหมดสิ้นไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่โจมตีเข้ามาเสีย?”
“ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด เจ้ายังมีพอเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้าง และมันถูกสงวนไว้เพื่อใช้ในการหลบหนี” ชิงซิ่วอี้กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“อ้อ งั้นข้าขอถามเจ้าอีกอย่าง เจ้าเดาได้ไหมว่าข้าเป็นใคร” เฉินซีถามด้วยความใคร่รู้
“เจ้าไม่ใช่ดวงจิตของสมบัติอมตะอย่างแน่นอน และจากการสังเกตเขตแดนเต๋าทั้งสามประเภทที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเป็นบุคคลสำคัญในยมโลกไม่สิ มันควรจะเป็นสายใยแห่งเจตจำนง!” ชิงซิ่วอี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ และดวงตาที่ใสกระจ่างของนางกลับเผยให้เห็นถึงประกายแห่งปัญญา
สายใยแห่งเจตจำนง?
การสนทนาของทั้งสองไม่ได้ถูกปกปิดไว้ ดังนั้นมันจึงเข้าหูของทุกคนที่อยู่ที่นั่นโดยสมบูรณ์ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าร่างกายของเฉินซีมีเส้นใยแห่งเจตจำนงของตัวตนที่ยิ่งใหญ่อยู่ พวกเขาก็ตระหนักได้ในทันที และคลื่นแห่งความตกตะลึงก็พรั่งพลูออกมาอย่างรุนแรงจากในใจพวกเขา
เฉพาะผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ ที่มีประสบการณ์และรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์เก้าระลอกเพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ตราประทับเจตนจำนง เพื่อแบ่งเจตจำนงของพวกเขาไปสู่มิติต่าง ๆ พวกเขาเป็นเหมือนร่างอวตารที่ท่องไปในจักรวาลอันไร้ขอบเขตและเฝ้าสังเกตความลึกล้ำของสวรรค์อย่างเต็มที่
ตราประทับเจตนจำนงทุกตน ล้วนมีความคิด สติปัญญา ความแข็งแกร่ง และความสามารถในการควบคุมกฎเต๋าแห่งสวรรค์ ผู้บ่มเพาะที่ไม่เคยเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลยสักนิด แม้ว่าพวกเขาจะมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีก็ตาม เว้นแต่พวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น มิฉะนั้น จะไม่กล้าละเมิดเจตจำนงของเซียนสวรรค์อย่างแน่นอน
เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันได้ว่าเมื่อพวกเขาทำลายล้างเจตจำนงของเซียนสวรรค์ไปแล้ว เจ้าของเจตจำนงเหล่านี้จะไม่ฉีกอวกาศอันไร้ขอบเขตและปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาในทันที มิฉะนั้น นั่นจะเป็นหายนะอย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่าร่างกายของเฉินซีนั้น มีเจตจำนงของตัวตนที่ยิ่งใหญ่อยู่จริง ๆ จึงทำให้สามารถจินตนการถึงความประหลาดใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้อย่างชัดเจน
“สาวน้อยเจ้าชาญฉลาดยิ่งนัก หากเจ้าไม่ถึงจุดจบก่อนวัยอันควร เจ้าจะต้องกลายเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทุกคน ดังนั้น ลาก่อน!” เฉินซีหัวเราะอย่างไม่รู้จบ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นและห้าวหาญ มันเผยให้เห็นความเศร้าที่ไม่เหมือนผู้ใดจากภายใน
ฟิ้ว!
ด้วยการสะบัดแขนเสื้อของเขา ดอกปารมิตาสีแดงเลือดที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ทะเลแห่งความทุกข์ยากที่ไร้ขอบเขตและสมบัติวิเศษทั้งหลายที่เขาได้แย่งชิงมาได้หายสาบสูญไปหมดสิ้น จากนั้นมือขวาของเขาก็วาดผ่านท่องฟ้าปรากฏรอยแยกที่มืดมิดและลึกอย่างสุดขั้ว
ในชั่วพริบตาต่อมา เขาก็ก้าวเข้าไปในรอยแยก ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปท่ามกลางท้องฟ้าและผืนดินทันที
ทุกคน ณ ตรงนั้น ต่างก็ตกตะลึง จากนั้นความขมขื่นที่อัดแน่นและความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างลึกล้ำก็พรั่งพรูอยู่ภายในใจของพวกเขา
พวกเขาเป็นใครนะหรือ?
พวกเขาล้วนเป็น บุคคลที่โดดเด่นจากนิกายชั้นนำต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่ง บุคคลที่โดดเด่นในหมู่ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง บุคคลที่น่าเกรงขามที่มีความหวังที่จะเป็นผู้มีชื่อเสียงและครอบครองตำแหน่งเพื่อมุ่งหน้าสู่สมรภูมิบรรพกาลระหว่างการชุมนุมดาวรุ่งที่จะจัดขึ้นในอีกห้าปีนับจากนี้
ในนิกายของพวกเขา พวกเขาเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นในสายตาของผู้อาวุโสทุกคน ในบรรดาสหายร่วมนิกาย พวกเขาคือดวงดาวที่พร่างพรายในวันพรุ่งนี้ ในสายตาของมนุษย์นับไม่ถ้วน พวกเขาเป็นลูกหลานที่น่าภาคภูมิใจของสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีภูมิหลังอันล้ำลึก ความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม และสถานะที่น่านับถือ เส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขาจนถึงตอนนี้ เป็นเส้นทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ และเป็นเส้นทางที่ประสบความสำเร็จไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ พวกเขากลับประสบความพ่ายแพ้อย่างแสนสาหัสจากเด็กน้อยที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำ และยังต้องสูญเสียถึงสองครั้ง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ได้สมบัติอมตะ พวกเขากลับสูญเสียสมบัติวิเศษที่เป็นไพ่ตายไปเสียอีก ความอัปยศอดสู ความคับแค้นใจ ความโกรธแค้น และความไม่เต็มใจภายในอกของพวกเขาจึงง่ายต่อการจินตนการได้อย่างชัดเจน
ในบรรดาผู้คนที่ยังอยู่ในตอนนี้ บางทีความรู้สึกของถันไถหงน่าจะซับซ้อนที่สุด เพราะเขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ เมื่อเขาได้พบกับเฉินซีอีกครั้งในอนาคต พวกเขาอาจจะเป็นศัตรูมากกว่าที่จะเป็นมิตร และเป็นการยากที่จะรักษาความสัมพันธ์เช่นที่เคยมีมา เมื่อถันไถหงสำนึกได้ว่า เขาได้สะบั้นความสัมพันธ์ทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจกับชายหนุ่มที่มีทักษะแปรสภาพร่างกายที่น่าอัศจรรย์ สมบัติอมตะอีกสามชิ้น ศักยภาพที่ไร้ขอบเขต และมีเจตจำนงของร่างที่ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังเขา เขาก็รู้สึกปวดร้าวอยู่ในอกพร้อมกับความเสียใจที่ไม่อาจอธิบายได้
“เฮ้อ ข้าแค่หวังว่า เขาจะเห็นแก่หน้าของจื่อเซวียน และฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับคืนมาอีกครั้ง” แม้ว่าเขาจะคิดเช่นนี้ แต่จิตใจของถันไถหงก็ยังคงว้าวุ้นเป็นอย่างมาก และไม่อาจระงับได้เพียงใช้เวลาอันสั้น ดังนั้น ทำให้สีหน้าของเขามืดมนและเป็นทุกข์โดยสิ้นเชิง
“บัดซบ! น่ารังเกียจเกินไปแล้วจริงๆ! หลินโม่เซวียน, เซียวหลิงเอ๋อร์, หวงฝู่ฉงหมิง พวกเจ้าสามคนกล่าวอะไรก่อนหน้านี้? เจ้าเด็กคนนี้เป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดาที่มีฐานการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำ? แต่เหตุใดมันถึงมีไพ่ตายล้นเหลือขนาดนี้? พวกเจ้าทุกคนทำให้ข้าต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่า ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องให้คำอธิบายแก่ข้า!” หลิวเฟิงจื่อศิษย์ของเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออกตะคอกด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร
“ใช่แล้ว พวกเจ้าทุกคนต้องมีคำอธิบายให้แก่เรา เนื่องจากครั้งนี้ หมานเจ่อน้องชายของข้าได้เสียชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าทุกคนหลอกใช้พวกเรา พวกเราจะไปจัดการเจ้าเด็กคนนั่นทำไม?” หมานหงตะคอกอย่างดุเดือดเช่นกัน
คนทั้งสองนี้มีความโกรธแค้นอัดแน่นอยู่เต็มท้องแต่ไม่มีที่ระบายเช่นกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงถ่ายเถความโกรธแค้นไปที่หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่น ๆ เมื่อคนอื่นเห็นสิ่งนี้ พวกเขาทั้งหมดหันไปมองหวงฝู่ฉงหมิงด้วยใบหน้าที่เป็นลางร้ายและสายตาที่แทบจะพ่นไฟออกมา
“ฮึ่ม! พวกเจ้าทุกคนไม่สามารถยึดสมบัติอมตะใด ๆ ได้ ดังนั้นจึงหันมาแว้งกัดข้า??” หวงฝู่ฉงหมิง เองก็มีความโกรธเต็มท้องเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเขาเห็นทุกคนต่างก็มุ่งเป้าไปที่เขา เปลวไฟแห่งความโกรธในใจของเขาก็ลุกโชนขึ้น พร้อมกับเยาะเย้ยเสียงดังว่า “อยากให้ข้าอธิบายให้พวกเจ้าทุกคนฟังหรือ? พวกเจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรหรือ?”
“เจ้า…” หมานหง จ้องมองด้วยความโกรธแค้นราวกับจะกลืนกิน
“ต้องการที่จะสู้หรือ?” หวงฝู่ฉงหมิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เวทนา“อย่าไรก็ตาม หมานหง เจ้าควรไตร่ตรองถึงภูเขานภาลัยที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าเสียก่อน การล่วงเกินข้านั้น เทียบเท่ากับการละเมิดตำหนักจ้าวปัญญา นิกายสวรรค์ปฐพี และนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ตราบใดที่เจ้าสามารถแบกรับผลที่ตามมาได้ ข้าหวงฝู่ฉงหมิงจะยืนอยู่เขียงข้างพวกเจ้าจนถึงวันสุดท้าย!”
เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ หลินโม่เซวียนและเซียวหลิงเอ๋อร์ก็เดินไปยืนข้างหวงฝู่ฉงหมิง ขณะที่พวกเขาเย้ยหยันไม่รู้จบ ท่าทีของพวกเขาชัดเจนมาก นั่นคือพวกเขาต้องการที่จะย้ายไปเข้าร่วมกับหวงฝู่ฉงหมิง
“ฮึ่ม! แล้วเจ้าละ แม่นางชิง?” หลิวเฟิงจื่อตะคอกอย่างเย็นชาในขณะที่เขาเหลือลมองไปยังชิงซิ่วอี้ที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด เท่าที่เขากังวล ถ้าเขาสามารถดึงชิงซิ่วอี้เข้ามาในกลุ่มของเขาได้ เขาก็จะไม่ต้องกลัวกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงอย่างสิ้นเชิง
“ใช่แล้ว ข้าต้องการฟังความคิดเห็นของเจ้าเช่นกัน แม่นางชิง“ หมานหงแม้ดูเหมือนจะกักขฬะและป่าเถื่อน แต่เขาไม่ได้โง่ ตรงกันข้าม เขาเชี่ยวชาญในการสังเกตคำกล่าวและพฤติกรรมของผู้อื่นเป็นอย่างมาก ทันทีที่หลิวเฟิงจื่อกล่าวออกมา เขาก็เข้าใจความหมายในคำกล่าวของหลิวเฟิงจื่อทันที ดังนั้น เขาจึงกล่าวออกมาเช่นกัน
เมื่อทั้งสองคนเอ่ยถามเช่นนี้ ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่ชิงซิ่วอี้ทันที และแม้แต่กลุ่มสามคนของหวงฝู่ฉงหมิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าในหัวใจของคนทั้งสามนั้น การตัดสินใจของชิงซิ่วอี้อาจมีผลกระทบเช่นเดียวกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของสตรีคนนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ และนางยังเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดอีกด้วย ดังนั้น หากนางตัดสินใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้และช่วยเหลือพวกหลิวเฟิงจื่อ และคนอื่นๆ กลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องไตร่ตรองถึงการกระทำของพวกเขาอีกครั้ง
“ถ้าข้าจำไม่ผิด หวงฝู่ฉงหมิง, หลิวเฟิงจื่อ, หมานหง พวกเจ้าล้วนมาที่นี่เพื่อเห็นแก่ขุมสมบัติของ เฉียนหยวน” ชิงซิ่วอี้กวาดสายตามองผ่านทุกคนที่อยู่รอบข้าง และทันใดนั้นนางก็กล่าวถึงขุมสมบัติของเฉียนหยวน
ตามที่คาดไว้ เมื่อทั้งสามกลุ่มได้ยินคำกล่าวของ ชิงซิ่วอี้ ท่าทางของพวกเขาทั้งหมดก็กระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย และดวงตาของพวกเขากระพริบอย่างไม่หยุดหย่อน
“พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องปฏิเสธ เพราะนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของข้า ก็มาที่นี้เพราะเห็นแก่ขุมสมบัติของ เฉียนหยวนเช่นกัน ข้าขอแนะนำให้ทั้งสี่กลุ่มทำงานร่วมกันและค้นหาขุมสมบัติของเฉียนหยวนด้วยกัน พวกเจ้าคิดเช่นไรบ้าง?” สีหน้าของชิงซิ่วอี้สงบนิ่งและไม่แยแสขณะที่นางกล่าว
“เหตุใดเราต้องทำงานร่วมกัน? จะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้าจะค้นหาด้วยตัวเอง” หวงฝู่ฉงหมิงขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวออกไป
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคงมีแผนที่ขุมสมบัติของเฉียนหยวนที่ไม่สมบูรณ์อยู่ใช่หรือไม่? ข้าจะกล่าวตามตรงกับเจ้า นิกายกระเรียนพิสุท ของข้าก็ครอบครองมันเช่นกัน นอกจากนี้ ข้าเชื่อว่าทุกคนจาก เกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก และภูเขานภาลัยแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนือล้วนมีแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์เช่นกัน” ดวงตาที่ใสกระจ่างของชิงซิ่วอี้เหลือบไปมองยังถันไถหง และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “แผนที่ที่ไม่สมบูรณ์ก็ยังคงเป็นแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์อยู่ดี หากกลุ่มทั้งสี่ของเราร่วมมือกัน โอกาสในการเข้าสู่ขุมสมบัติของเฉียนหยวนก็จะยิ่งมากขึ้น และเมื่อเราเผชิญกับอันตราย เราก็สามารถแบ่งปันบางส่วนร่วมกันได้ ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?”
“แล้วเราจะแจกจ่ายสมบัติกันอย่างไรหลังจากเข้าสู่ขุมสมบัติของเฉียนหยวนแล้ว” หวงฝู่ฉงหมิงกล่าวด้วยท่าทางที่ลังเลใจ
“เราต่างพึ่งพาความสามารถของตัวเอง” ชิงซิ่วอี้กล่าวอย่างไม่แยแส
“ตกลง ข้าเอาด้วย” หวงฝู่ฉงหมิง, หลิวเฟิงจื่อ, หมานหง และคนอื่น ๆ คิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะตกลงตามคำแนะนำของชิงซิ่วอี้
“เผยจง, เซวี่ยเฉิน ข้าจะให้แผนที่ที่ไม่สมบูรณ์นี้แก่เจ้าทั้งสองคน เจ้าทั้งสองออกเดินทางกับสหายเต๋าคนอื่น ๆ ก่อน ส่วนข้าจะไปจัดการบางสิ่งก่อน แล้วจะกลับมาให้ทันเวลาก่อนที่พวกเจ้าทุกคนจะพบกับขุมสมบัติของเฉียนหยวน” ชิงซิ่วอี้เหวี่ยงมือที่ขาวผ่องของนาง แผ่นหยกก็ตกลงไปในมือของเผยจง ในขณะที่นางหันหลังกลับและจากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แขนเสื้อของนางปลิวไสวไปตามสายลม เพียงชั่วพริบตา นางก็หายไปในทะเลทรายอันไร้ขอบเขต
ผู้หญิงคนนี้ช่างทำตัวลึกลับ นางคิดจะทำอะไรอีกในตอนนี้?
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ชิงซิ่วอี้หายตัวไป และร่องรอยแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจของพวกเขา