บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 222 กลิ่นแห่งความมึนเมาจากสวรรค์
บทที่ 222 กลิ่นแห่งความมึนเมาจากสวรรค์
มันแตกต่างจากการกระทำที่คลุ้มคลั่งและไร้การควบคุมของฟ่านอวิ๋นหลาน การเคลื่อนไหวของชิงซิ่วอี้นั้นเป็นระเบียบและความเร็วของนางนั้นรวดเร็วมาก อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยของความร้อนรนและไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย ทำให้นางดูสง่าและไม่เร่งรีบ ราวกับว่านางกำลังอาบน้ำและจุดเครื่องหอมอยู่ แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังคงเป็นผู้หญิง และไม่ว่านางจะสงบเสงี่ยมสักเพียงใด เมื่อนางต้องเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้า ก็ยังต้องรู้สึกละอายใจอย่างยากที่จะอธิบาย ทำให้ใบหน้าของนางที่งดงามเกินจะทานเทียบ กลายเป็นสีแดงกล่ำเสมือนกับเลือดกำลังจะไหลออกมาจากมัน
ทันใดนั้น!
เฉินซีก็ลืมตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเขาและสวมกอดชิงซิ่วอี้อย่างดุเดือดราวกับสัตว์ป่า
ชิงซิ่วอี้อาศัยแรงใจเพื่อต้านทานตัณหาที่พลุ่งพล่านภายในใจอย่างลำบาก แต่ขณะนี้ร่างกายอันบอบบางของนางกลับไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นเมื่อเฉินซีโอบกอดนาง มันจึงทำให้นางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยที่จะต่อต้าน
“ไอ้คนต่ำช้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ชิงซิ่วอี้กรีดร้องอย่างตื่นตระหนก แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านางจะดิ้นรนอย่างไร นางก็ไม่อาจดิ้นรนให้เป็นอิสระจากอ้อมกอดของเฉินซีได้ และการดิ้นรนของนางกลับกระตุ้นให้เขาโอบกอดนางแนบแน่นยิ่งขึ้น
ชิงซิ่วอี้ตกตะลึง
นางเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ซึ่งครอบครองสถานะพิเศษ มีร่างกายที่เป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดที่ทุกคนต่างก็ปรารถนา และชื่อเสียงของนางก็เลื่องลือไปทั่วอาณาเขตของราชวงศ์ซ่ง และเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายามเที่ยง ภายใต้รัศมีแพรวพราวจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ นางเป็นเหมือนเทพธิดาในหัวใจของศิษย์หนุ่มสาวทุกคนที่ไม่อนุญาตให้มีการดูหมิ่น
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ นางกลับถูกโอบกอดโดยชายแปลกหน้า ซึ่งแตกต่างกันอย่างคนละขั้ว ไม่ว่าจะเป็นในด้านสถานะ ตัวตน และการบ่มเพาะ ทำให้นางสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าสภาพจิตใจของนางจะดีเลิศสักแค่ไหน แต่ความตกใจที่นางได้รับอย่างกระทันหันนั้น ก็ทำให้จิตใจของนางยุ่งเหยิงอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกสับสนและโกรธเกรี้ยว
ด้วยความโกรธเกรี้ยวนี้ ชิงซิ่วอี้รู้สึกว่าจิตใจของนางปั่นป่วนในขณะที่ความคิดเหตุและผลที่เหลืออยู่ของนางถูกกลบด้วยกระแสแห่งตัณหา
ท่ามกลางความสับสน ชิงซิ่วอี้รู้สึกเพียงความเย็นที่บั้นท้าย ทำให้นางตระหนักได้ทันทีว่า ชั้นในที่อยู่ใต้เอวของนาง ไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว และก่อนที่นางจะทันได้ตอบสนอง มือที่หยาบกร้านได้ล้วงเข้าไปในร่องบั้นท้ายของนาง ซึ่งมันก็ได้ลูบไล้อย่างรุนแรงจนนางรู้สึกวูบวาบ…
“ไอ้สารเลว! ข้าจะฆ่าแก ข้าจะฆ่าแก…” เปลวไฟแห่งความโกรธในดวงตาของชิงซิ่วอี้ปะปนไปด้วยความเร่าร้อนอันแรงกล้า เสมือนคู่บ่าวสาวที่เพิ่งเข้าสู่ห้องหอ เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันเย้ายวนต่าง ๆ นานา
“อืม…” เมื่อร่องสะโพกของนางถูกลูบไล้ ทำให้ขาของนางอ่อนแรงลงจนนางไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก การดิ้นรนขัดขืนของนางก็ค่อย ๆ สงบลง ในขณะต่อมา นางรู้สึกว่ามีวัตถุแข็งเกร็งกำลังขยับอยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายที่บอบบางของนางสั่นไหว จู่ ๆ ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างของนาง
…
จู่ ๆ เฉินซีก็ได้สติขึ้นมากลางคัน
ร่างกายของเขายังคงสั่นระริก คลื่นแห่งความสุขถาโถมเข้าใส่เขาอย่างไม่หยุดหย่อน โดยไม่จำเป็นต้องลืมตา เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งมดอยู่ และผู้หญิงในอ้อมแขนของเขากลับถูกแทนที่ด้วยผู้หญิงอีกคน
นี่มัน . . . .ชิงซิ่วอี้!
“ข้ากำลังทำให้ชิงซิ่วอี้คร่ำครวญอย่างอ่อนหวานและสัมผัสถึงความสุขสมอยู่จริง ๆ หรือ?” ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกได้ก่อตัวขึ้นในใจของเฉินซี ทำให้เขารำลึกถึงความรู้สึกของการถูกเมินเมื่อครั้งที่พบกับนางเป็นครั้งแรก หรือความคับข้องใจและความโกรธที่เขารู้สึกจากการไร้พลังที่จะต่อต้านเมื่อเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้…
เมื่อได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ เขาจึงกระแทกใส่นางอย่างรุนแรงโดยไม่หยุดหย่อน
ตั๊บ ตั๊บ ตั๊บ!
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ หมอกสีฟ้าหนาทึบที่อยู่โดยรอบได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของคนทั้งสอง และพลังงานที่ไม่อาจอธิบายได้ ก็หล่อเลี้ยงอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ร่างกาย ปราณแท้ และจิตวิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ความคิดอาฆาตที่เฉินซีมีก่อนหน้านี้ได้สลายไปแล้ว และเขาเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง
“หยินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างชีวิตได้ เช่นเดียวกับที่หยางเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดการเจริญเติบโต ดังนั้นสวรรค์และโลกจึงรวมหยินและหยางเข้าด้วยกัน อากาศบริสุทธิ์ขึ้นสู่สวรรค์กลายเป็นหยาง อากาศขุ่นมัวลงมายังโลกกลายเป็นหยิน กลางวันเป็นหยาง กลางคืนเป็นหยิน ร้อนเป็นหยาง เย็นเป็นหยิน ผู้ชายเป็นหยาง ผู้หญิงเป็นหยิน ร่างกายและผิวหนังเป็นหยาง อวัยวะภายในเป็นหยิน… . หยินหยางผสมผสานกัน แล้วทุกสิ่งก็บังเกิด ชีวิตได้รับการขัดเกลา และหลักการของวัฏจักรแห่งสวรรค์ก็เช่นกัน…” ความเข้าใจมากมายของเต๋ารู้แจ้งแห่งหยินหยาง ทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหยินคืออะไรและหยางคืออะไร หยินและหยางเสริมซึ่งกันและกันอย่างไร ด้วยความเข้าใจเหล่านี้ มันทำให้วิญญาณและแก่นแท้ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกต่อไป
เฉินซีไม่เคยเข้าใจมหาเต๋าแห่งหยินและหยางอย่างลึกซึ้งมากไปกว่าช่วงเวลานี้
อักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าบนหลังของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน รูปร่างของพระราชวังทั้งเก้าเริ่มหมุนเมื่อแก่นดาราที่พร่างพรายทั้งเก้าก่อตัวเป็นดาราจักรที่ควบแน่นจากพลังงานของธาตุทั้งห้า อันได้แก่ หยิน หยาง ดวงดาว สายฟ้า และสายลม ซึ่งมันมองเห็นได้ลาง ๆ จนแทบจะโผล่ออกมาจากร่างของเขา อีกทั้งมันยังมีร่องรอยของการบรรลุในอีกไม่ช้า
ภายในทะเลสาบตำหนักอินทนิลของเขา ปราณแท้ของเขาพวยพุ่งและม้วนตัวพร้อมกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดราวกับมีแม่น้ำสายใหญ่ถูกซ่อนอยู่ภายใน ทำให้น้ำในทะเลสาบเพิ่มขึ้นและถาโถม กระแสน้ำวนที่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็นส่วนลึกของประตูชีวิตนั้น ดูเหมือนกับว่ามันกำลังเติบโตกลายเป็นสิ่งมีชีวิต มันเปล่งเสียง ”ตุ๊บ ตุ๊บ” ที่รุนแรงและทรงพลัง ซึ่งคล้ายกับเสียงของการเต้นของหัวใจ
“หืม? คุณภาพของปราณแท้ของข้าดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับ หยินและหยางถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน และมันก็ปะทุด้วยความมีชีวิตชีวา และอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถควบแน่นแกนทองคำจากประตูแห่งชีวิต เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังงานที่แฝงอยู่ภายในหมอกสีฟ้า?”
ตามความรู้ของเฉินซี หลังจากที่บรรลุขอบเขตเคหาทองคำแล้ว จะต้องดูดซับปราณหยินและหยางที่มีอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน เพื่อขัดเกลาปราณแท้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ เพื่อค้นหาปราณหยางนพเก้าล้ำลึก และเตรียมการที่จะทะล่วงเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง อย่างไรก็ตาม
แผนการของมนุษย์นั้นไม่อาจเทียบกับสิ่งที่สวรรค์ลิขิต และการเผชิญกับสถานการณ์ที่ผิดปกติในครั้งนี้ กลับทำให้เขาได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลแทน มันขัดเกลาปราณแท้ภายในตำหนักอินทนิลของเขาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้คุณภาพของมันก็ได้รับการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่า คุณภาพของปราณแท้ของเขาตอนนี้กลับดียิ่งขึ้น แข็งแกร่งและขยายได้มากกว่าคุณภาพที่ได้รับจากการดูดซับปราณหยางนพเก้าล้ำลึก และมันเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่หมุนเวียนโดยไม่หยุดหย่อน ทำให้โอกาสที่เขาจะควบแน่นแกนทองคำเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก!
“ในที่สุดข้าก็มีพละกำลังเพียงพอ ซึ่งเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก่อนที่การบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายและการบ่มเพาะลมปราณของข้าจะสามารถบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง! ข้าไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าข้าจะได้ประโยชน์จากความโชคร้ายนี้ และการพลิกผันของชีวิตก็เป็นสิ่งที่ประเมินไม่ได้และมันลึกซึ้งเกินจะหยั่งถึง” หัวใจของเฉินซีพลุ่งพล่านอย่างมาก และเขาได้ปล่อยชิงซิ่วอี้ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ดื่มด่ำกับการบ่มเพาะประเภทหนึ่งที่เต็มไปด้วยอิสระและความสุขอันยิ่งใหญ่
ในขณะเดียวกัน ชิงซิ่วอี้ก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นก่อนที่จะหลับตาลง และบ่มเพาะพลังงานที่นางดูดซับมาจากหมอกสีฟ้า
พวกเขาทั้งสามเปลือยกายอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่พวกเขานั่งขัดสมาธิบนพื้น แต่ไม่มีร่องรอยของกลิ่นอายแห่งตัณหา ความต้องการทางเพศในร่างกายของพวกเขาได้ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น ดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขาเงียบสงบ ใบหน้าของพวกเขาสงบนิ่งและปลอดโปร่ง กระแสลมรอบตัวของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขณะที่พวกเขาดูดซับหมอกสีฟ้าที่พวยพุ่งอย่างไม่หยุดยั้ง
…
กลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์! เหตุใดสมบัติเช่นนี้ถึงอยู่ที่นี่? ในขณะที่หลิงไป๋มองไปที่หมอกสีฟ้าที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่หยุดยั้ง สายตาที่วิตกกังวลของเขาก็สดใสขึ้นทันที
เนื่องจากกังวลถึงความปลอดภัยของเฉินซี เขาจึงไล่ตามรอยเท้าของฟ่านอวิ๋นหลานตลอดทางจนมาถึงที่นี่ แต่เนื่องจากการกระทำที่สังเวยชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ แก่นแท้ของเขาจึงบาดเจ็บ ทำให้พละกำลังของเขาถูกใช้ไปอย่างมากและความเร็วก็ลดลงเช่นกัน
ปีศาจสวรรค์นั้นมีสัตว์เทวะที่ยิ่งใหญ่อยู่หกตัว สัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์นั้นถูกเรียกอีกอย่างว่า สัตว์แห่งราคะ นอกจากนี้ มันได้กำเนิดมาจากสวรรค์และโลก ส่วนกลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์นั้นก่อตัวมาจากแก่นเลือดของสัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์ มันช่างดีจริง ๆ ที่มีกลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์มากมายอยู่ที่นี้ ดูเหมือนในระหว่างการต่อสู้เมื่อสองสามพันปีที่แล้ว ปีศาจสวรรค์ได้อัญเชิญสัตว์เทวะมาต่อสู้เพื่อพวกเขา!
ข้อมูลเกี่ยวกับกลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์นี้ แวบเข้ามาในใจของหลิงไป๋อย่างรวดเร็ว ในมิติของปีศาจสวรรค์นั้น สัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์มีสถานะสูงสุดเป็นอย่างยิ่ง มันลึกลับและยากที่จะค้นหา ปีศาจสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนยกย่องให้มันเป็นเทพเจ้า และสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของสัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์นั้นย่อมเป็นที่เคารพบูชาระหว่างการแต่งงานและการแต่งงานตามปกติ
เหตุผลที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะสัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์นั้นถูกสร้างขึ้นจากพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดของความหลงใหลและความปรารถนาท่ามกลางพลังแก่นแท้ของสวรรค์และโลก มันควบคุมเต๋าแห่งตัณหาและราคะ เป็นเหมือนเทพเจ้าที่สถิตอยู่เหนือสรรพสัตว์นับไม่ถ้วน ซึ่งมันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก
หมอกที่ก่อตัวขึ้นจากทุกลมหายใจของสัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์ สามารถทำให้ชายและหญิงทุกคนในโลกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สำหรับผู้บ่มเพาะ หากพวกเขาสามารถได้รับแก่นโลหิตของมัน ในทันทีที่มีการบ่มเพาะร่วมกันระหว่างชายและหญิง มันจะเกิดผลอันน่าอัศจรรย์ของการทำให้หยินและหยางรวมกัน แต่สรรพคุณที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ คุณภาพของปราณแท้ที่เกิดจากการบ่มเพาะร่วมกันในขณะที่ใช้แก่นโลหิต จะมีระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นเพราะสิ่งนี้เอง ที่แก่นโลหิตของสัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์ถูกเรียกว่า กลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในสรรพคุณอัศจรรย์น่าต่าง ๆ ของแก่นโลหิตที่สัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์ครอบครอง แต่ถึงอย่างนั้น กลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์ก็ยังคงเป็นสมบัติหายาก ที่มีโอกาสพบเจอโดยโชคชะตาเท่านั้น เนื่องจากสัตว์เทวะกลิ่นสวรรค์ตัวนี้ ได้อาศัยอยู่ในมิติปีศาจสวรรคที่ขัดแย้งกับโลกแห่งการบ่มเพาะ อีกทั้งมันยังอยู่ไกลมากและถูกกั้นมิติที่ไร้ขอบเขตจากโลกแห่งการบ่มเพาะ
อา! หลิงไป๋ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จู่ ๆ เขาก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ “หวังว่าเฉินซีคงจะไม่ได้เข้าไปในหมอกสีฟ้าที่เกิดจากกลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์กับผู้หญิงสองคนนั้นใช่ไหม? ข้าเกรงว่าแม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังต้องไร้พลังอย่างสิ้นเชิงและถูกตัณหาครอบงำเมื่อเข้าสู่กลิ่นหอมมึนเมาจากสวรรค์ที่หนาแน่นเช่นนี้… โอ้ หรือว่าพวกเขากำลังเสพสมกันอยู่ในตอนนี้?”
ทันใดนั้น สีหน้าของหลิงไป๋ก็พิกลแปลก ๆ เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่า เฉินซีจะต้องเสพสมกับยัยพวกผู้หญิงชั่วสองคนนั้นอย่างแน่นอน!
ซึ่งอันที่จริง ในหัวใจของหลิงไป๋นั้น ทั้งชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานน่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงการที่พวกนางบีบบังคับเขาจนแทบจะต้องสังเวยชีวิต อีกทั้งยังต้องการที่จะยึดสมบัติของเฉินซี ดังนั้นเขาจะไม่เกลียดพวกนางได้อย่างไร?
เมื่อหลิงไป๋ นึกถึงวิธีที่เฉินซีสามารถเสพสมได้ตามใจปรารถนากับเรือนร่างของผู้หญิงชั่วสองคนนั้น
คลื่นแห่งความยินดีจากการแก้แค้นก็เกิดขึ้นในใจของเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็คงยังพึมพำอยู่ในใจว่า “ไม่ควรมีผู้หญิงอยู่ในโลกนี้ ผู้หญิงทุกคนล้วนเป็นตัวปัญหา เป็นศัตรู และเป็นหลุมฝังศพของวีรบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิง ท่านอาจารย์ก็คงไม่…”