บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 238 เยว่ฉีผู้สร้างชื่อ
บทที่ 238 เยว่ฉีผู้สร้างชื่อ
เจิ้นหลิวชิงดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตสีหน้าแสดงความตกใจของผู้คนที่อยู่รอบข้างเลย ขณะที่นางผุดลุกขึ้นก่อนจะจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย จากนั้นจึงพยักหน้าไปทางหวงฝู่ฉงหมิง “องค์ชาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้เจ้าคงจะผิดหวังสินะ”
“แม่นางเจิ้น พรสวรรค์ในการหยั่งรู้ของเจ้าไม่ธรรมดาสมดังคำร่ำลือ” หวงฝู่ฉงหมิงเอ่ยพลางยิ้มน้อย ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ออกจะฝืดเฝื่อนเต็มที เห็นได้ชัดว่าการถูกเจิ้นหลิวชิงบีบบังคับเช่นนี้ ทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา
‘ไม่ธรรมดา… พลังของนางไม่ด้อยกว่าชิงซิ่วอี้แม้แต่น้อย…’ เฉินซีลอบถอนใจขณะจับตาดูเหตุการณ์เบื้องหน้า เขาก็อยากรู้เช่นกันว่าถ้าชิงซิ่วอี้อยู่ตรงนี้ด้วย ศิลาทดสอบเต๋านี้จะให้ผลออกมาเช่นไร
จากนั้นเป็นอันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่ก็ถูกวัดผลเป็นรายต่อมา คนทั้งสองพยายามอดใจรอให้ถึงจนช่วงสุดท้ายอยู่พักใหญ่ เพื่อที่พวกตนจะได้แสดงให้ทุกคนในที่นี้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของพวกเขาทั้งคู่
ผลปรากฏออกมาได้รวดเร็วทีเดียว ทั้งคู่มีเต๋ารู้แจ้งถึงสิบสี่ประเภทอยู่ในครอบครองซึ่งน้อยกว่าหวงฝู่ฉงหมิงเพียงหนึ่ง ซึ่งสร้างความขัดเคืองในใจแก่คนทั้งสอง ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าระดับของพวกเขาเทียบเท่ากับหลิวเฟิ่งฉือและหม่านหงเท่านั้น อย่าว่าแต่คนที่รั้งอันดับต้น ๆ อย่างเจิ้นหลิวชิงเลย
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็สามารถเรียกเสียงอุทานดังกระหึ่มจากบริเวณโดยรอบพอสมควร อย่างน้อยก็ทำให้ความสลดหดหู่ในใจของพวกเขาทุเลาลงบ้าง
ถึงตอนนี้ ภายในใจของทุกคนพอจะจัดอันดับผลการทดสอบได้คร่าว ๆ แล้ว เจิ้นหลิวชิงเป็นอันดับที่หนึ่ง ตามด้วยหวงฝู่ฉงหมิงอันดับสอง ส่วนหลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง อันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่วัดได้ระดับเท่ากัน จึงจัดอยู่ในอันดับที่สาม สี่ ห้าและหกไว้ก่อน
คนที่เหลืออย่างหลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์และเผยจง ได้ครอบครองเต๋ารู้แจ้งสิบสามประเภทเหมือนกัน จึงถูกจัดไว้ในอันดับเจ็ด แปดและเก้าตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้เองทำให้เซวี่ยเฉินซึ่งครอบครองเต๋ารู้แจ้งสิบสองประเภทถูกเบียดออกจากเก้าอันดับแรก เขาจึงหมดโอกาสที่จะได้รับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าเป็นรางวัล
สีหน้าของเซวี่ยเฉินบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะอันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่โผล่เข้ามาในช่วงเวลาสุดท้ายอย่างที่เขากังวลมาตลอด ป่านนี้เขาต้องติดอันดับหนึ่งในสิบอันดับแล้วอย่างแน่นอน สิ่งนี้จึงเป็นเสมือนปมปัญหาที่ก่อให้เกิดความขมขื่นในใจของเขา
‘เวลานี้ข้าครอบครองเต๋ารู้แจ้งแล้วสิบสามประเภท พูดตามหลักอย่างน้อยข้าก็น่าจะทัดเทียมกับหลินโม่เซวียนและคนอื่น น่าเสียดายที่อันดับหนึ่งในเก้าไม่มีที่ว่างสำหรับข้าเสียแล้ว เห็นทีข้าบุกเข้าไปเลยจะดีกว่าไหมนะ…’ ขณะนี้ เฉินซีนิ่งครุ่นคิดอยู่ในใจ
ตึก! ตึก! ตึก!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาแม้เสียงนั้นจะไม่ดังนัก ทว่าด้วยบรรยากาศที่เงียบงันทำให้หลายคนที่กำลังครุ่นคิดอยู่รู้สึกตัวขึ้นมาทันที เมื่อมองไปทางเสียงที่ได้ยินจึงพบว่าเป็นเยว่ฉีผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดาและไม่โดดเด่นอะไรกำลังเดินตรงไปที่ศิลาทดสอบเต๋าของจักรพรรดิสิ่งประดิษฐ์
ณ ตอนนี้ทุกคนรับรู้ได้ว่ามีผู้ที่ยังไม่ได้ทดสอบเหลืออยู่อีกสองคน!
จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ที่มองข้ามเฉินซีและเยว่ฉีไป เพราะหนึ่งในสองคนนี้มีฐานการบ่มเพาะเพียงแค่ขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์ ส่วนอีกคนก็เป็นแค่คนธรรมดาและไม่ได้มีชื่อเสียง เมื่อเทียบกับคนรุ่นเยาว์ที่มีแววรุ่งโรจน์และเป็นที่รู้จัก จึงไม่แปลกที่ทั้งสองคนจะถูกมองข้ามได้ง่าย
เมื่อเห็นเยว่ฉีเดินนำหน้าไป กระแสแห่งความท้อแท้สิ้นหวังก็กระหน่ำเข้าสู่จิตใจของเฉินซีอย่างไม่อาจยับยั้ง ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะขึ้นไปก่อน แต่ไม่คิดว่าเจ้าคนนั้นจะแซงหน้าออกไป
“เฮ้อ…เจ้านั่นมันยังไม่ยอมแพ้อีก ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเขากำหนดคนที่ได้ตำแหน่งเก้าอันดับแรกไว้แล้ว จะทดสอบไปเพื่ออะไร”
“อย่าดูถูกเจ้าหมอนั่นเชียว ในการทดสอบครั้งแรกสหายคนนั้นต่อสู้จนติดหนึ่งในสิบสองอันดับและได้รับรางวัลเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋ามาแล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นม้ามืดก็ได้”
“ม้ามืดอย่างนั้นหรือ เฮอะ! ถ้าแค่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งอย่างถ่องแท้แล้วบอกว่าน่าเลื่อมใส อย่างนั้นเขาคงมีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกไปเสียนานแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือแม้แต่ศิษย์สายหลักขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ที่ชื่อเซวี่ยเฉินยังถูกเขี่ยลงจากตำแหน่งไปแล้วเลย ต่อให้คนผู้นี้จะเลิศล้ำสักเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับเซวี่ยเฉินได้หรอก!”
“หุบปากน่า มาคอยดูผลการทดสอบดีกว่า อย่างไรเสียพวกเราจะเข้าลานทดสอบแห่งที่สามไม่ได้ ถ้าไม่มีการทดสอบของเขากับไอ้หนุ่มขอบเขตเคหาทองคำนั่น”
ถึงแม้จะถูกผู้คนวิจารณ์อย่างไม่ไว้หน้า ทว่าเยว่ฉียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยขณะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิใต้ศิลาทดสอบเต๋าเงียบ ๆ ก่อนจะหลับตาลงโดยไม่ปริปาก
โอม!
ทันใดนั้นเองเหตุการณ์ที่น่าตื่นตะลึงก็เกิดขึ้น เมื่อเยว่ฉีปิดตาลง แสงแห่งสวรรค์มากมายพลันปรากฏขึ้นมาเหนือศีรษะของเขา ก่อนจะไปปรากฏบนพื้นผิวของศิลาทดสอบเต๋า
เพียงพริบตาเดียว เต๋ารู้แจ้งสิบห้าประเภทก็ปรากฏออกมา! ด้วยจำนวนนี้จึงทำให้ขึ้นนำกลุ่มของหลินโม่เซวียนและพวกของหลิวเฟิ่งฉืออย่างขาดลอย และเท่าเทียมกับหวงฝู่ฉงหมิง หากด้อยกว่าเจิ้นหลิวชิงเพียงหนึ่งเต๋ารู้แจ้งเท่านั้น!
ผลลัพธ์ที่ได้สร้างความตกตะลึงแก่ทุกคนในที่นั้นจนเกิดเสียงอึกทึกทันที ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เวลานี้สิ่งที่พวกเขาคิดมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ‘ม้ามืด! คนผู้นี้มันม้ามืดชัด ๆ!’
ขณะเดียวกันหวงฝู่ฉงหมิงเองก็ตะลึงงัน พลางชำเลืองมองดูเยว่ฉีที่มีระดับเทียบเท่าตนเป็นครั้งแรกตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
ไม่ว่าจะเป็นหลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง อันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่ในยามนี้ ล้วนประหลาดใจระคนงุนงงกันไปหมด และเช่นเดียวกับหวงฝู่ฉงหมิงคนทั้งสี่ต่างหวนนึกถึงภูมิหลังของเยว่ฉีอย่างรวดเร็ว ‘นิกายจันทราบรรพกาลแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนืออย่างนั้นหรือ? ในนิกายนั้นมีอัจฉริยะอยู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?’
ทว่าฝ่ายหลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และเผยจงต่างมีสีหน้าหมองคล้ำถนัดตา การเผยตัวของเยว่ฉีทำให้อันดับของพวกตนตกอยู่ในอันตราย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา คนใดคนหนึ่งจะต้องถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
“ฮ่า ๆๆ! ข้า…เยว่ฉีบ่มเพาะมาถึงสิบเก้าปี ข้าปกปิดความสามารถของตัวเอง อดทนทุกวิถีทางเพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองและตอนนี้ทุกคนในโลกก็ได้รู้จักข้า ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ! ไม่เพียงแต่จะได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าเท่านั้น ข้ายังมีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าอีกด้วย! เมื่อถึงชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีข้างหน้าผลงานของข้าจะต้องยอดเยี่ยม ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังทั่วโลกต้องตกตะลึง!”
เยว่ฉีลุกขึ้นยืนภายใต้ศิลาทดสอบเต๋าก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะดังก้องชั้นฟ้า ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยและเคร่งขรึมเป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นแสดงออกราวกับคนที่กำลังคลุ้มคลั่ง อีกทั้งยังดูวิปริตผิดเพี้ยนอย่างน่าแปลกใจ ราวกับคนวิกลจริตและยังยโสโอหังกระนั้น บัดนี้เขากลายเป็นคนละคนกับชายหนุ่มหน้าตาเรียบ ๆ ที่ไม่มีความโดดเด่นคนก่อนอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนในที่นั้นได้แต่อึ้งกับภาพที่เห็น แม้พวกเขานึกชิงชังคนที่ตีสองหน้านี้ในใจอยู่แล้ว แต่ไม่อาจคิดหาเหตุผลที่จะมาลบล้างคำพูดของอีกฝ่ายได้ เพราะหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปและเมื่อพวกตนออกจากขุมสมบัติเฉียนหยวนแล้ว ชื่อของเยว่ฉีจะเป็นที่ประจักษ์แก่กองกำลังมหาอำนาจทั้งหลายในแผ่นดินซ่งทันทีและเขาจะกลายเป็นหนึ่งในคนรุ่นเยาว์ที่ทั้งยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพล
‘อดทนอย่างยากลำบากเพื่อชื่อเสียงไร้สาระ เหตุใดต้องยุ่งยากขนาดนั้น?’ เฉินซีนึกพลางถอนใจยาว จากนั้นความรู้สึกนิยมชมชอบเล็กน้อยที่มีต่อเยว่ฉีพลันมลายหายไป
“เฉินซี เจ้าเด็กบ้า! มัวยืนเฉยอยู่ทำไม ทำให้ทุกคนเขาต้องเสียเวลาเปล่า ๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคิดว่าจะมีปัญญารับมืออย่างนั้นหรือ รีบไปทดสอบเร็วเข้า!” ทันใดนั้นหลิวเฟิ่งฉือก็หันขวับไปมองเฉินซีด้วยแววตาขุ่นเคือง พลางตวาดเสียงดังอย่างเย็นชา
สิ้นเสียงของหลิวเฟิ่งฉือ ทั้งหวงฝู่ฉงหมิง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ หม่านหง รวมถึงคนอื่นต่างหัวเราะเยาะอย่างขบขัน จากนั้นก็หันไปมองเฉินซีด้วยสายตาแฝงความชิงชังอยู่ภายใน
หากมิใช่เพราะถูกห้ามไม่ให้ต่อสู้กันขณะทดสอบ พวกเขาคงลงมือสังหารเฉินซีไปนานแล้ว
‘ท่าทางชายหนุ่มคนนี้จะสร้างความขุ่นเคืองให้ใครต่อใครหลายคนเอาไว้สินะ?’
หลายคนในที่นี้เป็นผู้มีสายตาเฉียบคมและมากด้วยไหวพริบทำให้สังเกตเห็นความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเฉินซีกับหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่นได้ทันที
จากนั้นในใจของพวกเขาก็ถูกกระตุ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันท่วมท้น ‘เจ้าหนุ่มคนนี้มีฐานการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น เหตุใดจึงมีอริเป็นเหล่ายอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์มากมายได้ถึงเพียงนี้และยังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงปัจจุบันด้วย?’
แม้แต่เจิ้นหลิวชิงก็ยังแปลกใจ เดิมทีนางเคยคิดว่าเฉินซีแค่ทำให้หวงฝู่ฉงหมิงและหลิวเฟิ่งฉือขัดเคืองใจเท่านั้น ทว่านางไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วเฉินซีกลับทำให้เหล่ายอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อีกหลายคนโกรธแค้นด้วยอีกต่างหาก
‘สหายคนนี้น่าสนใจนัก…’ เจิ้นหลิวชิงชักอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเฉินซีมากขึ้น นางอยากรู้เสียแล้วว่าชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตเคหาทองคำ ยังมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรทั้งที่ได้สร้างศัตรูกับเหล่ายอดอัจฉริยะตั้งหลายคน มิหนำซ้ำเขายังอยู่อย่างสุขสบายอีกด้วย
แม้จะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนมากมาย เฉินซีก็ยังคงนิ่งสงบและมองหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินตรงไปยังศิลาทดสอบเต๋าอย่างเงียบ ๆ จากนั้นชายหนุ่มก็ทรุดนั่งขัดสมาธิ ตลอดเวลาเขาไม่เผยให้เห็นความขลาดกลัวหรือกราดเกรี้ยวแม้แต่น้อย มีแต่ไร้ความกังวลอย่างสิ้นเชิง
‘ไม่เป็นไร… ต่อให้ข้าไม่ติดอันดับหนึ่งในเก้าก็ช่างมัน แค่ได้มาสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของศิลาทดสอบเต๋าของจักรพรรดิสิ่งประดิษฐ์ก็คุ้มค่าแล้ว…’ เฉินซีพยายามทำให้จิตใจให้ปลอดโปร่งก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ