บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 252 แส่หาเรื่อง
บทที่ 252 แส่หาเรื่อง
ความคิดหลากหลายประดังประเดเข้ามาในใจของเป่ยเหิง แต่ปฏิกิริยาภายนอกมีเพียงรอยยิ้มแสดงความประหลาดใจให้เห็นเท่านั้น “เฉินซีเป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า ถ้าเขาทำให้สหายเต๋าขุ่นเคืองใจไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด ข้าต้องขออภัยแทนเขาด้วยและหวังว่าพวกเจ้าจะยกโทษให้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง อาจก้าวร้าวและบุ่มบ่ามไปบ้าง สหายเต๋าล้วนจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คงจะไม่ถือสาหาความเด็กมันหรอก ใช่ไหม”
วาจาไร้ที่ติเยี่ยงสุภาพชน โดยออกปากขอโทษก่อนจะซ่อนความนัยเตือนสติคนเหล่านั้น การที่คนผู้มีอาวุโสลดตัวลงไปวอแวกับคนที่มีสถานะด้อยกว่า มันไม่น่าละอายหรอกหรือไร
คำพูดของเป่ยเหิงปกป้องเฉินซีอย่างออกนอกหน้าซึ่งไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย เพราะคนที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ล้วนเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมากล้นจนทำให้โลกทั้งโลกสั่นสะเทือน อีกอย่างทั้งสถานะ ตัวตนและพลังของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเอง ดังนั้นการใช้วาจาอย่างเป็นกลางเช่นนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว
“หึ! สหายเต๋าเป่ยเหิง จักรพรรดิเป็นคนที่ชอบตรงไปตรงมา เกลียดการอ้อมค้อมที่สุด ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร แต่ที่รู้เวลานี้น้องชายร่วมสาบานของเจ้าได้ยึดเอาสมบัติสูงค่าที่บุตรชายของข้าครอบครองไว้ซึ่งก็คือเตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษ ข้ามาที่นี่เพื่อจะบอกให้เจ้าส่งตัวอันธพาลคนนั้นมาให้พวกเรา คิดให้ดีและอย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ!” หวงฝู่จิ่งเทียนผู้เป็นราชาแห่งตำหนักจ้าวปัญญากล่าวอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงก้องกังวานดั่งระฆัง สะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถงชุมนุม ผู้เป็นเจ้าของเสียงสวมมงกุฎชุบทองคำทรงสูง ชุดคลุมสีเหลืองเข้มปักลวดลายงูเหลือมเก้าตัวสะบัดพลิ้วไปตามกระแสลม ทีท่าสง่างามดูน่าเลื่อมใส ไม่เปิดช่องให้เป่ยเหิงใช้วาจายอกย้อนและต้องการจะต้อนให้จนมุม
‘เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษอย่างนั้นหรือ?’
หลังจากได้ฟังดังนั้น ทำให้เป่ยเหิงนึกตกใจอยู่เงียบ ๆ แม้ว่าตนจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ทว่าในเมื่อมาอยู่ในมือของโอรสของราชาแห่งตำหนักจ้าวปัญญา ฉะนั้นย่อมเป็นของสูงค่าอย่างแน่นอน สิ่งที่เหนือความคิดหมายก็คือเหตุใดน้องชายร่วมสาบานของเขาจึงยึดสมบัติล้ำค่าขององค์ชายได้เล่า ทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาจะทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นได้อย่างไร
ลึก ๆ ในใจเขาคิดว่าเฉินซีไม่ใช่คนใจกล้าบ้าบิ่นหรือมีนิสัยหยาบกระด้างแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขาเป็นคนฉลาดและเป็นคนมีไหวพริบเสียด้วยซ้ำ หากจะว่าไปในด้านความใจเย็นและจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงแล้ว เฉินซีไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ตาแก่ที่มีชีวิตอยู่มานานหลายพันปีเลย ดังนั้นการที่เฉินซีจะทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบเช่นนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย
‘หรือว่านี่เป็นเพียงข้ออ้าง?’ ความคิดมากมายพลันแวบเข้ามาในใจของเป่ยเหิงทันที จากนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นสังเกตท่าทีของผู้บ่มเพาะเบื้องหน้าพลางนึกในใจกับตนเอง อาจจะยกเรื่องเก่ามาอ้างเหมือนกับหวงฝู่จิ่งเทียนสินะ
“อย่าเดาเสียให้ยากเลยสหายเต๋าเป่ยเหิง ไม่เพียงน้องชายร่วมสาบานของเจ้าจะยึดสมบัติวิเศษของโอรสแห่งราชาของตำหนักจ้าวปัญญาเท่านั้น แม้แต่สมบัติล้ำค่าของศิษย์เราก็ตกอยู่ในมือของเจ้าเด็กนั่นทั้งหมด เช่นนี้แล้วจะว่าไม่สมควรที่พวกเราจะสั่งสอนเด็กอันธพาลแบบนี้ไม่ได้แล้ว จริงหรือไม่” เวลานั้นนักพรตเต๋าหลงเหอผู้มีเส้นผมสีเงินแซมขาวสะท้อนแสงเป็นประกาย สวมผ้าคลุมนักพรตเต๋า ผิวพรรณเปล่งประกาย ลักษณะเหมือนบัณฑิตผู้ทรงความรู้
“ใช่ เจ้าเด็กนั่นมันเป็นอันธพาลที่ใช้วิธีต่ำทรามยิ่งกว่าพวกนิกายปีศาจด้วยซ้ำ ที่พวกเรามาวันนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้สหายเต๋าเป่ยเหิงต้องลำบากใจ ถ้าเจ้าส่งเด็กคนนั้นมาให้ พวกเราจะไปทันที”
“สหายเต๋าเป่ยเหิงด้วยสถานะอย่างพวกเราย่อมจะไม่มีทางหลอกลวงเจ้าอยู่แล้ว จงไตร่ตรองดูให้รอบคอบและรีบตัดสินใจโดยด่วน ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นสหายเต๋าด้วยกัน ข้าขอรับประกันว่าตราบใดที่พี่น้องร่วมสาบานของเจ้าเชื่อฟังและให้ความร่วมมือแต่โดยดี ชีวิตเขาก็จะไม่มีอันตราย มิฉะนั้นจะโทษที่พวกเราไม่อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด”
ฝ่ายโม่หลานไห่ผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งเกาะฉลามมังกร หลิวเสี่ยวประมุขแห่งภูเขานภาลัย จ้าวจื๋อเหม่ยแห่งนิกายสวรรค์ปฐพีและชงซวี่แห่งนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ต่างเอ่ยขึ้นในทำนองเดียวกัน และพวกเขาก็ไม่ได้นิ่งเงียบอีกต่อไป
เป่ยเหิงใจหายวาบ ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าใจถึงสาเหตุที่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวแล้ว สัญชาตญาณของเขายังบอกกับตนเองด้วยว่าท่าทางเรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายเสียแล้ว
‘ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้พร้อมใจกันออกมาจากที่มั่นของตนเพื่อมายังนิกายของข้าก็เพราะเห็นแก่สมบัติล้ำค่าของศิษย์นิกายของพวกเขาอย่างนั้นหรือ’
‘ไร้สาระ!’
ในฐานะที่ตนก็เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่ง สำหรับเป่ยเหิง เขาจะไม่มีทางออกจากที่มั่นตนเองไปเคาะประตูบ้านคนอื่นเพราะความแค้นส่วนตัวเรื่องสมบัติล้ำค่าที่ศิษย์ทำหายไปอย่างแน่นอน
เพราะเรื่องนี้สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีมันเล็กน้อยเกินไป ไม่ได้สลักสำคัญมากพอที่เสาหลักของนิกายจะต้องออกหน้า หรือเรื่องผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติและขอบเขตสถิตกายาที่นิกายอุปถัมภ์ค้ำจุนทั้งหมดนั้นเป็นแค่เพียงเบื้องหน้า การที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?
ข้ออ้าง!
ที่แท้หัววัวก็ไม่ตรงกับปากม้า*[1]…พวกมันมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน!
ความเข้าใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เป่ยเหิงไม่อาจใช้ข้ออ้างนั้นสร้างความเจ็บปวดให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้ ในโลกแห่งการบ่มเพาะบางครั้งมักกล่าวอ้างคุณธรรมเวลาจะกระทำสิ่งไม่ดีหรือน่ารังเกียจมิใช่หรือ
แน่ละ บางทีข้ออ้างก็ใช้ได้ผล บางคนสามารถใช้ช่องว่างอันน้อยนิดของกลยุทธ์และเจรจาพูดคุยจนได้รับชัยชนะทางอ้อม อย่างน้อย ๆ พวกเฒ่าประหลาดที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ไม่ได้คิดจะลงมือทันทีโดยไม่สนใจถามไถ่หรือรับฟังสิ่งที่เขาชี้แจง
นี่เป็นผลอันน่าอัศจรรย์ของข้ออ้างที่อาจเป็นได้ทั้งในเชิงจู่โจมและป้องกัน แต่แก่นแท้ของการแข่งขันยังคงเป็นเรื่องของความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นหลักการสูงสุดที่ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง
น่าเสียดายที่หนนี้ไม่มีช่องให้เปิดการเจรจาและใช้กลยุทธ์ ด้วยข้ออ้างที่หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่นยกขึ้นมานั้น ไม่ได้สนใจว่าเป่ยเหิงจะเห็นด้วยหรือไม่
เป่ยเหิงทั้งโกรธเคืองและรู้สึกหดหู่เป็นอันมากทีเดียวที่ถูกบีบบังคับให้ยอมร่วมมือกับกองกำลังอื่นและเขาก็ไม่ยอมโดยง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงเสียงถอนหายใจดังออกมา “สหายเต๋ามาช้าเกินไป น่าเสียดายที่เมื่อหนึ่งปีก่อนน้องชายร่วมสาบานของข้าได้ออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรไปแล้ว และตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด แล้วเช่นนี้จะให้ข้าส่งตัวเขาให้พวกเจ้าได้อย่างไร”
เขาพูดความจริง ดังนั้นจึงตอบตรงไปตรงมาโดยไม่ปัดสวะให้พ้นตัวด้วย
“หืม? มันไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากท่านหรอกหรือ” หวงฝู่จิ่งเทียนตกตะลึงขณะถามด้วยความประหลาดใจ มิใช่แค่เขาคนเดียว บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหมดต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กัน
สิ่งที่พวกเขากังวลใจก็คือเมื่อชายหนุ่มขอบเขตเคหาทองคำคนนั้นรู้ตัวว่าหายนะกำลังจะมาเยือน ตามปกติก็น่าจะมุ่งหน้ามาที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่อย่างเป่ยเหิง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตรงมาที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร เพื่อหวังว่าจะมาลากตัวมันจากเป่ยเหิง แต่ไม่คาดฝันว่าสิ่งที่คิดกันไว้จะไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงแปลกใจไม่น้อย
ที่สำคัญพวกเขาร้องขอความร่วมมือเพื่อจะจับตัวและกำจัดคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าละอายอย่างแท้จริง ขณะที่หากว่าพวกเขาบีบให้เป่ยเหิงนำตัวเฉินซีมามอบให้ได้สำเร็จ สถานการณ์จะเป็นอีกอย่าง ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียได้
เป่ยเหิงนิ่งงันไปชั่วขณะ ความกระจ่างแจ้งค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจนทำให้เขาเริ่มเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ‘น้องชายร่วมสาบานคนนั้นคงรู้ดีว่าตัวเขาจะเป็นต้นเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่ จึงไม่มุ่งหน้ามาหาข้าเพราะไม่อยากให้ข้าและนิกายกระบี่เมฆาพเนจรต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนี่เอง!’
ความคิดนั้นได้กระตุ้นความรู้สึกของเป่ยเหิงอย่างรุนแรง ความรู้สึกเหนือคำบรรยายและความภูมิใจเอ่อล้นในใจ ‘แม้ว่าพลังของน้องชายร่วมสาบานคนนี้จะอ่อนด้อย แต่ยามตกที่นั่งลำบากกลับยังนึกเกรงใจไม่อยากให้ข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ในฐานะพี่ใหญ่ ข้าจะดูดายแล้วปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?’
“บรรพจารย์สูงสุด ศิษย์มีเรื่องด่วนมาขอเข้าพบขอรับ” ทันใดนั้น ด้านนอกของหอชุมนุมเสียง หลิงคงจื่อผู้เป็นประมุขของนิกายพูดขึ้นมาให้ได้ยิน
เป่ยเหิงชะงักด้วยความแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอนุญาต เขารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะหลิงคงจื่อมีเรื่องด่วนมาก อีกฝ่ายจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าตนและเหล่าสหายเฒ่าขณะนี้แน่นอน
“บรรพจารย์สูงสุด ผู้บ่มเพาะที่เมืองหมอกสนส่งแผ่นหยกนี้มาขอรับ” เมื่อหลิงคงจื่อเข้ามาแล้วก็รีบรายงานรวดเร็ว จากนั้นก็ตรงเข้ามาส่งมอบแผ่นหยกเงาให้อีกฝ่าย ก่อนจะผลุนผลันกลับไป
ในแผ่นหยกเงามีภาพเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้เป็นระยะ ภาพที่พวกหวงฝู่ฉงหมิงรวมหัวกันจู่โจมหลิงไป๋ ภาพเหตุการณ์ที่เฉินฮ่าวถือกระบี่ยืนบังเพื่อป้องกันให้เฉินซี… ภาพส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้ที่เกิดในเมืองหมอกสน อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์รุนแรง ชวนระทึกขวัญและน่าสะพรึงกลัวทั้งสิ้น
หลังจากที่ดูจนจบ เป่ยเหิงก็นิ่งอึ้งด้วยความรู้สึกที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น จนเจ้าตัวถึงกับพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน
คนตัวเล็กที่มีความสูงแค่สี่ชุ่น ทว่ามีความมหัศจรรย์ มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังครอบครองเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน ศัสตราวิเศษรูปเคียวโค้งที่อัดแน่นด้วยเจตนาสังหารที่สามารถชักนำให้เกิดค่ายกลกระบี่มหาปราณ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดแห่งฟ้าดินที่น่าประทับใจ …บัดนี้ เป่ยเหิงกระจ่างแจ้งแล้วว่าที่แท้เฒ่าพิลึกพวกนี้อยากจะได้สมบัติล้ำค่าของน้องชายร่วมสาบานของเขานั่นเอง!
“สหายเต๋าเป่ยเหิง ในเมื่อเจ้าเด็กอันธพาลไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหมอกสนในตอนนี้เพื่อจับมันให้ได้ เจ้าคงไม่คิดที่จะไม่ขัดขวางใช่หรือไม่”
“ไปกันเถอะ ข้าว่าสหายเต๋าเป่ยเหิงน่าจะแยกแยะได้และชั่งน้ำหนักของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี พวกเราไม่ควรทำให้เขาลำบากใจจะดีกว่า ไปที่เมืองหมอกสนกันเถอะ คิดเสียว่าพวกเราไม่เคยมาที่นี่ก็แล้วกัน”
“อนิจจา ความจริงพวกท่านสหายเต๋าจะมาเองก็ได้เผื่อจะเกลี้ยกล่อมให้เด็กคนนั้นยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี สถานการณ์เป็นดังนี้แล้วจะกลายเป็นว่าพวกเราเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กน่ะซี”
ขณะที่หวงฝู่จิ่งเทียนกำลังจะออกจากห้องโถงชุมนุม พร้อมกับคนอื่น ๆ เสียงสนทนาหารือกันก็ดังขึ้น ในเมื่อเฉินซีไม่อยู่ที่นี่ ทั้งหมดจึงไม่มีเหตุให้ต้องเจรจากับเป่ยเหิงอีกต่อไป แล้วที่ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีรังแกเด็กหมายความว่าอะไร
คนเหล่านี้มาพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายและยังกลับไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ได้เห็นนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงออกถึงความยโสโอหังที่มีในตัวเองอย่างที่สุด
ถ้าเป็นสมัยก่อนเป่ยเหิงคงทำได้เพียงพยายามข่มความรู้สึกชิงชังไว้ในใจ ทั้งที่เจ็บแค้นแต่ไม่กล้าเปิดเผยออกมา เขาเพียงคิดเสียว่าเป็นคราวเคราะห์ของเขาเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขาได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ทนอีกต่อไป เพราะพวกคนหน้าซื่อใจคดเหล่านี้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้เขามากพอแล้ว
“สหายเต๋า ข้าอยากให้พวกท่านฟังนี่ก่อน ข้าจะแนะนำให้ด้วยความหวังดี พวกเจ้าไม่ควรทำให้พี่น้องร่วมสาบานของข้าขุ่นเคืองเป็นอันขาด มิฉะนั้น พวกเจ้าทุกคนไม่มีทางทนรับผลที่จะตามมาได้แน่นอน” น้ำเสียงที่ราบเรียบและไม่ยินดียินร้ายของเป่ยเหิงดังก้องเข้าไปในโสตประสาทของคนเหล่านั้น หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่นที่กำลังกลับออกไปพลันชะงักฝีเท้ากลางคัน ก่อนจะหันกลับมามองยังเป่ยเหิงด้วยสายตาเยือกเย็น ถึงแม้ไม่มีใครเอ่ยออกมาเป็นคำพูด ทว่ารังสีอำมหิตของผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีได้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถงชุมนุม อากาศในบริเวณดูเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งอย่างเฉียบพลัน
“อะไร? สหายเต๋าเป่ยเหิงพูดอย่างนี้ หรือเจ้าอยากจะขัดแย้งกับพวกเราอย่างนั้นหรือ” หวงฝู่จิ่งเทียนกัดฟันพูดด้วยเสียงเครียด เสียงที่เปล่งออกมาดังก้องปานฟ้าร้องเมื่อเจ้าตัวออกวาจาอย่างคนที่ทรงอำนาจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าพวกเราลงมือ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเจ้าจะพบจุดจบอย่างไร”
“หึ! เพราะเป็นสหายเต๋าด้วยกันหรอก จึงเห็นแก่หน้าเจ้ามากพอแล้ว สหายเต๋าเป่ยเหิง เจ้าควรจะเข้าใจว่าวันนี้เจ้าโชคดีมากแล้ว ดังนั้นอย่าได้คิดสั้นทำลายชีวิตตัวเองเลย!” โม่หลานไห่ผู้เป็นประมุขแห่งเกาะฉลามมังกรเอ่ยข่มขู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ข้าชักอยากเห็นเสียแล้วว่าที่เจ้าบอกว่าพวกเราไม่อาจทนรับผลที่ตามมาได้มันคืออะไร สหายเต๋าเป่ยเหิง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะทำเป็นล้อเล่นไม่ได้!” เสียงนักพรตเต๋าหลงเหอแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์กล่าว ประกายเย็นวาบพุ่งออกมาจากสายตาที่จ้องมองของทุกคนในที่นั้น
คนอื่นที่เงียบเฉยไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูดออกมาก็จริง ทว่าทั้งสีหน้าเย็นชาและความเคร่งขรึมเผยเจตนาร้ายออกมา ยามนี้บรรยากาศรอบข้างประหนึ่งจะเกิดการปะทะได้ทุกเมื่อ
“โธ่เอ๋ย…เจ้ามันก็เหมือนกบในกะลาดี ๆ นี่เอง คิดว่าทุกคนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีแล้วจะดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่า จนบังคับให้ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการได้อย่างนั้นหรือ ลองดูตราคำสั่งชิ้นนี้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” เป่ยเหิงยังคงสงบนิ่งขณะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้า เขาถอนหายใจพลางส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างต่อเนื่อง พูดแล้วก็แบมือออกไป ลำแสงสีขาวประหลาดพลันวาบออกจากกลางฝ่ามือพุ่งเข้าหาหวงฝู่จิ่งเทียนทันที
“เพ่ย! เจ้ากล้าพูดจาดูหมิ่นราชาผู้นี้หาว่าเป็นกบในกะลาอย่างนั้นหรือ อยากรนหาที่ตายหรืออย่างไร!” หวงฝู่จิ่งเทียนตะคอกเสียงเย็นชาอย่างโกรธจัด ก่อนจะยื่นมือออกไปฉวยลำแสงสีขาวนั้น
ตราคำสั่งสีหยกขาวใสแจ่มกระจ่างดั่งปุยหิมะฉายภาพสะท้อนเข้าไปในดวงตา ลักษณะเหมือนหยกแต่มิใช่หยก บนพื้นผิวมีสายหมอกเรืองแสงพวยพุ่งและปรากฏตัวอักษรให้เห็นรางเลือนคำว่า ‘บริสุทธิ์’ แม้เป็นเพียงตัวอักษร ทว่าเปิดเผยจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และไร้ขีดจำกัดพุ่งตรงไปประดุจคมกระบี่ทะลุทะลวงเข้าสู่จิตใจของคนกระนั้น
ทันทีที่ตราคำสั่งปรากฏแก่สายตา สีหน้าของหวงฝู่จิ่งเทียนพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นความตระหนกสุดขีด ขณะเขม้นสายตามองจนจอประสาทตาหดเกร็ง
—————————————————
[1] หัววัวก็ไม่ตรงกับปากม้า เป็นสำนวนจีน หมายความว่า ตอบไม่ตรงคำถามหรือเรื่องราวไม่สอดคล้องกัน