บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 255 พลังทำลายล้างที่ไร้ขอบเขต
บทที่ 255 พลังทำลายล้างที่ไร้ขอบเขต
เพลงหมัดมหาทำลายล้างเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่บัญญัติขึ้นโดยเจ้าของขุมสมบัติเฉียนหยวน แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเคล็ดวิชาที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งถูกบันทึกไว้เพียงสามขั้นเท่านั้น
หากใช้มันร่วมกับเต๋ารู้แจ้งที่เป็นสุดขั้วของทั้งสองประเภท มันจะสร้างพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่ง
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า เต๋ารู้แจ้งที่ไร้ขอบเขตส่วนใหญ่ในสวรรค์และโลกมีสองขั้วที่ปฏิเสธกันและกัน และไม่สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้ เฉกเช่น น้ำกับไฟ หยินกับหยาง ท้องฟ้ากับผืนดิน และอื่น ๆ เพลงหมัดมหาทำลายล้างก็ใช้การปฏิเสธร่วมกันระหว่างพลังที่เกรี้ยวกราดทั้งสองนี้เพื่อระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง และมันคือพลังทำลายล้าง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่เรียกว่าการลบล้างคือการควบคุมพลังสองประเภทที่แตกต่างและตรงข้ามกันอย่างไม่มีที่ติ โดยทำให้พลังทั้งสองนี้ชนกันและเข้าสู่สภาวะไร้ระเบียบได้อย่างง่ายดาย และปล่อยให้มันระเบิดออกมาด้วยพลังที่น่าเหลือเชื่อ
ด้วยเหตุนี้เอง เฉินซีจึงไม่ลังเลที่จะเลือกกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้นในระหว่างการทดสอบครั้งแรกของขุมสมบัติเลย แม้ว่าเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างในเคล็ดวิชาการต่อสู้นี้จะมีเพียงผิวเผินและไม่อาจหยั่งถึงได้ แต่ทักษะการใช้ประโยชน์จากมวลพลังของเต๋ารู้แจ้งที่อยู่ภายในนั้น ทำให้เขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
ภายในห้องอันเงียบสงบ เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จิตสัมผัสเทพของเขาจะพุ่งเข้าไปในแผ่นหยกที่ปกคลุมด้วยแสงสีทอง
โอม!
ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเฉินซี บนที่ราบรกร้างอันไร้ขอบเขต มีร่างหนึ่งที่สง่าผ่าเผย ไร้ความเกรงกลัวใด ๆ และสูงตระหง่านดั่งขุนเขายืนอยู่ พื้นดินรอบ ๆ ตัวเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับปุยฝ้ายที่ปลิวว่อน และพื้นดินก็เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างชัดเจน
แต่เฉินซีก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าคนผู้นี้ย่อมคือเซียนสวรรค์เฉียนหยวน ผู้เป็นเจ้าของขุมสมบัติอย่างแน่นอน
“ทลายพิภพ!” เสียงอันน่าเกรงขามระเบิดออกมา ในขณะที่ร่างนั้นเคลื่อนไหวและฟาดออกไปด้วยหมัดที่ธรรมดาและเรียบง่าย แต่เสมือนกับว่ากระแสน้ำอันยิ่งใหญ่ได้ระเบิดออกมาจากส่วนลึกของจักรวาลและพุ่งเข้าสู่โลกใบนี้ ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ พื้นดินแยกออกจากกัน ภูเขาพังทลาย มหาสมุทรเหือดแห้ง ราวกับว่ามันได้กวาดล้างทุกสิ่งในโลกและทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบงัน
เพียงหมัดเดียว โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะประสบกับหายนะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อีกทั้งพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวนั้นแสนจะเรียบง่ายอย่างสุดขั้วเกินกว่าที่มนุษย์จะควบคุมได้
‘ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! หมัดที่ธรรมดาเช่นนี้แต่กลับรุนแรงยิ่งยวดช่างสมกับชื่อ ‘ทลายพิภพ’ จริง ๆ!’ ในเวลาไม่นาน ท้องฟ้าและผืนดินก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่เฉินซีกลับตกตะลึงจนลืมหายใจ
“ทลายโกลาหล!” ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง ร่างที่สง่าผ่าเผยนั้นเป็นดั่งมังกรที่ทะยานจากท้องทะเลขณะพุ่งไปในอากาศ แล้วชูกำปั้นขึ้นไปบนฟ้าขณะที่เขายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง และมวลพลังที่ทำให้ใจต้องสั่นไหวกำลังมาบรรจบที่กำปั้นของเขา
เมื่อเฉินซีมองจากระยะไกล เขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งสองกำลังก่อตัวขึ้นด้วยกำปั้นของร่างนั้น โลกใบหนึ่งมีท้องฟ้าอยู่ด้านล่างและพื้นดินอยู่ด้านบนเหมือนโลกกลับหัว ในขณะที่อีกโลกหนึ่ง ท้องฟ้าและพื้นดินนั้นอยู่ในสภาพปกติ แต่ทุกอย่างในโลกนี้ดูเหมือนจะถูกพลิกและศีรษะของพวกเขาก็หันหน้าเข้าหาพื้นดิน ในขณะที่ขาของพวกเขากลับชี้ขึ้นฟ้า
ทันทีที่เขาเห็นปรากฏการณ์นี้ เฉินซีก็รู้สึกอึดอัดจนแทบจะกระอักเลือด ทำให้พลังชีวิตและลมปราณในร่างกายของเขาเริ่มปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ตู้ม! ครืน! ครืน!
กำปั้นที่แฝงไปด้วยพลังสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ระเบิดออกมาในที่สุด ทันใดนั้น โลกก็พลิกคว่ำและจักรวาลก็ตกอยู่ในความโกลาหล และแม้แต่อวกาศอันไร้ขอบเขตก็ถูกบดขยี้อย่างรุนแรงจนตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่
ท้องฟ้าและพื้นดินทั้งหมด รวมถึงทุกสิ่งที่อยู่ในขอบเขตการมองเห็นของเฉินซี เหมือนตกอยู่ในความโกลาหล กฎระเบียบพังทลาย และเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งวัตถุที่ไม่มีชีวิตก็กำลังพังทลายและสลายไป!
‘พลังทำลายรุนแรงอะไรเช่นนี้! หมัดแรกทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินถูกทำลาย และกลับคืนสู่ความเงียบงัน ในขณะที่หมัดที่สองทำให้ทุกสิ่งในจักรวาลตกอยู่ในความโกลาหล และทำให้ทุกสิ่งในบริเวณนั้นพังทลาย! ข้าสงสัยนักว่ากระบวนท่าที่สามจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน!’ หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็หายตกตะลึง เขารู้ว่าหมัดทั้งสองนี้เป็นตัวแทนของกระบวนท่าของสองขั้นแรกในเพลงหมัดมหาทำลายล้าง และเหนือไปกว่านั้นคือขั้นที่สามและขั้นสุดท้าย
“ทลายนิรันดร์!” เช่นเดียวกับที่เฉินซีคาดไว้ เมื่อท้องฟ้าและพื้นดินฟื้นคืนสู่สภาพเดิม ร่างที่สง่าผ่าเผยก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่เฉินซีไม่สามารถลืมตาได้ในขณะนี้
เพราะเมื่อร่างนั้นชกกำปั้นออกไป พลังการทำลายล้างที่ไร้ขอบเขตได้เปล่งแสงที่สว่างพร่างพรายออกมา ทำให้ดวงตาของเฉินซีเจ็บปวดและรู้สึกราวกับว่าดวงตาของเขากำลังจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ขณะที่น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของเขา เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่า ท้องฟ้าและพื้นดิน หยินและหยาง ภูเขา แม่น้ำ ทุกสิ่งหายไปหมดสิ้น แม้แต่เถ้าธุลีก็หาไม่พบ มันเป็นความว่างเปล่าที่ทำให้หัวใจและจิตวิญญาณรู้สึกถูกกดดันอย่างไร้ขอบเขต!
‘ทลายนิรันดร์ นี่คือพลังที่เกิดจากเพลงหมัดมหาทำลายล้างขั้นที่สามหรือ…’ เฉินซีรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่างกายของเขา และรู้สึกหวาดกลัวจนหายใจไม่ออกโดยไม่มีเหตุผล
ตู้ม!
ในขณะนี้ โลกทั้งใบแตกเป็นเสี่ยง ๆ และถูกทำลาย ในขณะที่เฉินซีก็ได้กลับมาสู่ความเป็นจริงเช่นกัน ตอนนี้เขาพบว่าร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ จนรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
แต่เขากลับไม่สามารถสนใจสิ่งเหล่านี้ได้ เนื่องจากเขาพบว่าแสงสีทองที่ปกคลุมแผ่นหยกที่อยู่ในมือของเขาได้หายไป และมันได้เปลี่ยนเป็นแสงสีทองเข้มที่หลอมรวมอยู่ภายในแผ่นหยก ในขณะที่เขาตรวจสอบเนื้อหาของแผ่นหยกอีกครั้ง เขากลับไม่สามารถรับชมปรากฏการณ์ที่เหมือนจริงจากก่อนหน้านี้ได้ และมีเพียงความลึกซึ้งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเพลงหมัดมหาทำลายล้างเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ในแผ่นหยก
‘ดูเหมือนข้าจะไม่สามารถเข้าใจกระบวนท่าขั้นที่สามได้… บางทีข้าอาจจะเข้าใจกระบวนท่าที่สามได้ ก็ต่อเมื่อข้าเชี่ยวชาญสองขั้นแรกของกระบวนท่าทลายพิภพและทลายจักรวาลเสียก่อน’ เฉินซีสังเกตด้วยความประหลาดใจว่าเขาสามารถเข้าใจสองขั้นแรกของเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ในขณะที่ขั้นที่สามกลับถูกห่อหุ้มด้วยดวงแสงสีทองที่ก่อตัวเป็นข้อจำกัด
อันที่จริง มันควรถูกเรียกว่าการหยั่งรู้มากกว่าการเรียนรู้วิธีการใช้เต๋ารู้แจ้งภายในนั้น
ท้ายที่สุดแล้ว เพลงหมัดมหาทำลายล้างนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์ และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างภายในนั้นก็มีเพียงผิวเผิน แม้ว่าเฉินซีจะศึกษาและหยั่งรู้ได้ เขาก็ไม่มีทางทำให้โลกถูกทำลาย จนก่อความโกลาหลให้โลกทั้งใบ และทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นความว่างเปล่าด้วยหมัดเดียวเฉกเช่นเฉียนหยวนผู้เป็นเซียนสวรรค์
เนื่องจากมันขาดเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้าง ดังนั้นวิธีการใช้เต๋ารู้แจ้งจึงยังคงอยู่ในเพลงหมัดมหาทำลายล้างนี้
นี่คือข้อบกพร่องของเคล็ดวิชาการต่อสู้เต๋าครึ่งขั้น เนื่องจากกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่แท้จริงจะประกอบไปด้วยเต๋ารู้แจ้งที่สมบูรณ์ ในขณะที่ผู้บ่มเพาะฝึกฝนมัน คนผู้นั้นก็จะหยั่งรู้ถึงเต๋ารู้แจ้งที่อยู่ภายในเคล็ดวิชาไปพร้อม ๆ กัน ราวกับฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
แต่เฉินซีไม่ได้ใส่ใจเรื่องทั้งหมดนี้ เขาเพียงต้องการเข้าใจวิธีการใช้เต๋ารู้แจ้งที่มีอยู่ในเพลงหมัดมหาทำลายล้าง มิฉะนั้น เขาคงไม่เลือกกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ไม่สมบูรณ์นี้ ท่ามกลางกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าทั้งเก้า
‘ในบรรดาเต๋ารู้แจ้งที่ข้าเชี่ยวชาญ อันได้แก่ เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำและไฟ เต๋ารู้แจ้งหยินกับหยาง และเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาและผืนดิน ต่างก็ปฏิเสธกันและกัน อีกทั้งพวกมันยังเป็นเต๋ารู้แจ้งของทั้งสองขั้ว เมื่อรวมกับวิธีการใช้ประโยชน์ในเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ข้าสงสัยนักว่ามันจะสามารถเทียบกับเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างที่แท้จริงได้หรือไม่’
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกำลังไตร่ตรองและทุ่มสมาธิทำความเข้าใจกับเพลงหมัดมหาทำลายล้าง โดยใช้วิธีเรียนรู้เคล็ดวิชาในใจของเขาก่อนเท่านั้น ทำให้เขาสามารถประเมินและนำมันมาใช้รวมเข้ากับเต๋ารู้แจ้งของเขาเอง วิธีการบ่มเพาะเช่นนี้แท้จริงแล้ว ไม่ได้แตกต่างไปจากการบัญญัติกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าด้วยตัวเอง และความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ การมีอยู่ของเพลงหมัดมหาทำลายล้างนั้น ได้กำหนดกรอบความคิดให้แก่เฉินซีแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือเติมสิ่งที่เขาเข้าใจลงไปในนั้น
ในตอนเช้าตรู่ของเจ็ดวันต่อมา
เฉินซีลุกขึ้นจากเตียง ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ เขาได้ฟื้นฟูจิตใจและรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ในขณะที่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาเกือบจะฟื้นตัวแล้ว แต่เขาก็สามารถค้นพบวิธีการใช้เต๋ารู้แจ้งร่วมกับเพลงหมัดมหาทำลายล้างไม่มากก็น้อย
ที่ด้านหนึ่งของห้อง มีถังไม้บรรจุน้ำร้อนที่สาวใช้ได้เตรียมไว้เอาไว้ ซึ่งอบอวลไปด้วยไอน้ำร้อน ภายในน้ำถูกแช่ด้วยวัตถุและสมุนไพรต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยสรรพคุณทางยา เฉินซีต้องแช่ตัวและดูดซับฤทธิ์ยาที่อยู่ภายในนั้นทุกวัน เพื่อซ่อมแซมร่างกายของเขา
‘หลังจากโคจรปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของข้าแล้ว ข้าได้ซ่อมแซมร่างกายของข้าให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ในขณะที่เส้นลมปราณ จุดชีพจร และท้องทะเลแห่งลมปราณของข้าก็ได้รับการเยียวยาแล้วเช่นกัน แต่แก่นโลหิตที่ข้าสูญเสียไปนั้นยังขาดดุลอย่างร้ายแรง ในขณะนี้จึง ไม่มีปราณแท้ในร่างกายของข้าเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้รากฐานแห่งเต๋าของข้าไม่เสถียร และการฟื้นตัวให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน’ หลังจากที่เขาเหยียดร่างกายแล้ว เฉินซีก็ตรวจสอบสภาพร่างกายของตนเอง โดยไม่รู้สึกผิดหรือสลดใจเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขายังมั่นคงและลึกล้ำอย่างเช่นเคย และมันแฝงไปด้วยร่องรอยของพลังงานที่ยิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่ไม่เหมือนใคร
การรอดชีวิตจากการถูกไล่ล่าเกือบสามหมื่นลี้ในวันนั้น ทำให้สภาพจิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา เขารู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง แม้ว่าร่างกายของเขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่ดวงจิตแห่งเต๋าของเขากลับพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม แม้พลังนี้อาจจะไม่ได้มีประโยชน์ต่อฐานการบ่มเพาะ แต่มันจะมีบทบาทสำคัญเมื่อใครก็ตามที่จะแสวงหามหาเต๋าในอนาคต
การบ่มเพาะคือการแสวงหาเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นหลังจากที่เขาไตร่ตรองทุกสิ่งแล้ว จึงสรุปได้ว่าดวงจิตแห่งเต๋าคือการบ่มเพาะจิตใจ
เช่นเดียวกับในขุมสมบัติ เฉียนหยวนผู้เป็นเซียนสวรรค์ที่กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “หากผู้บ่มเพาะฝึกฝนแต่กลับไม่อาจควบคุมจิตใจตนเองได้ แล้วจะอยู่เหนือสรรพสัตว์ได้อย่างไร หากแสวงหาเต๋า แต่ไม่สามารถยับยั้งจิตใจของตนได้ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นเซียน”
มีเพียงการสยบจิตใจ ความคิดและยึดมั่นในหัวใจเท่านั้น จึงจะก้าวไปสู่จุดสูงสุดของเส้นทางสู่มหาเต๋าได้
ไม่ว่าจะเป็นปีศาจร้ายหรือนักปราชญ์ ตราบใดที่ยึดมั่นในหัวใจและไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้งแปด เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นเซียนที่ท่องไปสุดขอบจักรวาลและสามารถขึ้นสู่มหาเต๋าได้
จ๋อม! ครืน!
เฉินซีก้าวเข้าไปนั่งในถังไม้ที่เต็มไปด้วยฤทธิ์ยาก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะอำลาวันวานที่สงบสุขและกลับสู่ชีวิตแห่งการบ่มเพาะอีกครั้ง
‘ชีวิตของข้าคืออะไร?’
ชีวิตของข้าคือการทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะ ข้าจะต้องยืนหยัดในขณะที่ข้าพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้!
“เอาล่ะ!” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดในใจของเขา เพื่อทำให้จิตใจสงบปราศจากความหวั่นไหว ในขณะที่เขาโคจรเคล็ดวิชามิติทมิฬอย่างช้า ๆ
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะนี้ บันทึกวิธีในการบ่มเพาะของขอบเขตตำหนักอินทนิลไปจนถึงขอบเขตเซียนปฐพี และ หลิงไป๋ได้มันมาจากแดนเร้นลับของนักพรตเต๋า ทุกถ้อยคำภายในนั้นเสมือนกับอัญมณีที่ใสกระจ่างและละเอียดละอ่อน ทำให้มันลึกซึ้งเป็นอย่างมาก
ฟิ้ว!
ยาและสมุนไพรที่แช่อยู่ในถังไม้ส่วนใหญ่เป็นวัตถุชั้นเยี่ยมที่เฉินซีได้ปล้นมาจากขุมสมบัติเฉียนหยวน พวกมันล้วนมีปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเฉินซีโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาในขณะนี้ ฤทธิ์ยานี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นลำธารที่ไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเฉินซีอย่างอ่อนโยน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเฉินซีจะเตรียมตัวมาก่อนและโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาด้วยความเร็วที่ช้าที่สุด… แต่ทันทีที่ฤทธิ์ยานี้เข้าสู่ร่างกายของเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนเข็มเหล็กที่แทงทะลุเส้นลมปราณทั่วร่างกายของเขา จนรู้สึกราวกับถูกเลื่อยเหล็กเฉือนร่างกายนับพันครั้ง ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด
แต่เฉินซีไม่ได้ส่งเสียงร้องเลยแม้แต่น้อยและยังคงโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาอย่างช้า ๆ ทว่าเส้นลมปราณที่เสียหายของเขาเพิ่งจะหายเป็นปกติและไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ยาที่รุนแรงได้ แต่หากเขาทนมันได้ หลังจากที่เส้นลมปราณของเขาได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟู พวกมันก็จะสามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นความเจ็บปวดที่รุนแรงนี้จึงไม่อาจทำอะไรเขาได้
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งเดือนได้ผ่านไป
เฉินซียืนขึ้นจากภายในถังไม้และความพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา หลังจากการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน เส้นลมปราณในร่างกายของเขาก็ดูเหมือนกับเส้นเอ็นและหนังของวัวที่ถูกเคี่ยวเป็นพันครั้ง พวกมันจึงมีความยืดหยุ่น กว้างขวาง และโปร่งใสเหมือนหยก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พวกมันได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
‘เหลือเพียงการฟื้นฟูท้องทะเลแห่งลมปราณของข้าเท่านั้น ฤทธิ์ของโอสถเหลวหยกนภานั้นรุนแรงเกินไป และเมื่อเทียบกับเส้นลมปราณในร่างกายของข้าแล้ว ท้องทะเลแห่งลมปราณของข้ากลับได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่า อีกทั้งปราณแท้ภายในนั้นก็เหือดแห้งไปหมดแล้ว ข้าสงสัยนักว่าจะใช้เวลาในการฟื้นฟูนานแค่ไหน…’ ท้องทะเลแห่งลมปราณเป็นสถานที่บรรจบกันของปราณแท้ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ มันยังเป็นรากฐานของผู้บ่มเพาะลมปราณและเป็นที่ตั้งของรากฐานแห่งเต๋า
เมื่อหลายเดือนก่อน ท้องทะเลแห่งลมปราณของเฉินซีเป็นเหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่แบ่งออกเป็นหยินหยาง และประตูแห่งชีวิตก็ได้ปรากฏที่ใจกลางทะเลสาบ ทำให้เขาอยู่ห่างจากการกลั่นแกนทองคำเพียงไม่กี่ก้าว ทว่า หลังจากได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในวันนั้น ทุกสิ่งภายในนั้นได้หายไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะรากฐานแห่งเต๋าของเขาแข็งแกร่งมาก มันคงจะถูกทำลายและไม่สามารถรวบรวมปราณแท้ได้อีกต่อไป
‘แล้วไปเถอะ มาตรวจสอบสภาพมันเลยดีกว่า’ เฉินซีส่ายศีรษะพร้อมกับหลับตาลงและเพ่งจิตเข้าไปในร่างกายของเขา ทันใดนั้น ท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรายละเอียดมากมายในใจของเขา แต่เมื่อเขาเห็นท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาอย่างชัดเจน เฉินซีก็ตกตะลึงในทันที