บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 26 สำนักพฤกษ์ชาด
บทที่ 26 สำนักพฤกษ์ชาด
หนึ่งเดือนถัดมา
ยามราตรี ภายในป่าลึกของแดนเถื่อนตอนใต้
เฉินซีตั้งสมาธิอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็ปล่อยหมัดที่มีประกายแสงสีขาวเข้าปะทะกับก้อนหินในทันที
ตูม!
ก้อนหินที่มีขนาดเท่ากับโม่หินแตกกระจุย เศษหินตกกระจายไปทั่วพื้นดิน โดยแต่ละก้อนมีขนาดเท่ากับลูกลำไย และมีลักษณะเหมือนก้อนกรวด
ในขณะนี้ เฉินซีกำลังตกตะลึงที่เขาได้บรรลุระดับแรกของหมัดถล่มทลาย การทลายก้อนหินให้เป็นก้อนกรวด!
“พลังทำลายที่ระเบิดออกมาในชั่วพริบตานั้น เกิดจากการควบแน่นของพลังที่สะสมจากการบิดตัว หมุนวน และรีดเค้นจากกล้ามเนื้อ เปรียบร่างกายเป็นดั่งคันธนูที่ง้างอย่างเต็มและหมัดก็เป็นดั่งลูกศรที่น้าวอย่างสุดแรง และในทันทีที่ปล่อยหมัดออกไป นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังทลาย’!” เฉินซีบ่นพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ตั้งท่าและฝึกฝนทุกกระบวนท่าและรูปแบบอีกครั้ง
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการกระทำอันซ้ำซากจำเจ ยามเช้าฝึกศิลปะการปรุงอาหารในห้องที่เงียบสงบ ยามค่ำเขาติดตามจี้อวี๋มาที่ป่าแห่งนี้เพื่อฝึกฝนวิชาหมัดถล่มทลาย ในขณะที่เขาทุ่มเทกับการทำสมาธิและศึกษารูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ร่างกายพลันอบอุ่นขึ้น เขาได้ใช้ทุกช่วงเวลาอย่างคุ้มค่านัก
ภายใต้ความยากลำบากของการฝึกฝนอันขมขื่น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ภายในตัวเฉินซี ท่าทางของเขาแลดูมีสง่าราศีมากขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยพลังและเปรียบเสมือนกระบี่คมซึ่งซ่อนกลิ่นอายของการเข่นฆ่าอยู่ภายใน กล้ามเนื้อบนร่างขึ้นรูปชัดเจนราวกับหยกที่มีผิวแวววาว ซึ่งกักเก็บพลังงานอันไร้ขอบเขตอยู่ภายใน
ปัง! ปัง! ปัง!
หมัดของเขาแหวกผ่านอากาศจนส่งเสียงต่ำและแหลมคม นี่คือเสียงจากการสั่นสะเทือนในอากาศที่เกิดจากพลังภายในกล้ามเนื้อที่ถูกบีบอัดในระดับหนึ่ง
เมื่อการสั่นสะเทือนแบบนี้ดังขึ้นไปอีกระดับ ย่อมแปลว่ามันใกล้จะก้าวไปสู่ระดับที่สองของหมัดถล่มทลาย ทลายศิลาให้ป่นเป็นผุยผง ยามที่หมัดปะทะกับก้อนหินก็แตกกระจายสลายเป็นฝุ่นผงลอยไปกับสายลม
เหงื่ออาบไหลไปตามร่างกายและหอบหายใจอย่างหนัก ผสมกับเสียงลมที่เสียดหูจากการชกหมัดออกไปยังดังก้องอยู่ในอากาศเหนือผืนป่าเป็นเวลานาน
สามชั่วยามต่อมา
เฉินซีล้มตัวลงนอนบนพื้นด้วยความเหนื่อยล้าอย่างมาก กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเขาเจ็บปวดและอ่อนแรง และไม่คิดที่จะขยับแม้แต่นิ้วเดียว
“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ การฝึกบ่มเพาะปราณภายในของข้าได้มาถึงระดับขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่แปด และการขัดเกลากายาของข้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว ตามจังหวะนี้ ท่านคิดว่าเมื่อไรที่ข้าจะสามารถบรรลุไปยังขอบเขตตำหนักอินทนิลได้?” เฉินซีหันศีรษะไปทางจี้อวี๋ ซึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้หวายและถามด้วยน้ำเสียงโรยริน
จี้อวี๋ก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม กินเนื้อและดื่มสุราในขณะที่เขาตอบว่า “อย่างน้อยหนึ่งปี การก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลนั้นมีอุปสรรคที่ยากมาก ทุกวันนี้การบ่มเพาะของเจ้าก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบฝึกฝนอีก”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ข้านั้นมีศัตรูมากเกินไป ถ้าข้ารีบไม่ฝึกฝน แล้วข้าจะแข็งแกร่งทันได้อย่างไร”
สัตว์ประหลาดบรรพกาลตอบรับด้วยการอุทานว่า ‘โอ้’ จากนั้นก็ยกขวดน้ำเต้าสุราในมือขึ้นจิบก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากดื่มมันหรือไม่?”
เฉินซีส่ายหัวไปมา “ไม่ ๆๆ มวลพลังที่มีอยู่ในสุรานั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป ถึงแม้มันจะมีประโยชน์ต่อข้ามาก แต่มันก็ทำให้ข้าไม่สามารถฝึกฝนทักษะหมัดได้เป็นเวลาเจ็ดวัน ยิ่งไปกว่านั้น มวลพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นไม่มีประโยชน์อันใดต่อการฝึก ดังนั้นข้าไม่จำเป็นที่จะต้องดื่มมัน”
ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่ดื่มสุราอันเข้มข้นในขวดน้ำเต้าเพียงสองสามอึกเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน แม้ว่าการบ่มเพาะร่างกายของเฉินซีจะทะลุถึงขอบเขตก่อกำเนิดในคราเดียว แต่ผลข้างเคียงที่แฝงมาก็ชัดเจนเช่นกัน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เขาไม่อาจใช้ร่างกายได้อย่างชำนาญ เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะรากฐานไม่มั่นคง เขาจึงต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนเพื่อดึงพลังดาราปฐพีและปราณบริสุทธิ์แห่งดาราพฤกษามาขัดเกลาร่างกายของเขาอีกครั้ง และกระบวนการอันยากลำบากนี้ ทำให้เฉินซีรู้สึกหวาดกลัว
จี้อวี๋กล่าวด้วยความเสียใจ “มันเหมือนกับที่เจ้ากล่าวมาจริง ๆ การดึงเอาพลังภายนอกเข้ามาช่วยในการบ่มเพาะเป็นวิธีที่ทำให้รากฐานของเจ้าไม่เสถียร และสิ่งนี้จะทำให้เจ้าประสบกับความแปรปรวนในกระแสปราณได้ง่ายยามที่เจ้าก้าวไปยังขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้นในภายภาคหน้า ทว่าเมื่อเจ้าบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลและก่อรากฐานแห่งเต๋าแล้ว ก็หาได้ต้องกังวลกับปัญหาเหล่านี้อีก”
อันที่จริงหลักการนั้นง่ายมากและชายหนุ่มก็รู้เช่นกัน ก่อนที่จะก้าวสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตสร้างรากฐานหรือขอบเขตก่อกำเนิด ต่างก็เป็นวิธีเตรียมพร้อมสำหรับการก่อสร้างรากฐานแห่งเต๋า มีเพียงรากฐานแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งและมั่นคงเท่านั้นที่จะพาไปสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะได้ไกลขึ้น แม้ว่าการใช้พลังภายนอกจะช่วยเกื้อหนุนให้การบ่มเพาะรุดหน้าเร็วขึ้น แต่เมื่อคิดถึงภายภาคหน้าในวิถีแห่งเต๋าก็เห็นได้ชัดว่ามีอันตรายมากกว่าคุณประโยชน์
“ที่จริงแล้ว หากเจ้าต้องการเพิ่มความแข็งแกร่ง การต่อสู้จริงย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย”
จู่ ๆ จี้อวี๋ก็กล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ประสบการณ์มากมายในการต่อสู้จริงจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยามต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการฝึกฝนผ่านการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่เหนือล้ำกว่าตัวเขาเองได้”
ความสำเร็จในการบ่มเพาะไม่ได้แปลว่าเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง
มีทักษะการต่อสู้อันสูงล้ำ แต่ขาดประสบการณ์ยามต้องเผชิญหน้า ก็เป็นได้แค่การต่อสู้ในจินตนการเท่านั้น
เฉินซีเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างยิ่ง
“สัตว์อสูรมากมายเดินไปมาอยู่ในป่าของเทือกเขานี้ และยิ่งเจ้าเข้าไปลึกเท่าใด สัตว์อสูรก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แม้ในป่าจะไม่ขาดแคลนสัตว์อสูรที่ทรงพลัง แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า ควรที่จะมองหาสัตว์อสูรที่มีระดับขอบเขตก่อกำเนิดเพื่อฝึกฝนด้วยจะเป็นการดีกว่า” จี้อวี๋ชี้ไปที่ส่วนลึกของป่าขณะกำลังชี้แนะ
หลังจากที่สัตว์ป่ามีสติปัญญา พวกมันจะสามารถกลืนและดูดซับปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกเพื่อแปลงร่างเป็นสัตว์อสูร หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบาก จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้เหมือนมนุษย์และยังคงก้าวเข้าสู่เส้นทางเพื่อแสวงหาความเป็นเซียน
ตามความแตกต่างทางสายเลือด สัตว์อสูรโดยปกติแบ่งออกเป็นสัตว์อสูรและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อสัตว์อสูรธรรมดาบ่มเพาะถึงขอบเขตก่อกำเนิด พวกมันจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างอิสระ ในขณะที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ การจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นยากยิ่งกว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บางตัวจำเป็นต้องบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลจึงจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ บางตัวจำเป็นต้องบรรลุขอบเขตเคหาทองคำหรืออาจเป็นระดับที่เหนือชั้นกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีสายเลือดของอสูรโบราณ เมื่อเกิดมาจะมีสติปัญญาและพรสวรรค์ที่สูงล้ำ ความแข็งแกร่งของพวกมันย่อมแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไป
“ให้ต่อสู้และเข่นฆ่าสัตว์อสูรขั้นขอบเขตก่อกำเนิด? ตลอดวันที่ผ่านมานี้ข้ายังไม่เคยเห็นพวกมันเลยนะขอรับ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล การต่อสู้กับสัตว์อสูรนั้นต่างจากการต่อสู้กับมนุษย์ ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรมักจะเหนือกว่ามนุษย์ในระดับเดียวกัน ในบรรดาสัตว์อสูร พวกที่มีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด จะค่อย ๆ พัฒนาตัวเองผ่านประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน พวกมันมักจะทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวจนเป็นอัมพาตจนเส้นผมบนศีรษะร่วงด้วยการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว และทำให้คู่ต่อสู้สามารถใช้พลังได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
จี้อวี๋ยิ้มแล้วถามกลับว่า “พวกมันจะกล้าเข้ามาใกล้ที่นี่ได้อย่างไร?” น้ำเสียงสบาย ๆ ของเขาเผยให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดหยามชัดเจน
คนหนุ่มเริ่มเข้าใจในทันที เขาเกือบลืมไปว่าจี้อวี๋เป็นวิญญาณพิทักษ์ของเคหาบ่มเพาะที่อยู่มานับล้านปี เขาคือกิเลนซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน หากสัตว์อสูรเหล่านั้นกล้าเข้ามาใกล้ พวกมันก็รังแต่จะแส่หาเรื่องตาย!
เฉินซีไม่ได้พูดอะไรอีกและเพียงรอให้ร่างกายของเขาฟื้นตัว ก่อนที่จะจัดเสื้อผ้าและเคลื่อนตัวมุ่งตรงไปยังส่วนลึกของป่า
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ผืนป่าเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสงัดจนผิดปกติ หลังจากมุ่งหน้าผ่านไปเพียงช่วงก้านธูป เฉินซีก็พบกับสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นต้นของขอบเขตสร้างรากฐาน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีก็ยังคงระมัดระวังตัวมาก โดยปกติผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดมักจะไม่กล้าเข้าไปมาในสถานที่อันตรายเยี่ยงนี้ และความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความทุกข์ทรมานจากการถูกลอบโจมตีและอาจเสียชีวิตจากสัตว์อสูรแสนดุร้ายและฉลาดแกมโกงเหล่านี้
เขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวเขาไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ฆ่าสัตว์อสูรอีกสองสามตัวที่อยู่รายทาง น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรเหล่านี้อ่อนแอเกินไปและไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้แม้แต่น้อย
เขามุ่งไปข้างหน้าอีกห้าหกลี้ จากนั้นเฉินซีก็หยุดก้าวเดินและร่องรอยของความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นที่แววตาของเขา
“มีเสียงการต่อสู้!” จิตวิญญาณของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปที่มีการบ่มเพาะระดับเดียวกัน และมันก็มาถึงจุดที่ใกล้จะทะลวงไปสู่อีกระดับแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้เขาสามารถจับการเคลื่อนไหวที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตเห็นได้
ทันใดนั้นเขาก็เพ่งโสตประสาทการรับรู้จากจิตวิญญาณเพื่อให้แม่นยำยิ่งขึ้นที่จะรับฟังเสียงการต่อสู้ที่แว่วดังลอยมาจากที่ห่างไกล
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะยังมีคนที่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของป่าแห่งนี้ในยามค่ำคืน… จากนั้นเฉินซีก็รีบวิ่งตามเสียงไป
ข้างหน้าเป็นกองหินอันว่างเปล่า เมื่อยืมแสงดวงดาวจากเบื้องบน เขาก็มองเห็นประกายของเงานั้นได้อย่างชัดเจน และนอกจากนั้นยังมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่แสนน่ากลัว
เมื่อเขายังอยู่ห่างจากกองหินเพียงหนึ่งร้อยก้าว เฉินซีพลันสูดลมหายใจแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่จะซ่อนตัวอยู่บนยอดต้นไม้ เพื่อให้ได้จุดสังเกตที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ห่างไกลได้อย่างชัดเจน
ในพื้นที่ว่างตรงกลางกองหิน มันเต็มไปด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ และในขณะนั้น ชายสองคนและหญิงนางหนึ่งกำลังกวัดแกว่งอาวุธในมือและร่วมกันโจมตีสัตว์อสูรขนาดมหึมา
สัตว์อสูรตัวนี้มีรูปร่างคล้ายเสือหรือเสือดาวที่มีความยาวมากกว่าสองจั้ง ขนของมันทอประกายดั่งแร่เงิน แขนขาของมันหนาและแข็งกล้าเหมือนท่อนเสา เขี้ยวอันแหลมคมที่มีรูปร่างดั่งเลื่อยอัดแน่นอยู่เต็มปากที่เปรอะไปด้วยคราบเลือด กรงเล็บของมันยาวถึงสามฉื่อ และแหลมคมราวกับใบมีด
นี่คือเสือดาววายุเงินที่โตเต็มวัย ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์ กรงเล็บที่แหลมคมของมันเป็นดั่งใบมีด และรวดเร็วราวกับสายลม มันเชี่ยวชาญในการอำพรางและลอบจู่โจมอย่างมาก สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวมากที่สุดคือกรงเล็บที่แหลมคมของเสือดาววายุสีเงินนั้นมีพิษสุดแสนร้ายแรง และหากผู้ถูกพิษไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงที เส้นชีพจรในร่างกายของคนผู้นั้นจะถูกแผดเผาจนสูญสิ้นและกลายสภาพเป็นคนพิการในท้ายที่สุด
เฉินซีสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ใบไม้สีแดงบนแขนเสื้อของคนทั้งสาม และชื่อของสำนักหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา นั่นคือ ‘สำนักพฤกษ์ชาด’
‘สำนักพฤกษ์ชาด’ ตั้งอยู่ในบริเวณเขตสำนักของเมืองหมอกสน ซึ่งอยู่ใกล้กับสำนักกระบี่ดารานภา มีศิษย์มากกว่าสามร้อยคน ในบรรดาสำนักต่าง ๆ ความแข็งแกร่งของสำนักพฤกษ์ชาดถูกจัดให้อยู่ในสิบอันดับแรกได้
สิ่งที่ทำให้คนพูดถึงมากที่สุดคือ ผู้อาวุโสเยี่ยชิวแห่งสำนักพฤกษ์ชาด ซึ่งฝึกฝนวิถีเต๋าแห่งกระบี่ เคล็ดวิชากระบี่พฤกษ์ชาดที่เขาสร้างขึ้นนั้นเที่ยงตรงและเรียบง่าย และใช้เพียงกระบวนท่าที่เรียบง่ายเพื่อสยบกระบวนท่าที่ซับซ้อน จากที่คาดการณ์ ย่อมกล่าวได้ว่าวิชานี้นับเป็นเป็นทักษะการต่อสู้ระดับสูง อีกทั้งเมื่อคาดคะเนความแข็งแกร่งของเยี่ยชิวก็เพียงพอที่จะสู้กับหลัวชงที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งภายใต้สังกัดจวนแม่ทัพ
ความแข็งแกร่งของทั้งสามคนที่ร่วมกันโจมตีเสือดาววายุเงินนั้นไม่สูงนัก แต่การประสานของพวกเขาค่อนข้างมั่นคง พวกเขาคงจะฝึกฝนทักษะการต่อสู้แบบผสมผสานประเภทหนึ่ง กระบี่ทั้งสามโปรยปรายราวกับสายฝน ถักทอเป็นม่านกระบี่อันหนาแน่น ที่มิอาจทะลุทะลวงและกักขังเสือดาววายุเงินให้จนมุม จนถึงขั้นที่มันทำได้เพียงดิ้นรนและรอความตายเท่านั้น
“หาที่ตาย!” ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ตะโกนออกมาทันทีเมื่อเห็นเสือดาววายุเงินต้องการจะโจมตีโดยไม่สนว่าจะบาดเจ็บหรือไม่ เขาตวัดกระบี่ออกไปสามครั้งอย่างรวดเร็วซึ่งส่งเสียงเสียดแทงผ่านอากาศจากพลังกระบี่ที่รุนแรงและรวดเร็ว บังคับให้เสือดาววายุสีเงินต้องล่าถอยทันใด
สหายของเขาที่อยู่เคียงข้างก็ฉวยโอกาสนี้โจมตีทันที จากนั้นลำแสงกระบี่ที่วูบวาบและคมกริบราวกับละอองฝน ก็พุ่งเข้าหาเสือดาววายุเงินอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังเป็นก้อนหินแข็งที่สูงตะหง่านและมั่นคง ดังนั้นมันจึงไม่มีทางให้หลบหนีได้
แต่มีบางสิ่งผิดปกติ!
เมื่อเขาเห็นเสือดาววายุเงินกำลังจะถูกฆ่า เฉินซีซึ่งซ่อนอยู่บนยอดไม้พลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้น
เสือดาววายุเงินตัวนั้นสงบนิ่งเกินไป แม้ว่าจะติดอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอก แต่การจ้องมองของมันยังสงบนิ่งและแฝงด้วยความดุร้าย อีกทั้งยังส่งกลิ่นอายเยือกเย็นและความพึงพอใจออกมาเป็นบางครั้ง
มันคิดจะฉวยโอกาสลอบโจมตี!
วิญญาณของเฉินซีแข็งแกร่งถึงระดับไหนกัน? เมื่อเขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาสังเกตเห็นว่าภายในเงามืดรอบ ๆ หินก้อนนั้น มีสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่าสิบตัวกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา…
โฮกก! โฮกกก! โฮกกก!
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายนับสิบตัวที่รวมตัวกัน ดังก้องขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับเสียงแตรศึก