บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 272 สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งเบญจธาตุ
บทที่ 272 สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งเบญจธาตุ
ฟึ่บ!
ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของกำแพงเมืองทันที เขาใช้กระบี่ฟันไปยังสัตว์อสูรที่หนิงเต้าฟู่พัวพันอยู่โดยไม่กล่าวอะไรสักคำ ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรตนนี้อยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำ แต่มันกลับส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนที่จะล้มตายอย่างน่าอนาถ
ในบรรดาผู้คนที่เฝ้าระวังบนกำแพงเมือง หนิงเต้าฟู่ ผู้อาวุโสของสำนักหมอกสนมีฐานการบ่มเพาะที่สูงที่สุด แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือจิ้งจอกเพลิงวายุ ซึ่งดูเหมือนจะมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเคหาทองคำและแข็งแกร่งมากกว่าเขา ดังนั้น แม้ว่าเขาจะโจมตีด้วยท่าไม้ตายทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรกับสัตว์อสูรตัวนี้ได้ นอกจากนี้แขนของเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากมันแทน
ในขณะนี้ เมื่อเขาเห็นเฉินซีกำจัดจิ้งจอกเพลิงวายุได้อย่างง่ายดายด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว ดวงตาของหนิงเต้าฟู่ก็เบิกโพลง และนอกจากจะตกใจแล้ว เขายังถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซึ่งเดิมทีเขาเตรียมพร้อมที่จะตายมาตั้งนานแล้ว
เฉินซีไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ในขณะที่เขาพุ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทันใดนั้น เขาก็พบว่า สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้ ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ล้วนได้รับบาดเจ็บและอาบไปด้วยเลือด ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามีสัตว์อสูรมากกว่าสิบตนที่มีขอบเขตตำหนักอินทนิลกำลังพุ่งผ่านเข้าสู่ประตูเมือง ถ้าพวกมันไม่ถูกฆ่าตายในตอนนี้ ก็มีโอกาสสูงที่พวกมันจะนำหายนะมาสู่ผู้คนในเมือง
ฟิ้ว!
เมื่อเขาใช้ปีกนภาดารกะอย่างเต็มกำลัง ร่างของเฉินซีก็พร่าเลือนและก็หายไปในทันที หลังจากนั้น ทุกคนก็เห็นว่าสัตว์อสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลนับสิบตนที่กำลังพุ่งเข้ามาในเมืองจากทุกทิศทาง ในเวลาเพียงไม่กี่อึดลมหายใจ พวกมันทั้งหมดต่างก็ล้มตาย!
“รวดเร็วยิ่งนัก!”
“รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ!”
มันรวดเร็วจนผู้คนไม่สามารถเห็นร่างของเฉินซีได้อย่างชัดเจน และพวกเขาก็ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเฉินซีโจมตีอย่างไร ก่อนที่สัตว์อสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลเหล่านั้นจะพินาศ
ในขณะที่ทุกคนตกตะลึง เฉินซีก็ปรากฏตัวบนกำแพงเมืองอีกครั้ง และเขาก็ออกคำสั่งว่า “พวกท่านทุกคนถอยออกไปและรักษาอาการบาดเจ็บของท่านซะ ปล่อยที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของข้า”
คนเหล่านี้ล้วนได้รับบาดเจ็บ และชีวิตของพวกเขาอาจตกอยู่ในอันตราย หากพวกเขายังคงต่อสู้ต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้อีก ดังนั้น เหตุใดถึงไม่รีบกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองซะ เพราะด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะยังมีความหวังที่จะมีชีวิตรอด
“นี่…” ทุกคนต่างก็ลังเล เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าการล่าถอยในเวลานี้คงเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง
เฉินซีขมวดคิ้ว “หากพวกท่านยังรั้งอยู่ จะส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้ของข้า เข้าใจไหม?”
นี่เป็นความจริง ขนาดของฝูงสัตว์อสูรนั้นใหญ่เกินไป และถ้าเขาต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมด เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่ถ้าเขาต้องหันเหความสนใจไปช่วยชีวิตผู้อื่น มันคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไป
ทุกคนต่างก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยจากคำกล่าวของเฉินซี แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าสิ่งที่เฉินซีกล่าวนั้นเป็นความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดความคิดที่จะยืนหยัดต่อไป จากนั้นจึงประสานมือคารวะไปที่เฉินซีอย่างต่อเนื่อง และทยอยจากไปทีละคน
เมื่อเฉินซีเห็นว่าทุกคนได้ล่าถอยกลับไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป และหลังจากที่ตวัดกระบี่เพื่อฆ่าสัตว์อสูรกว่าสิบตัวที่พุ่งเข้าหาประตูเมือง เขาก็ใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เพื่อมองไปยังระยะไกล
สัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสองที่ควบคุมฝูงสัตว์อสูรนั้นได้ล้มตายและหลบหนีไปแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่เหลืออยู่ก็ไม่อาจคุกคามเฉินซีได้ แต่จำนวนของพวกมันยังคงมีมหาศาลจนน่าตกตะลึง อีกทั้งยังมีสัตว์อสูรเหลืออยู่อย่างน้อยก็มากกว่านับพันตัว
จำนวนเช่นนี้ดูเหมือนจะปกติ แต่เมื่อสัตว์อสูรจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในระยะสายตา ก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าตกตะลึงเพียงใด และมันก็ไม่ใช่การกล่าวเกินไปที่จะอธิบายว่ามันเป็นดั่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนมีร่างกายใหญ่โตอย่างน่าตกตะลึง บางตัวอาจมีร่างสูงใหญ่กว่าสี่สิบจั้ง และบางตัวอาจสูงแปดจั้ง เมื่อพวกมันปรากฏบนท้องฟ้าและพื้นดินอย่างหนาแน่น ก็เปรียบได้ดั่งมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต
“ช่างลำบากยิ่งนัก…” เฉินซีพึมพำกับตัวเองขณะที่เขาเก็บยันต์ศัสตรา จากนั้นปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาก็โคจรไปทั่ว ในขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อฟาดไปยังพื้นที่เบื้องหน้า
ตู้ม!
ฝ่ามือที่มีขนาดใหญ่กว่าร้อยยี่สิบจั้งได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันอาบไปด้วยประกายแสงหลากสีสันที่แสนงดงาม บนเส้นฝ่ามือมีดวงดาวพร่างพรายที่ส่องแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วน ขณะที่พวกมันหมุนเวียนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และดูเหมือนว่าพวกมันจะมีแฝงไปด้วยมหาเต๋าที่ลึกล้ำอย่างไร้ขอบเขต ซึ่งคงอยู่มาชั่วนิรันดร์
ฝ่ามือมหาดารา!
ฝ่ามือมหาดาราในยามนี้แตกต่างจากครั้งที่เขาบ่มเพาะสำเร็จเป็นครั้งแรก เนื่องจากในตอนนี้ มันได้รับการพัฒนาจากการบ่มเพาะกายาของเฉินซี มันจึงแฝงไปด้วยปราณดาราปฐพีที่ห้า ปราณดาราทองคำที่เจ็ด ปราณดาราพฤกษาที่สอง และปราณดาราวารีที่เก้า
ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาด้วยพลังงานของธาตุทั้งห้าที่ใจกลางของมันและแผ่กระจายออกไปโดยรอบ เพียงแค่กลิ่นอายของมันก็ทำให้อากาศสั่นสะเทือนจนระลอกคลื่นปรากฏขึ้น และพื้นดินก็ถูกกดดันจนแตกออกเป็นรอยแยกมากมายที่เหมือนใยแมงมุม
ยิ่งกว่านั้น ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่หมุนเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดบนเส้นลายมือนั้นดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา และพวกมันก็เคลื่อนคล้อยและล่องลอยไปรอบ ๆ ในขณะที่พวกมันเปล่งประกายแสงที่เย็นยะเยือกและพร่างพราวของดวงดาว ซึ่งสะท้อนไปยังพลังงานของธาตุทั้งห้า และดูเหมือนว่ามันได้ขจัดแสงและกระแสลมต่าง ๆ ในระยะยี่สิบห้าลี้ออกไปจนหมดสิ้น ก่อนจะควบแน่นภายในฝ่ามือขนาดใหญ่ ทำให้สวรรค์และโลกตกอยู่ในความสับสนอลหม่านราวกับจะพังทลายลง
เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถบดบังไปทั้งสวรรค์ และทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี!
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อยู่ในความคาดการณ์ของเฉินซี หลังจากที่เขาจารึกยันต์เทวะทั้งห้า ความรู้ที่มีต่อฝ่ามือมหาดาราของเขาก็ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด และเขาก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพลังของมันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด นอกจากนี้เขายังตระหนักได้ว่า วิธีที่เขาใช้ฝ่ามือมหาดาราในอดีตนั้นอ่อนด้อยและน่าขบขันถึงเพียงใด อีกทั้งยังรีดอานุภาพของมันได้เพียงแค่สองส่วนของพลังทั้งหมดเท่านั้น
พลังอิทธิฤทธิ์นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า และต้องมีความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของมันได้ ยิ่งกว่านั้น หากผู้ใดเข้าใจเต๋ารู้แจ้งมากเท่าไร อานุภาพของมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันครอบคลุมและหลอมรวมทุกสิ่งที่อยู่ภายใน ทำให้มันเหนือล้ำยิ่งกว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าโดยสิ้นเชิง
กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าเป็นเพียงวิธีการใช้เต๋ารู้แจ้งประเภทหนึ่ง ในขณะที่ฝ่ามือมหาดารานั้นสามารถบรรจุเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ โดยไม่ขัดแย้งกันแม้แต่น้อย เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็คือพลังงานของเต๋ารู้แจ้งเหล่านี้จะหลอมรวมอยู่ภายในดวงดาวมากมายบนฝ่ามือ วิถีโคจรที่แม่นยำของดาวเหล่านี้ซึ่งรับประกันได้ว่าจะไม่ขัดแย้งกันเอง และทำให้พวกเขาแสดงผลลัพธ์ที่ลึกล้ำต่าง ๆ ซึ่งทำให้อานุภาพของฝ่ามือมหาดาราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
หลังจากไตร่ตรองทุกสิ่งแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลังเช่นนี้มาจากคำว่า ‘ดาว’ ดวงดาวนั้นไร้ขอบเขต เต๋ารู้แจ้งนั้นก็ไร้ขอบเขต ดังนั้นมันอาจจะไร้ขอบเขตเช่นกัน!
ครืนนน! ครืนนนนนนนน!
ฝ่ามือมหาดาราปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และมีคลื่นของฟ้าร้องกระจายออกมาจากใจกลางฝ่ามือ เสียงฟ้าร้องนั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ฝูงสัตว์อสูรกระสับกระส่าย สับสน กระวนกระวาย และงุนงง
นอกจากนี้ ภายในพื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยฝ่ามือมหาดารา มีเมฆสีฟ้าขนาดใหญ่จำนวนมากปรากฏขึ้นและมันได้ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าในทันที ในขณะที่สายฟ้าสีครามได้พุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากกลุ่มเมฆเหล่านี้ และสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราพฤกษาที่สองก็โปรยปรายลงมาราวกับลูกเห็บสีฟ้าที่บิดเบี้ยว
สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราพฤกษาที่สองนี้ใสกระจ่างและโปร่งแสง ด้วยลักษณะที่บิดเบี้ยวของสายฟ้า ก็ทำให้มันดูคล้ายกับพื้นผิวของต้นไม้ใหญ่ แต่พวกมันกลับมีพลังงานมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ภายใน ในทันทีที่พวกมันฟาดลงมายังพื้น สัตว์ปีศาจนับร้อยตัวจะถูกระเบิดและถูกสังหารในทันที นอกจากนี้ยังมีรอยแตกร้าวจำนวนมากบนพื้นอีกเช่นกัน
บนพื้นดินที่ถูกสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราพฤกษาที่สองฟาดใส่ มีพืชพรรณสีเขียวกำลังแตกหน่อจากพื้นดินก่อนที่จะเติบโตสูงถึงสิบสองจั้งในทันที!
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียงก็พุ่งทะยานและคำรามก้อง ถึงแม้พวกมันทั้งหมดจะตกใจกลัว แต่ก็ไม่ได้หยุดการโจมตีของพวกมัน พวกมันทั้งหมดจะวิ่งวนไปรอบ ๆ พื้นที่ที่ปกคลุมโดยฝ่ามือมหาดารา ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเมืองจากทางด้านข้าง
ปัง! ปัง! ปัง!
ฝ่ามือมหาดาราผันผวนอยู่ครู่หนึ่ง และนอกจากเมฆสีฟ้าแล้ว ยังมีไอน้ำสีแดงเข้ม สีทอง สีดำ และสีเหลืองที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเมฆที่น่าเกรงขาม หลังจากนั้น พวกมันก็กระจายตัวออกไปขวางที่หน้าเมืองทันทีและควบแน่นเป็นเมฆสายฟ้าห้าสีที่แผ่ขยายปกคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง
ต่อจากนั้น สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หลากสีซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน ได้ถาโถมลงมาราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ
สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราพฤกษาที่สอง สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราทองคำที่เจ็ด สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราปฐพีที่ห้า สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราอัคคีที่สาม และสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราวารีที่เก้าได้บดขยี้ไปทั่วชั้นฟ้าและแผ่นดิน
เพียงชั่วพริบตา พื้นที่บริเวณกว้างด้านหน้ากำแพงเมืองและแม้แต่นอกเทือกเขาก็เต็มไปด้วยพลังของพายุสายฟ้าที่รุนแรงและเกรี้ยวกราด
นี่ไม่ใช่การโจมตีเชิงพื้นที่ทั่วไปเท่านั้น แต่มันยังเหนือกว่าการโจมตีแบบกลุ่มอีกด้วย มันเป็นการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบที่ทำให้พื้นที่ทุกซอกถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าฟาด และไม่มีช่องว่างที่จะหลบเลี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย
การโจมตีครั้งนี้ได้ดูดปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเฉินซีออกไปจนหมดสิ้น ทำให้สีหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อยในทันที และความประหลาดใจลึก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่า ฝ่ามือมหาดาราในอดีตนั้นไม่สามารถเทียบได้อีกต่อไป แต่เขากลับไม่เคยคิดมาก่อนว่า การโจมตีเพียงครั้งเดียวจะเผาผลาญปราณจ้าววิญญาณของเขาจนหมดสิ้น และมันก็เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
“แต่อานุภาพดังกล่าวก็น่าสะพรึงกลัวเกินไปจริง ๆ เต๋ารู้แจ้งจะรวมตัวเข้ากับอักขระจ้าววิญญาณบนฝ่ามือ ควบคู่ไปกับปราณจ้าววิญญาณจะถูกเปลี่ยนเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการโจมตีที่ครอบคลุมทุกทิศทุกทาง ดังนั้นข้าเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดที่สามารถหลบหนีจากพลังดังกล่าวได้ เว้นเสียแต่ว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะเหนือล้ำยิ่งกว่าข้า…”
ปราณจ้าววิญญาณของเขาถูกใช้ออกไปจนหมดสิ้น ทำให้เฉินซีรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเขาเห็นการทำลายล้างที่เกิดจากฝ่ามือมหาดารา เขาก็ตกตะลึงทันที
เมื่อเขามองออกไปนอกกำแพงเมือง พื้นดินทั้งหมดก็ไหม้เกรียมและแตกระแหง ซึ่งปกคลุมไปด้วยซากศพกระจัดกระจายไปทั่ว ส่วนกระดูกและเศษเนื้อที่แตกสลายก็ได้แปรสภาพเป็นควันไฟที่ลอยละล่อง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
อาจกล่าวได้ว่า สัตว์อสูรนับพันตัวถูกกำจัดไปหมดสิ้นภายใต้การโจมตีครั้งนี้!
พายุสายฟ้าที่ก่อตัวขึ้นได้ปกคลุมท้องฟ้าและพื้นดินอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งแม้แต่เฉินซีก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ภายในสายฟ้า จึงทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันไม่ใช่สายฟ้าที่แท้จริง แต่เป็นการโจมตีที่ได้มาจากการรวมตัวของปราณจ้าววิญญาณกับเต๋ารู้แจ้ง และถูกปล่อยออกมาในรูปแบบของสายฟ้า แต่ถึงอย่างนั้น พลังระดับนี้ก็ยังน่ากลัวจนใจสั่นไหว และอย่างน้อยมันน่าจะมีพลังครึ่งหนึ่งของพลังสายฟ้าที่แท้จริง!
‘ยันต์สวรรค์สามารถเปลี่ยน ‘พลัง’ ของสวรรค์และโลกให้ปรากฏในรูปแบบของสายฟ้า ในขณะที่ฝ่ามือมหาดาราของข้าสามารถทำสิ่งนี้ได้เช่นกัน หากข้าใช้มันกับศัตรู การโจมตีเพียงครั้งเดียวน่าจะสามารถทำลายล้างเว่ยเยว่จื่อได้…’ ในขณะที่เขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกอันหลากหลายอยู่ในใจของเขา เฉินซีก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าหลังจากที่ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาเหือดแห้ง และเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากส่ายหัว “น่าเสียดายที่การบ่มเพาะร่างกายของข้าในตอนนี้ ทำให้ข้าสามารถใช้มันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว ปราณจ้าววิญญาณของข้าจะเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น ดังนั้นข้าจึงควรใช้มันเป็นไพ่ตายในการต่อสู้เท่านั้น”
ฟึ่บ!
ในขณะนี้ มีลำแสงสีเงินพุ่งออกมาจากส่วนลึกที่ห่างไกลของเทือกเขาอย่างกะทันหัน ลำแสงสีเงินนั้นแท้จริงแล้วคือ หมาป่าสีเงินที่มีลำตัวยาวกว่าสิบสี่จั้ง ซึ่งมีปีกคู่หนึ่ง กำลังทะยานไปบนท้องฟ้า และความเร็วของมันก็รวดเร็วมากราวกับสายฟ้าฟาด
ขนทั่วตัวของหมาป่าตัวนี้เต็มไปด้วยประกายสีเงิน ปีกของมันเป็นสีขาวเหมือนหิมะ มีขอบที่คมเหมือนใบมีด และทั้งตัวของมันก็เผยให้เห็นกลิ่นอายที่ถือดี สง่างาม และสูงส่ง
เพียงแค่ประเมินจากกลิ่นอายที่พุ่งออกมาจากร่างของมัน มันย่อมเป็นสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอย่างแน่นอน
แต่ตาของเฉินซีกลับหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นหมาป่าสีเงินมีปีก และความรู้สึกคุ้นเคยที่คลุมเครือก็พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเขา ราวกับว่าเขาเห็นสัตว์ร้ายตัวนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง