บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 277 เดินทางสู่ทิศเหนือ
บทที่ 277 เดินทางสู่ทิศเหนือ
สามวันต่อมา
ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางได้มาถึงอย่างพร้อมเพรียง หลังจากผ่านไปสองปี การบ่มเพาะของราชาอสูรทั้งสองก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ปลดปล่อยปราณอสูรที่กล้าแกร่งอย่างเอ่อล้น ทำให้อากาศโดยรอบสั่นสะเทือนจนมีระลอกคลื่นเกิดขึ้น ร่างกายทั้งหมดของพวกเขาคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
เมื่อบรรลุสู่ขอบเขตจุติ จำเป็นต้องดูดซับพลังงานหยินและหยางเข้าสู่ร่างกายเพื่อควบแน่นกงล้อสังสารวัฏ และปราณแท้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
ในทางกลับกันเมื่อบรรลุจากขอบเขตจุติไปสู่ขอบเขตสถิตกายา ร่างกายและจิตใจทั้งหมดจะประสานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นสามารถดำเนินไปตามพลังแห่งฟ้าดิน นอกจากนี้ คนผู้นั้นจะสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาการเคลื่อนที่ผ่านมิติได้
สิ่งที่เรียกว่าร่างกายและจิตใจทั้งหมดจะประสานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินคือการเปลี่ยนแปลงของดวงจิตแห่งเต๋าที่ทำให้สามารถใช้พลังของฟ้าดินได้ และเป็นลักษณะเด่นของขอบเขตสถิตกายา ผู้บ่มเพาะที่บรรลุถึงขอบเขตนี้จะถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ปรมาจารย์สถิตกายา’
ตัวอย่างเช่น เหวินเสวี่ยน ผู้เป็นอาจารย์ของเฉินฮ่าว ก็เป็นปรมาจารย์สถิตกายา
ในขณะนี้ กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางมีร่องรอยของความสอดคล้องกับฟ้าดินอย่างแผ่วเบา แม้ว่าจะสัมผัสได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยากที่จะบอกว่านี่คือสัญญาณที่กำลังทะลวงไปสู่ขอบเขตสถิตกายา
เมื่อเห็นราชาอสูรทั้งสองกำลังจะทะลวงจากขอบเขตจุติไปสู่ขอบเขตสถิตกายาหลังจากผ่านไปเพียงแค่สองปี เฉินซีสามารถใช้คำว่า ‘ชื่นชม’ เพื่อบรรยายความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขา
อย่างไรก็ตาม เขาก็ทราบเช่นกันว่าราชาอสูรทั้งสองตนนี้ติดอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลมานานกว่าหมื่นปีและการสะสมพลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้ ดังนั้นการที่พวกเขาสามารถก้าวหน้าในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเป็นสิ่งสมเหตุสมผลแล้ว
ในปัจจุบัน มีงานเลี้ยงหรูหราอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉิน ซึ่งมีแขกจำนวนมากมาร่วมงาน และมันก็คึกคักเป็นพิเศษ
การมาถึงของราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเฉินซี เฉินฮ่าว และผู้นำต่าง ๆ ของกองกำลังในเมืองหมอกสน ราชาอสูรทั้งสองก็ไม่ได้วางตัวเย่อหยิ่งเช่นกัน พวกเขาจึงพูดคุยสนทนากันด้วยรอยยิ้ม ทำให้บรรยากาศในห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยความสุขสันต์
อันที่จริง ทุกคนต่างรู้เหตุผลที่ราชาอสูรทั้งสองตนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสุภาพมากนั้นเป็นเพราะความเคารพที่มีต่อเฉินซีอย่างแน่นอน มิฉะนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของราชาอสูรทั้งสองตนก็คงจะไม่เห็นค่าของผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ราชาอสูรทั้งสองไม่ได้รั้งอยู่ต่อและเดินทางตรงไปยังส่วนลึกของเทือกเขา ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะมาที่เมืองหมอกสนในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสองคนได้ทราบถึงคำขอของเฉินซีแล้ว และสำหรับพวกเขาในตอนนี้ การจัดการกับกลุ่มผู้บ่มเพาะอสูรนั้นเป็นงานที่ง่ายมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิเสธคำเชิญของเฉินซี
ไม่ต้องกล่าวถึงว่า ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจร แม้ว่าพวกเขาจะได้รับความเคารพในฐานะผู้อาวุโส แต่ก็ยังมีนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงที่อยู่เหนือพวกเขา ในขณะที่เฉินซีเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเป่ยเหิง ดังนั้นการช่วยเหลือเฉินซี จึงเทียบเท่ากับการส่งเสริมตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่ทำเล่า?
พฤติกรรมของราชาอสูรทั้งสองตนทำให้ทุกคนอิจฉาและอุทานด้วยความชื่นชมในใจ อาจมีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สามารถสั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติสองตนได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถทำตาม
หนึ่งวันต่อมา
ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางได้กลับมายังเมืองหมอกสน เนื่องจากพวกเขาทำตามคำขอของเฉินซีได้สำเร็จจนเป็นที่น่าพอใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องปรึกษาหารือกับเฉินซีเสียก่อน
“ในปัจจุบัน มีผู้บ่มเพาะอสูรจำนวนมากอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่พวกเขาก็ยังขาดสมบัติวิเศษและอุปกรณ์ที่เหมาะสม ดังนั้นพวกเขาจึงขอร้องให้เรามาที่นี่เพื่อดูว่าพวกเขาจะพอซื้อสมบัติบางอย่างจากเจ้าได้ไหม” ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฉิน ราชาเต่าเฒ่ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล พวกเขาจะใช้วัตถุวิญญาณ ไม้วิญญาณและสมบัติอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันเพื่อแลกเปลี่ยน พวกเขาจะไม่รับสิ่งของจากตระกูลเฉินของเจ้าโดยไม่มีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนให้”
“ซึ่งอันที่จริง การเปลี่ยนแปลงในส่วนลึกของเทือกเขานั้น มหัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ใช่แค่เหล่าสัตว์อสูรเท่านั้น แม้แต่สมุนไพรและสินแร่ก็เติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง และคุณภาพของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแม้กระทั่งเส้นชีพจรวิญญาณและสายแร่คุณภาพสูงจำนวนมากที่ผุดขึ้นมา” ราชาจิ้งจอกเก้าหางยิ้มขณะที่เขากล่าว
“แต่น่าเสียดายที่เผ่าพันธุ์อสูรนั้นไม่ชำนาญในการปรับแต่งอุปกรณ์และเล่นแร่แปรธาตุ แม้พวกเขาจะนั่งอยู่บนภูเขาสมบัติเช่นนั้นแต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพวกมันได้อย่างถูกต้อง ข้าขอแนะนำให้เจ้าลงนามในข้อตกลงกับผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้ ตระกูลเฉินจะช่วยพวกเขาซื้อสมบัติวิเศษและโอสถ ในขณะที่พวกเขาจะส่งเส้นชีพจรวิญญาณ สายแร่วิญญาณ สมุนไพร และวัสดุอื่น ๆ ให้กับตระกูลเฉินแทน แน่นอนว่าราคานั้นขึ้นอยู่กับที่เจ้าจะกำหนด ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลกับพวกเขาและทำเงินให้ได้มากที่สุดก็พอ ด้วยวิธีนี้ เหตุใดเจ้าถึงต้องกังวลว่าตระกูลเฉินของเจ้าจะไม่ประสบกับความรุ่งเรืองด้วยเล่า?”
หัวใจของเฉินซีก็หวั่นไหวเช่นกันเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เพราะความแข็งแกร่งของตระกูลไม่สามารถทำได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากทรัพยากรทางการเงินจำนวนมหาศาล ในขณะที่ทรัพยากรทางการเงินเหล่านี้มักจะสะท้อนให้เห็นถึงจำนวนร้านค้า สายแร่ และสวนสมุนไพรที่ตระกูลครอบครอง ตัวอย่างเช่น เหตุผลที่กองกำลังต่าง ๆ ในเมืองหมอกสนสามารถคงอยู่ได้หลายพันปีโดยไม่ล่มสลายนั้น จำนวนทรัพยากรทางการเงินที่พวกเขาครอบครองล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย
บางตระกูลมีความชำนาญในการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นพวกเขาจึงกว้านซื้อทุ่งเพาะปลูกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อที่จะปลูกสมุนไพร บางกลุ่มมีความชำนาญในการฝึกสัตว์อสูร ดังนั้นพวกเขาจึงเปิดโรงฝึกสัตว์อสูร เพื่อขยายพันธุ์สัตว์วิญญาณและวิหควิญญาณ ในขณะที่บางตระกูลอาจไม่มีกิจการอื่น ๆ แต่พวกเขาครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณและสายแร่วิญญาณบางส่วน ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับความมั่งคั่งจำนวนมากจากการทำเหมืองและขายพวกมัน
ณ ปัจจุบัน แม้ว่าตระกูลเฉินจะเติบโตขึ้นและกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในเมืองหมอกสน แต่ก็ขาดแหล่งทรัพยากรทางการเงินในระยะยาว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้เป็นเวลานาน นอกจากนี้ การเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองนั้นก็คล้ายกับสำนวนที่ว่า ‘หากปราศจากแหล่งน้ำ ต้นไม้ก็ไม่มีวันงอกงาม’
การปรากฏขึ้นของส่วนลึกของเทือกเขา ทำให้ตระกูลเฉินได้รับโอกาสอันยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้ามันสามารถใช้งานได้ ตระกูลเฉินก็จะไม่ต้องกังวลต่อการขาดแคลนทรัพยากรทางเงินอีกไปนาน
เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว ส่วนลึกของเทือกเขาได้ครอบคลุมพื้นที่นับแสนลี้ แล้วจะมีเส้นชีพจรวิญญาณและสายแร่วิญญาณกี่เส้นอยู่ในนั้นกัน? นอกจากนี้จะมีสมุนไพรและวัตถุวิญญาณอยู่กี่หมื่นชนิด? ถ้าเขาสามารถควบคุมทั้งหมดนี้ด้วยมือของเขาเอง มันก็เท่ากับควบคุมแหล่งทรัพยากรทางการเงินจำนวนมหาศาล ดังนั้นการเติบโตและการรุ่งเรืองของตระกูลเฉินจะอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมไม่ใช่หรือ?
“ตกลง!” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าต้องขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมายนี้ และพวกท่านก็มีส่วนส่งเสริมตระกูลเฉินของข้ามาก ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ของพวกท่านไปตลอดกาล”
อันที่จริง ผู้บ่มเพาะอสูรที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาสามารถร่วมมือกับตระกูลอื่น ๆ เพื่อจัดหาสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ แต่เหตุผลที่พวกเขาเลือกตระกูลเฉินนั้นเป็นเพราะราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางช่วยพวกเขาไว้อย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกตระกูลเฉินเพื่อตอบแทนราชาอสูรทั้งสองตน
ราชาเต่าเฒ่าและราชาจิ้งจอกเก้าหางชำเลืองมองกันและกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข พวกเขากำลังรอคำกล่าวเหล่านี้จากเฉินซี
“น้องเล็ก เจ้าไม่ทำให้เราผิดหวังจริง ๆ เราขอยืนยันอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้ามั่นใจ ทรัพยากรทั้งหมดจากส่วนลึกของเทือกเขาจะถูกแลกเปลี่ยนกับตระกูลเฉินของเจ้าเพียงตระกูลเดียวเท่านั้น หากมีใครต้องการแบ่งแย่งทรัพยากรเหล่านี้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าตระกูลเฉินของเจ้าจะไม่ยินยอม ผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านั้นก็จะไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่เจ้าเองก็ต้องดูแลผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านั้นให้ดีเช่นกัน อย่าได้เอาเปรียบพวกเขา เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาล้วนเป็นสหายเต๋าของข้าและพี่ใหญ่ของเจ้า…” ราชาจิ้งจอกเก้าหางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเข้าใจแล้ว เหตุผลที่กิจการจะยั่งยืนได้นั้นขึ้นอยู่กับความยุติธรรม ความสมเหตุสมผล และความซื่อสัตย์ พี่รองไม่ต้องเป็นกังวล ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของข้าเถิด” ก่อนที่ราชาจิ้งจอกเก้าหางจะทันได้กล่าว เฉินซีก็ตอบอย่างเคร่งขรึม
เมื่อถึงจุดนี้ ในที่สุดตระกูลเฉินก็มีรากฐานเพื่อความอยู่รอด ตราบใดที่ไม่มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความเจริญรุ่งเรืองก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น และสิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกโล่งใจได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว ภายนอกตระกูลเฉินได้รับการคุ้มครองจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ซึ่งเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ และภายในมีการป้องกันของค่ายกลกระบี่มหาปราณ เมื่อรวมกับทรัพยากรอย่างสายแร่และวัตถุวิญญาณต่าง ๆ จากส่วนลึกของเทือกเขา มันเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเฉินจะไม่แข็งแกร่งขึ้นมา
ไม่กี่วันต่อมา
ผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกว่าสิบตนและผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตเคหาทองคำกว่าร้อยตนจากส่วนลึกของเทือกเขาได้มุ่งหน้ามายังเมืองหมอกสนเพื่อเยี่ยมเยียนเฉินซีภายใต้การนำของราชาอสูรทั้งสอง และเพื่อประโยชน์ในการติดต่อของพวกเขาในอนาคตให้สะดวกยิ่งขึ้น
แต่เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดนี้ เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะออกจากเมืองหมอกสนในไม่ช้าและมุ่งหน้าไปยังที่ราบตอนกลางเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ ดังนั้นเขาจึงฝากเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ให้เฉินฮ่าวจัดการ
แน่นอนว่าตามมารยาท เขายังคงออกไปพบปะกับผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้ แต่เขาไม่คาดคิดว่า ทันทีที่เขาปรากฏตัว ผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้ต่างก็ตื่นเต้นและดื่มอวยพรให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปรากฏว่าผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้เคยไปเยี่ยมเยียนเฉินซีที่เทือกเขาวงจันทราเมื่อหลายปีก่อน และพวกเขายังไม่ลืมการกระทำของเฉินซีในการฆ่าราชันวานรทมิฬ ราชาเหยี่ยวสายฟ้า และราชาอสูรอีกสามตนเลยแม้แต่น้อย
เฉินอวี่น้อยมีความสุขมากในขณะที่เขาถูกล้อมรอบไปด้วยผู้บ่มเพาะอสูร ราวกับดวงดาวมากมายที่ล้อมรอบดวงจันทร์ ในขณะที่เขารับฟังผู้บ่มเพาะอสูรเล่าถึงการกระทำในอดีตมากมายของเฉินซีเมื่อครั้งที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา และเขาก็อุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับอ้าปากน้อย ๆ ทำให้เขาดูน่ารักยิ่งนัก
ไม่ใช่แค่เฉินอวี่ตัวน้อยเท่านั้น แม้แต่คนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงกับวีรกรรมของเฉินซี เมื่อรับฟังเรื่องราวเหล่านี้เลือดในร่างกายของพวกเขาก็เดือดพล่าน พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในส่วนลึกของเทือกเขา เฉินซีจะเคยมีประสบการณ์การเดินทางที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
เฉินซีเพียงหัวเราะออกมาเท่านั้น ‘การเดินทางที่ยอดเยี่ยมอันใดกัน? เมื่อหลายปีก่อนข้าเพียงบังเอิญไปโผล่ในส่วนลึกของเทือกเขา และจากนั้นก็ทำทุกสิ่งเพื่อความอยู่รอด ข้าไม่ได้รู้สึกสนุกสนานเลยในตอนนั้น’
…
ฟิ้ว!
เรือเหาะสมบัติบดบังมวลเมฆขณะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปทางทิศเหนือ
เฉินซียืนอยู่ที่ท้ายเรือในขณะที่เขามองไปที่เมืองหมอกสนที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากระยะสายตา และเขาก็ดื่มสุราไปสองสามอึกอย่างเงียบงัน ‘หลังจากอำลาในครั้งนี้ ข้าสงสัยนักว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งเมื่อใด?’
ในขณะที่เขานึกถึงสายตาที่ไม่เต็มใจของเฉินฮ่าว ดวงตาที่บวมเป่งของเฟยเหลิ่งชุ่ย และเสียงร่ำไห้ของเฉินอวี่ในตอนที่เขาจากมา เฉินซีก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนในหัวใจของเขา ถ้าคนเราหาความสุขและความมั่นคงในชีวิตได้ แล้วใครล่ะจะยอมระหกระเหินออกจากบ้าน?
“นายท่าน ได้เวลาทานอาหารแล้วขอรับ” มู่ขุยวางอาหารสี่จานที่เขาทำไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง และกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทำอาหาร ข้าคิดว่ามันไม่น่าเป็นอะไร นายท่านลองชิมดูก่อนเถิด”
เฉินซีสลัดความรู้สึกทิ้งก่อนจะหันกลับไปมอง เขาพบว่าอาหารทั้งสี่จานนั้นมีหน้าตาที่ดูไม่เลวและมีกลิ่นน่ารับประทาน
การผสมสีของอาหารทั้งสี่จานบนโต๊ะนั้นไม่เลวและสบายตา อีกทั้งยังมีเหยือกสุราวานรที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลเตะจมูกของเขา
“ไม่เลว มันดูค่อนข้างน่าทาน นี่เจ้าทำอาหารครั้งแรกจริง ๆ หรือ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ใบหน้าของมู่ขุยเปล่งประกายในขณะที่เขาเกาศีรษะตนเองและยิ้ม “ถูกแล้วนายท่าน ก่อนหน้านี้ข้ากินเหยื่อที่จับได้อย่างดิบ ๆ อยู่เสมอ และไม่เคยปรุงเช่นนี้เลย ข้าสงสัยนักว่ามันเหมาะกับรสนิยมของท่านหรือไม่”
เฉินซียิ้มและนึกได้ทันทีว่าตัวเขาเองก็เป็นพ่อครัววิญญาณเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาไม่ค่อยมีเวลาได้ทำอาหารเลิศรส
“อ่าวู้~” ไป๋คุยส่งเสียงหอนต่ำก่อนจะพุ่งออกมายืนบนโต๊ะอาหาร เจ้าตัวน้อยนี้ถูกเฉินซีโยนเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อยู่เป็นเวลานาน และมันเบื่อแทบจะตายอยู่แล้ว ในขณะนี้ เมื่อมันเห็นอาหารร้อน ๆ สี่จาน ดวงตาของมันก็เป็นประกายพร้อมกับน้ำลายไหลออกมาจากปากของมันทันที จากนั้นจึงอ้าปากก่อนที่จะเขมือบจานบนโต๊ะ
ทว่า ในชั่วพริบตาร่างที่มีขนาดเท่ากำปั้นของมันก็แข็งค้าง แม้แต่อาหารที่มันกลืนลงไปก็คายออกมาจากปาก และถุยลิ้นของมันอย่างไม่หยุดหย่อนพลางจ้องมู่ขุยอย่างไม่พอใจด้วยท่าทางราวกับว่าความอยากอาหารของมันได้ถูกมู่ขุยทำลาย
มู่ขุยรู้สึกอายอย่างมากในทันที
“ให้ข้าลองชิมก่อน บางทีไอ้เจ้าตัวเล็กนี่ก็เลือกกินจู้จี้มากเกินไป อาหารเหล่านี้อาจไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้” เฉินซีทนไม่ได้ที่จะทำลายความตั้งใจของมู่ขุย ดังนั้นเขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบปลานึ่งชิ้นหนึ่ง แล้วใส่เข้าไปในปากของเขา ทว่า ในชั่วพริบตาต่อมาใบหน้าของเขาก็แข็งค้าง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามอย่างใจเย็นว่า “เจ้าใช้เกลือบุปผาไปมากแค่ไหน?”
“ข้าไม่ได้ใช้เกลือเลย โอ๊ะ! หรือท่านกำลังกล่าวถึงเครื่องปรุงสีดำนั่นหรือ? ข้าคิดว่ามันเป็นน้ำมันชนิดหนึ่ง ข้าเลยใส่มันลงไปหนึ่งช้อนใหญ่” มู่ขุยพูดพลางเกาหัวโดยไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ บนใบหน้าของเฉินซี
‘สวรรค์! นี่เจ้าใช้สิ่งนั้นกับทัพพีหรือ? แม้เพียงแค่หยดเดียวก็สามารถฆ่าคนได้…’ เฉินซีลอบถอนหายใจ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยใบหน้าที่เก็บอาการพลางลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องครัว “เจ้ารออยู่ตรงนี้แหละ! แล้วมาลองชิมอาหารของข้ากัน”
‘หืม ทำไมนายท่านทำตัวแปลก ๆ?’ มู่ขุยมองไปที่ไป๋คุยที่นอนบิดตัวด้วยความทรมานลิ้นอยู่บนโต๊ะ และเขาอดไม่ได้ที่จะชิมอาหารของตัวเองซึ่งในขณะต่อมา…ดวงตาของเขาเบิกกว้างจนเหมือนกับจานรอง ก่อนสีหน้าจะกลายเป็นสีเขียว ในขณะที่เขาร้องออกมาเสียงดังว่า “เค็ม! เค็มเกินไป!”