บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 285 การเสนอราคาที่ดุเดือด
บทที่ 285 การเสนอราคาที่ดุเดือด
ในห้องรับรองพิเศษที่อยู่ไม่ไกลจากเฉินซี
ผู้เข้าร่วมจำนวนมากที่มีท่าทางแข็งขันยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ ผู้เข้าร่วมทั้งหมดเหล่านี้ล้วนมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่ในขณะนี้ พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ในขณะนี้ มีชายหนุ่มในชุดดำนั่งตัวตรงอยู่ที่เบื้องหน้าพวกเขา ผิวของเขาขาวเหมือนหิมะ ดวงตาของเขาเปล่งแสงเจิดจ้าและปกคลุมไปด้วยประกายเย็นยะเยือกที่แปลกประหลาดจนแทบหยุดลมหายใจ แรงกดดันที่ไร้รูปร่างต่างก็เต็มไปทั่วทั้งห้องในขณะที่เขานั่งอยู่ที่นั่น ทำให้อากาศโดยรอบกลายเป็นน้ำแข็ง
“ท่านพี่ ไอ้สารเลวนั่นพยายามจะแย่งชิงกระบองวิเศษนี้กับท่าน ท่านต้องการให้ข้าไปตรวจสอบพื้นเพของมันหรือสั่งสอนมันไหม?” ชายหนุ่มที่มีท่าทางสง่างามซึ่งนั่งอยู่ข้างชายหนุ่มที่สวมชุดดำกล่าวอย่างดุเดือด และคนผู้นี้คือซือคงฮวา นายน้อยคนที่สองของตระกูลซือคง
“ไม่จำเป็น หอขุมทรัพย์สวรรค์มีกฎของมันอยู่ เจ้าอย่าได้สร้างปัญหา” มุมปากของชายหนุ่มในชุดดำยกยิ้มเย้ยหยัน “แต่ข้าต้องได้กระบองหนามนี้มา แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ ว่ามันจะกล้าแข่งราคากับข้าไปอีกนานสักแค่ไหน!”
“ท่านพี่ ท่านฝึกฝนวิชาปัญจพิษแปลงโลหิต อีกทั้งเต๋ารู้แจ้งของท่านคือเต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อนที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนสมบัติวิเศษเฉกเช่นกระบองหนามชิ้นนี้ จะไม่มีประโยชน์แก่ท่านเลยสักนิด?”
“ฮึ่ม! เจ้าจะรู้อะไร!” ชายหนุ่มในชุดดำลูบคางของเขาและกล่าวอย่างไม่เร่งรีบว่า “ถึงแม้สมบัติชิ้นนี้จะมีมูลค่าเพียงโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งหมื่นเม็ด แต่มันกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น และมันล้ำค่าจนไม่อาจบรรยายได้”
ดวงตาของซือคงฮวาเป็นประกายในขณะที่เขากล่าวอย่างตื่นเต้น “หรือว่ามีความลับซ่อนอยู่ในกระบองหนามนี้”
“แน่นอน มิฉะนั้น เหตุใดข้าจะจ่ายเงินก้อนโตเพื่อสมบัติที่ไร้ประโยชน์สำหรับข้า?” เมื่อชายหนุ่มในชุดดำกล่าวจนถึงตรงนี้ เขาก็รำลึกถึงตำนานที่เล่าขานกันมาและความรู้สึกตื่นเต้นก็พรั่งพรูออกมาจากใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงเม้มริมฝีปากและกล่าวว่า “การบอกความลับแก่เจ้าคงมิเป็นอะไร กระบองหนามนี้มีแผนที่ขุมทรัพย์ซุกซ่อนอยู่ และมันมีเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับนิกายป้ายเหล็ก หากข้าได้มันมา ข้าย่อมมีโอกาสที่จะค้นพบขุมสมบัติตกทอดของนิกายป้ายเหล็กเป็นอย่างมาก!”
“ขุมสมบัติตกทอดของนิกายป้ายเหล็กหรือ?” ซือคงฮวาตกอยู่ในความประหลาดใจตะลึง และเหม่อมองอย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงเขากล่าวว่า “นิกายป้ายเหล็กนั่นดูเหมือนจะเป็นเพียงนิกายเล็ก ๆ มิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ถูกทำลายลงเมื่อสามพันปีก่อน ดังนั้นจะมีสิ่งมีค่าเช่นใดอยู่ในขุมสมบัติสืบทอดของมัน?”
“หึ นิกายเล็ก ๆ หรือ?” ชายหนุ่มชุดดำยิ้มเยาะ “หากนิกายป้ายเหล็กเป็นเพียงนิกายเล็ก ๆ นิกายเก่าแก่บางแห่งในที่ราบตอนกลางก็อาจต่ำชั้นยิ่งกว่าแมลง”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของน้องชาย ชายหนุ่มในชุดดำก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและถอนหายใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว นิกายป้ายเหล็กคือมหาอำนาจที่อยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ สำหรับนิกายป้ายเหล็กที่ถูกทำลายไปเมื่อสามพันปีที่แล้ว เป็นเพียงนิกายที่ก่อตั้งโดยศิษย์นอกนิกายที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายป้ายเหล็ก ดังนั้นแล้วมันจะมีความสามารถได้แค่ไหนเชียว?”
‘มหาอำนาจของแดนภวังค์ทมิฬหรือ?’
ซือคงฮวารู้สึกทึ่งอยู่ในใจของเขาและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “นิกายป้ายเหล็กช่างน่าเกรงขามเสียจริง ๆ ถ้าเราสามารถค้นพบมรดกที่เหลือทิ้งไว้ในโลกได้ละก็…” เมื่อเขากล่าวถึงจุดนี้ ทั้งร่างกายของซือคงฮวาก็สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ได้เกินจินตนาการของเขาไปมาก และไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก
‘เฮ้อ แต่มันน่าหนักใจจริง ๆ แม้ว่าข้าจะได้กระบองหนามนี้มา หากข้าไม่สามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้ ข้าเกรงว่าคงไม่มีชะตาร่วมกับมรดกของนิกายป้ายเหล็ก…’ ชายหนุ่มในชุดดำถอนหายใจเบา ๆ หลังจากนั้น ท่าทางที่เด็ดเดี่ยวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ‘แม้จะมีความหวังเล็กน้อยก็ดีกว่าไม่มีเลยสักนิด ไม่ต้องกล่าวถึงว่า ข้ายังมีโอกาสที่จะติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งเป็นอย่างมาก!’
“โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนสองหมื่นเม็ด! มีคนต้องการเสนอราคาอีกหรือไม่?” เสียงของตู้เฟยอวี่ดังขึ้นจากเวทีอีกครั้ง
ชายหนุ่มในชุดดำตื่นขึ้นจากห้วงความคิด และเขาเสนอราคาอีกครั้ง “หนึ่งแสนสามหมื่นเม็ด!”
“เอาล่ะ มีคนอื่นเสนอราคาเพิ่มแล้ว! เหล่าสหายเต๋า พวกท่านกำลังลังเลสิ่งใดอยู่? ตัดสินใจเร็วเข้า! อย่าปล่อยให้โอกาสอันดีเช่นนี้หลุดลอยไป!” กระบี่ปลิดวิญญาณตู้เฟยอวี่ปลุกเร้าเสียงดังขณะที่มองไปโดยรอบ
“หนึ่งแสนสี่หมื่นเม็ด!” ในห้องรับรองพิเศษอีกห้องหนึ่ง เฉินซีเอ่ยเสนอราคาอีกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องคิด
คิ้วที่งดงามของย่าชิงขมวดเข้าหากัน ในขณะที่นางกล่าวว่า “เฉินซี ท่านคิดจะแข่งขันกับซือคงเหินหรือ? ราคาที่ท่านประมูลนั้นมากเกินไปแล้ว”
“นายท่าน ข้าไม่ต้องการสิ่งนี้อีกแล้ว ไว้เราค่อยมองหาสมบัติชิ้นอื่นอีกที อาจมีสมบัติที่ทรงพลังยิ่งกว่ากระบองหนามในภายหลังก็ได้” มู่ขุยกล่าวจากด้านข้าง
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสิ่งใดอีก ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนคำสัญญาที่ข้าให้กับเจ้าได้” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย และท่าทางที่สงบของเขาเผยให้เห็นถึงความตั้งใจที่แน่วแน่
“นายท่าน…” มู่ขุยรู้สึกตื้นตันอยู่ในใจของเขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่านายท่านของเขาได้ตั้งใจแนวแน่แล้ว และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉินซีจะต้องได้กระบองหนามนั้นมา ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านของเขากระทำทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของเขาไม่ใช่หรือ?
“สองแสนเม็ด!”
ชายหนุ่มชุดดำมีสีหน้าเย็นชา ในขณะที่กลิ่นอายบนร่างของเขาก็พลุ่งพล่าน ทำให้อากาศภายในห้องถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า การเสนอราคาอย่างต่อเนื่องของเฉินซีทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
“ท่านพี่ ท่านเสนอราคาสูงขนาดนี้ มันไม่มากไปหน่อยหรือ?” ซือคงฮวากล่าวอย่างระมัดระวัง ในขณะที่เขาตกตะลึงกับราคานี้เช่นกัน เพราะสำหรับตระกูลของพวกเขาแล้ว โอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนสองแสนเม็ดก็ไม่ใช่การจับจ่ายที่เล็กน้อยเลย
“ฮึ่ม! หลังจากที่ข้าได้สมบัติชิ้นนี้แล้ว เราค่อยมาพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ถ้าเจ้าเด็กนั่นกล้าแข่งเสนอราคากับข้าอีก หลังจากที่ออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบภูมิหลังของมัน และเมื่อถึงเวลานั้น หายนะครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้นกับมันอย่างแน่นอน!” ชายหนุ่มในชุดดำคำรามอย่างเย็นชา เจตนาฆ่าอันน่าสยดสยองที่ไร้ขอบเขตได้พุ่งออกมาจากดวงตาของเขา และมันแหลมคมจนอาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวได้
“สองแสนหนึ่งหมื่นเม็ด!” เมื่อเขากล่าวจบ เสียงที่ไม่แยแสก็ดังขึ้นจากห้องรับรองพิเศษที่อยู่ด้านข้าง และเพิ่มราคาประมูลอีกครั้ง
ฮึ่ม! ไอ้เด็กบัดซบนั่นอีกแล้ว! มันคือใครกันแน่? มันต้องรู้อย่างแน่นอนว่า ข้าซือคงเหินต้องการสมบัติชิ้นนี้ แต่มันกลับกล้ายั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือนว่ามันจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริง ๆ! ความมุ่งมั่นที่จะฆ่าเฉินซีได้พวยพุ่งอยู่ในใจของชายหนุ่มชุดดำอย่างดุเดือด
“ท่านพี่ คนผู้นี้หยิ่งยโสยิ่งนัก และมันไม่ไว้หน้าตระกูลซือคงของเราเลยสักนิด ข้าจะไปกดดันหอขุมทรัพย์สวรรค์ และเค้นถามถึงเบื้องหลังของมัน ก่อนที่ข้าจะฆ่ามันกับมือ!” ซือคงฮวายืนขึ้นอย่างรวดเร็วและกล่าววาจาด้วยท่าทางที่ดุร้าย
“ช้าก่อน!” ซือคงเหินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และร่องรอยการเย้ยหยันแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะของเขา “เจ้าไม่ต้องรีบร้อน เมื่อเราออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ ข้าจะจับคนผู้นี้อย่างแน่นอนและจะแปรสภาพมันให้กลายเป็นหุ่นเชิดปัญจพิษ ทำให้มันไม่สามารถเกิดใหม่ได้ตลอดกาล”
“สองแสนห้าหมื่นเม็ด!” ซือคงเหินเสนอราคาอีกครั้ง
“สามแสนเม็ด!” ในห้องรับรองพิเศษอีกห้องหนึ่ง เฉินซีมีสีหน้าเฉยเมยขณะที่เขาเสนอราคา ทำให้ทุกคนที่มาร่วมงานตกตะลึงและสนทนากันอย่างวุ่นวาย
“แค่สมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอด แต่กลับเสนอโอสถกลั่นแรกเริ่มถึงสามแสนเม็ด! สวรรค์ ราคาเช่นนี้ สามารถซื้อสมบัติระดับเดียวกันได้ถึงสามชิ้น!”
“คนทั้งสองน่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายจนไม่รู้จะทำสิ่งใด นอกจากละลายมันไปกับการเสนอราคา”
“มีเพียงศิษย์ของนิกายใหญ่เท่านั้นที่จะมีความมั่งคั่งและทรงพลังเช่นนี้ เราได้แต่เกลียดชะตากรรมของเราที่มีพรสวรรค์ด้อยกว่า มิฉะนั้น เราคงเข้าร่วมนิกายใหญ่ไปนานแล้ว…”
ในขณะนี้ ทุกคนต่างก็ตระหนักได้แล้วว่า การประมูลสำหรับกระบองหนามนี้ได้กลายเป็นการแข่งขันระหว่างเฉินซีกับซือคงเหินแล้ว จึงทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกตกใจ อิจฉา และริษยา ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความซับซ้อนถึงขีดสุด
แม้แต่ตู้เฟยอวี่ที่เป็นประธานในการประมูลและผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ เมื่อเขาได้ยินการเสนอราคาเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะกระโจนออกมาจากอกและมันก็เหลือเชื่อเกินไปจริง ๆ เพราะสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดสามารถขายได้ในราคาสามแสนโอสถกลั่นแรกเริ่ม และแม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาต่อผู้บ่มเพาะสองคนที่นั่งอยู่ในห้องรับรองพิเศษ
“สี่แสนเม็ด!” ซือคงเหินเสนอราคาจากในห้องรับรองพิเศษอีกครั้ง และเขาได้เพิ่มโอสถกลั่นแรกเริ่มอีกหนึ่งแสนเม็ด!
ทันใดนั้น การประมูลทั้งหมดก็เงียบลง เงียบสนิทโดยไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เพราะราคานี้สูงเกินไปจริง ๆ และมูลค่าของมันก็มากเกินไปสำหรับกระบองหนามเช่นนี้
“สี่แสนห้าหมื่นเม็ด!” เฉินซีเพิ่มราคาไปตามปกติและจะไม่เสนอเช่นนั้นอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่กี่วันก่อน เขาได้รับโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งล้านเจ็ดแสนเม็ดมา แต่มันไม่ได้มากมายมหาศาลและมันย่อมมีวันหมดในที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องการประหยัดมันให้ได้มากที่สุด เพราะท้ายที่สุด เขายังต้องซื้อโอสถกำจายล้ำอีกเช่นกัน
“ห้าแสนเม็ด!” เสียงของซือคงเหินลอดไรฟันออกมาและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่เข้มข้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ และก็สามารถแยกแยะสิ่งนี้ได้
“ห้าแสนห้าหมื่นเม็ด!” เฉินซีไม่ได้ให้ความสนใจกับเจตนาฆ่าเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขายังคงประมูลต่อไป แต่ความสงสัยได้เกิดขึ้นอยู่ในใจของเขา ‘ซือคงเหินต้องการซื้อกระบองหนามนี้เป็นอย่างมาก หรือว่ามันมีความลับซุกซ่อนอยู่ในนั้น?’
“หกแสนเม็ด! ข้าซือคงเหิน อยากจะรู้ว่าผู้ใดกล้าแข่งขันกับข้าอีก!” ในขณะนี้ ซือคงเหินไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปและประกาศชื่อของเขาต่อหน้าทุกคน นอกจากนี้ เจตนาคุกคามที่หนาแน่นก็เผยออกมาอย่างสมบูรณ์
“เจ้าคนผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก เราต้องฆ่ามัน! มันคิดว่าหอขุมทรัพย์สวรรค์สามารถปกป้องตัวตนของมันได้หรือ? หึ มันก็แค่เรื่องตลก!” ซือคงฮวาคำรามด้วยสีหน้าดุร้ายอยู่ที่ด้านข้างเช่นกัน
“ตราบใดที่มันกล้าเสนอราคาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ข้าจะฆ่ามันเท่านั้น ข้ายังจะฆ่าคนในตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของมันอีกเช่นกัน นอกจากนี้สหายและญาติพี่น้องของมันจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับมัน!!” ซือคงเหินกล่าวคำประหนึ่งคำราม
ทันทีที่เขากล่าวจบ เสียงก็ดังขึ้นจากห้องรับรองพิเศษที่เฉินซีอยู่ “หกแสนหนึ่งพันเม็ด!”
อย่างไรก็ตาม การเสนอราคาครั้งนี้ไม่ใช่หกแสนห้าหมื่นเม็ด แต่เพิ่มอีกเพียงหนึ่งพันเม็ดเท่านั้น และมันเป็นจำนวนที่ต่ำที่สุดสำหรับการเสนอราคา เนื่องจากเฉินซีตระหนักได้แล้วว่า ซือคงเหินอาจไม่มีทุนสำรองเพื่อสนับสนุนตัวเองในการประมูล ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงไม่ต้องเสนอราคาสูงอีกต่อไป
“บัดซบ!” ซือคงเหินโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากและกลิ่นอายในร่างกายของเขาก็ทะลักออกมาอย่างรุนแรง ราวกับเขาต้องการทำลายห้องรับรองพิเศษทั้งหมด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมเปลวไฟแห่งความโกรธในใจของเขาได้ และเขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวช้า ๆ ว่า “ดีมาก! โอสถกลั่นแรกเริ่มหกแสนหนึ่งพันเม็ด มันเฉลียวฉลาดจนสามารถประเมินทุนทรัพย์ของข้าได้ แต่เนื่องจากมันกล้าที่จะล่วงเกินข้าภายในเมืองเฟิงเย่ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะรออยู่สำหรับมัน!”
“เนื่องจากไม่มีผู้ใดเสนอราคาอีกต่อไป สมบัติชิ้นนี้จึงเป็นของสหายเต๋าในห้องรับรองพิเศษนั้น” ตู้เฟยอวี่กล่าวจบการประมูลสุดท้ายและลอบปาดเหงื่อออก ถ้าพวกเขาสองคนยังเสนอราคากันอีกต่อไป เขาคิดว่าหัวใจของเขาคงรับไม่ไหวจริง ๆ
ในเวลาไม่นาน ข้ารับใช้หญิงแสนสวยก็ยกกระบองหนามขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างขณะที่นางเดินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษ
“ในที่สุดข้าได้ก็มันมา” เฉินซียิ้มและแกว่งมือไปมา เขาหยิบโอสถกลั่นแรกเริ่มหกแสนหนึ่งพันเม็ดออกมาและส่งต่อให้ข้ารับใช้หญิงก่อนจะถือกระบองหนามแหลมไว้ในมือ หลังจากนั้นจึงตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
ในเวลาไม่นาน เขาก็พบว่ามีกลิ่นอายประหลาดพลุ่งพล่านอยู่ภายในกระบองหนาม มันเป็นกลิ่นอายของอาวุธที่ปะทะกันและการต่อสู้ที่ดุเดือด อีกทั้งยังให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในสนามรบนองเลือดที่กว้างใหญ่ไพศาล
‘อย่างที่คาดการณ์ไว้ ดูเหมือนจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ในกลิ่นอายประหลาดนั้น และมันก็แปลกมาก ข้าสงสัยว่ามีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่ในนั้น…’ สีหน้าของเฉินซียังคงนิ่งสงบพลางเก็บกระบองหนามเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จากนั้นเขาก็กล่าวกับมู่ขุยว่า “เก็บไว้ที่ข้าก่อน แล้วข้าจะให้เจ้าเมื่อเรากลับไปแล้ว”
มู่ขุยพยักหน้าอย่างรุนแรง หัวใจของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยความประหลาดใจที่น่ายินดีและความรู้สึกประทับใจมาตั้งนานแล้ว ในตอนนี้ เขาจะไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเฉินซีจะขอให้เขาสละชีวิตก็ตาม
“นี่ ท่านคงไม่โยนโอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนมากเพียงเพื่อชนะการแข่งขันใช่หรือไม่?” ย่าชิงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “แล้วเจ้าคิดอย่างไรละ?”
“ข้าคิดว่ามันน่าจะมีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับกระบองหนามนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นของท่าน ดังนั้นคงไม่เหมาะ หากข้าจะถามว่ามันคือสิ่งใดกันแน่” ย่าชิงก็รับรู้ได้เช่นกันว่า นางคงไม่สามารถได้รับคำตอบจากเฉินซี ดังนั้นนางจึงไม่ถามอีกต่อไปและเพียงเตือนสติเท่านั้น “ครั้งนี้เจ้าทำให้ซือคงเหินขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป?”
“ให้ข้าได้รับโอสถกำจายล้ำก่อน สำหรับสิ่งอื่น ข้าจะจัดการทุกอย่างที่เข้ามา ดังนั้นเราค่อยคุยเรื่องนี้ในภายหลัง” เฉินซีดูเหมือนจะร่าเริงมากแม้ว่าเขาจะกล่าวอย่างเฉยเมยก็ตาม