บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 301 การชุมนุมธารทอง
บทที่ 301 การชุมนุมธารทอง
เว่ยเฟิงและเฉินซียืนเผชิญหน้ากันอยู่บนยอดเขา
“กระบี่เหล็กนิลไท่อี้ระดับปฐพีขั้นสูง…ชักสมบัติวิเศษของเจ้าออกมาซะ มิฉะนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป” เว่ยเฟิงเขย่ากระบี่ในมือของเขา ทำให้มันส่งเสียงคำรามอย่างชัดเจน และอักขระยันต์สีทองระยิบระยับบนคมกระบี่ก็กระพือขึ้นและหมุนวนด้วยปราณแหลมคมที่ดุร้าย
เฉินซีเพียงยิ้มในขณะที่เขาดึงยันต์ศัสตราออกมาและถือมันไว้ในมือ
“เจ้าต้องการที่จะสู้กับข้าด้วยขยะชิ้นนั้นหรือ? ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่เจ้า จงมอบสมบัติล้ำค่าออกมาซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” เว่ยเฟิงเพียงประเมินกระบี่ในมือของเฉินซีด้วยสายตา และความรู้สึกรังเกียจก็พรั่งพรูออกมาจากใจของเขาอีกครั้ง
ในสายตาของเขา กระบี่ของเฉินซีมีสีดำสนิทและไร้ความแวววาว ราวกับแท่งไฟที่เพิ่งถูกดึงออกมาจากเตาหลอม นอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกระบี่แล้ว มันก็ไม่มีลักษณะเด่นเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่เว่ยเฟิง เห็นได้ชัดว่าเจ้าคนนี้หากไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา ราวกับท่านกำลังเทศนาให้คนหูหนวก ท่านกล่าวกับเขามากเกินไปแล้ว” จงเหลียวกล่าวจากด้านข้าง และใบหน้าที่กลมอ้วนของเขาถูกปกปิดด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ
เฉินซียืนนิ่งและเพิกเฉยต่อมันโดยสิ้นเชิง
ทำให้เว่ยเฟิงอดไม่ได้ที่จะคำรามอย่างเย็นชาเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ในเมื่อเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิต เจ้าจึงโทษข้าไม่ได้ รับมือซะ!” ทันทีที่เขากล่าวจบ ประกายแสงเย็นวาบก็ปรากฏขึ้นทันที!
ประกายแสงเย็นวาบที่ไม่อาจอธิบายได้ พุ่งใส่เข้ามา และมันดูเหมือนงูพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาโดยตลอด จู่ ๆ ก็แยกเขี้ยวของมันออก และมันก็หายไปราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏในพริบตาเดียว
อย่างไรก็ตาม เพียงอึดลมหายใจต่อมา กระบี่เล่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้นจากอากาศตรงบริเวณลำคอของเว่ยเฟิง และปลายกระบี่ก็สั่นไหวอย่างเงียบ ๆ ด้วยปราณกระบี่ที่เฉียบคมและเยือกเย็น ห่างจากคอของเว่ยเฟิงเพียงหนึ่งชุ่น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ ราวกับมันถูกวัดด้วยไม้บรรทัด
เว่ยเฟิงมีสีหน้ามึนงงสับสนขณะที่เขารักษาท่าทางการแกว่งกระบี่ของเขา และเขาไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย เส้นขนบนผิวหนังลำคอของเขาต่างก็ลุกชูชัน ยิ่งกว่านั้น หยดเลือดสีแดงสดงดงามหยดหนึ่งได้ปรากฏบนลูกกระเดือกของเขา
เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาที่แก้มของเว่ยเฟิง ในขณะที่ร่างกายของเขายังคงแข็งค้างดั่งก้อนหิน และท่าทางกระฉับกระเฉงเมื่อครู่ได้สูญไปหมดสิ้น เนื่องจากใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและร่างกายของเขาก็ด้านชา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความคมของประกายกระบี่ที่อยู่ห่างตรงลำคอของเขาเพียงหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งมันก็เหมือนกับเคียวของยมทูต แค่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สามารถปลิดชีวิตของเขาได้
เขายิ่งไม่กล้ากระทำผลีผลามใด ๆ เพราะสัญชาตญาณของเขาได้บอกกับเขาว่าหากเขาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย กระบี่สีดำสนิทและไร้ความแวววาวนี้จะทะลวงเจาะคอของเขาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทันทีที่เขาเพิ่งกล่าวจบ กระบี่เล่มนี้ก็ปรากฏอยู่ห่างจากลำคอของเขาเพียงหนึ่งชุ่นอย่างรวดเร็ว ราวกับสายฟ้าด้วยความแม่นยำที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้เขาไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกสยองขวัญที่ผุดขึ้นมาในใจของเขาได้
เขารู้ว่าไม่ต้องกล่าวถึงแท่งไฟ แม้ว่ามันจะเป็นใบไม้ มันก็เพียงพอที่จะปลิดชีวิตของเขาทันทีถ้ามันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“ข้า…ยอมรับความพ่ายแพ้” น้ำเสียงของเว่ยเฟิงแหบแห้ง ไม่มีน้ำเสียงเย้ยหยันและเย่อหยิ่งอีกต่อไป แต่กลับเผยให้เห็นถึงความรู้สึกหวาดกลัว
กระบี่เล่มนั้นหายไปราวกับไม่เคยปรากฏ
ในที่สุด ความหวาดกลัวของเว่ยเฟิงก็ผ่อนคลายลง จากนั้นเขาก็กลืนน้ำลายที่เต็มปากด้วยความยากลำบาก ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อปลายกระบี่จ่ออยู่ที่คอของเขา เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับสักนิดเดียว
ในขณะนี้ ในใจของเขามีเพียงความคิดเดียว ‘ข้าไม่สามารถล่วงเกินคนผู้นี้ได้!’
“ศิษย์พี่เว่ยเฟิง ท่าน…” จงเหลียวที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องเขม็งไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างว่างเปล่า และขยี้ตาเล็ก ๆ ของเขาอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ
การแทงด้วยกระบี่ของเฉินซีนั้นรวดเร็วเกินไป ถึงขั้นที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในชั่วพริบตาและมันได้เหนือกว่าจินตนาการของเขาไปแล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าชายหนุ่มที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น จะสามารถโจมตีด้วยกระบี่อย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้
‘สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร? ศิษย์พี่เว่ยเฟิงมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงมิใช่หรือ?’ จงเหลียวพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นสายตาของเฉินซีที่มองมาที่เขา หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้และเขาไม่กล้าสบตากับเฉินซี
…
“ที่นี่คือที่ใดหรือ?”
“เทือกเขากลืนหมอก”
“เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดมีนามว่าอันใด?”
“เมืองนภาคราม”
“เหตุใดเจ้าสองคนถึงมาอยู่ที่นี่”
“ข้าและศิษย์น้องจงตั้งใจจะไปที่เมืองนภาครามด้วยกัน เพื่อเข้าร่วมการการชุมนุมธารทอง แต่เราสังเกตเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในบริเวณของเทือกเขากลืนหมอก เราจึงคิดว่ามีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้นในโลก และค้นหาอยู่สามวันสามคืนก่อนที่จะมาถึงที่นี่”
“การชุมนุมธารทอง?”
“ใช่แล้ว เมืองนภาครามจะจัดการการชุมนุมธารทอง ทุก ๆ หนึ่งร้อยปี มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้ และเป็นงานยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะของเมืองนภาครามหรือแม้แต่ที่ราบตอนกลางทั้งหมด ในเวลานั้นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์จำนวนมากจะทยอยมาเข้าร่วม”
“ดูเหมือนว่าจะเหมือนกับการชุมนุมดาวรุ่งไม่มากก็น้อย?”
“สหายเต๋า… ไม่สิ ท่านผู้อาวุโส มีบางอย่างที่ท่านไม่ทราบ การการชุมนุมธารทองจัดขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการชุมนุมดาวรุ่ง และการชุมนุมธารทองในอดีตนั้น ตราบเท่าที่ผู้บ่มเพาะสามารถชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้ง โดยปกติแล้วผู้บ่มเพาะคนนั้นจะมีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั่วโลกจึงใช้การชุมนุมธารทองเป็นหินลับฝีมือและใช้มันเพื่อคาดการณ์อันดับของพวกเขาในการชุมนุมดาวรุ่ง”
“โอ้ เป็นเช่นนั้นเอง แล้วจะมีผู้บ่มเพาะมากมายเข้าร่วมหรือไม่”
“มีมากมายมหาศาลเลยล่ะ ไม่เพียงแต่จะมีผู้บ่มเพาะจากที่ราบตอนกลางของเราเท่านั้น แม้แต่ผู้บ่มเพาะจำนวนมากในแดนเถื่อนทางตอนเหนือและทะเลตะวันออกก็ยังถูกดึงดูดด้วยชื่อเสียงของมัน แต่ผู้บ่มเพาะชั้นนำบางคนจะไม่เข้าร่วม ตัวอย่างเช่น ชิงซิ่วอี้จากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ จ้าวชิงเหอจากหอหยกนภา หวงฝู่ฉางเทียนจากตำหนักจ้าวปัญญา และอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาจะสามารถติดอยู่ในสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการเข้าร่วมการการชุมนุมธารทองจึงไม่มีความหมายสักเท่าใดนัก”
“หวงฝู่ฉางเทียน? เขามีความสัมพันธ์กับหวงฝู่ฉงหมิงอย่างไรหรือ?”
“หวงฝู่ฉางเทียนเป็นพี่ชายของเขา เขามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจและมีพลังมหาศาล มิฉะนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเท่าเทียมกับชิงซิ่วอี้และจ้าวชิงเหอ
…
เว่ยเฟิงและจงเหลียวยืนตัวตรงอย่างเคารพเสมือนเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายคู่หนึ่ง และพวกเขาก็ได้บอกกล่าวทุกอย่างที่รู้เพื่อตอบคำถามของเฉินซี ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีความขุ่นข้องเคืองใจเลยแม้แต่น้อย มีเพียงร่องรอยของความซาบซึ้งและยินดีอยู่ในสายตาเท่านั้น
เหตุผลนั้นธรรมดามาก เนื่องจากเฉินซีไม่ได้ลงมือเข่นฆ่าพวกเขา และสัญญาว่าจะปล่อยพวกเขาไปหลังจากที่ถามคำถาม
นี่เป็นเพียงพรจากสวรรค์ที่ส่งถึงพวกเขา ท้ายที่สุด เหตุการณ์การฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงสมบัติ มักเกิดขึ้นในโลกแห่งการบ่มเพาะ และผู้บ่มเพาะเช่นเฉินซีที่เพิกเฉยต่อการล่วงเกินของพวกเขาและปล่อยพวกเขาไปอย่างใจกว้างนั้น หาได้ยากเหมือนกับเขากิเลนและขนวิหคเพลิง แล้วพวกเขาจะกล้าจุดประกายความขุ่นเคืองและความไม่พอใจได้อย่างไร?
‘จ้าวชิงเหอ… หรือว่าเขาเป็นศิษย์ของเจ้าเฒ่าโสโครกคนนั้น?’ ประกายรู้แจ้งเกิดขึ้นในใจของเฉินซีทันที และเขาก็นึกถึงเฒ่าโสโครกที่พรากเทพอสูรโบราณกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเย็นชาที่อยู่เคียงข้าง เฉินซีได้ยินอย่างชัดเจนว่า เฒ่าโสโครกเรียกศิษย์ของเขาว่าชิงเหอ
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินเฒ่าโสโครกกล่าวว่า ด้วยความแข็งแกร่งของจ้าวชิงเหอ ก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าสู่สิบอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่ง แต่มันจะอันตรายหากเขาต้องแข่งขันเพื่อชิงสามอันดับแรก ช่างตรงตามที่คาดไว้ การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้แตกต่างจากปกติ และบรรดาตัวประหลาดที่อยู่อย่างสันโดษได้สั่งให้ศิษย์ของพวกเขาออกมาสู่โลกภายนอก เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ด้วยวิธีนี้ หากมีตัวตนเช่นชิงซิ่วอี้ และหวงฝู่ฉางเทียน การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้จะมีผู้บ่มเพาะมากมายเหมือนมวลเมฆบนท้องฟ้า!
“ท่านผู้อาวุโส พวกเราขอตัวจากไปได้หรือไม่ขอรับ…” เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีตกอยู่ในภวังค์ความคิด เว่ยเฟิงก็รู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น และเขาได้รวบรวมความกล้าเพื่อถามอย่างระมัดระวัง
เฉินซีกลับมามีสติและกล่าวว่า “โอ้ ไปเถอะ ข้าจะไปกับพวกเจ้าทั้งสองคน”
“ฮะ?” เว่ยเฟิงกับจงเหลียวจ้องมองหน้ากันและกัน และเห็นสีหน้าที่ตกอกตกใจและไม่สบายใจของอีกฝ่าย พวกเขาต่างก็คิดว่า เฉินซีต้องการกลับคำพูดของเขาและคิดจะกำจัดพวกเขาระหว่างทาง
“เจ้าร้องเอะอะอะไร? เป็นโชคของเจ้าแล้ว ที่นายท่านอยากเดินทางไปกับพวกเจ้า พวกเจ้าสองคนช่างเป็นคู่หูที่โง่เขลาเสียจริง ๆ” มู่ขุยด่าเสียงดัง
“ท่านผู้อาวุโส หรือว่าท่านต้องการไปที่เมืองนภาครามและเข้าร่วมการชุมนุมธารทองหรือขอรับ” เว่ยเฟิงไม่ได้ด้อยปัญญา หลังจากครุ่นเพียงเล็กน้อย เขาก็คาดเดาความคิดของเฉินซีได้ราง ๆ แต่เขายังต้องยืนยันเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในภายหลัง
“ปลาเกล็ดสีทองไม่ใช่สิ่งที่ควรอยู่ในสระ มันจะแปลงร่างเป็นมังกรได้ก็ต่อเมื่อเผชิญกับพายุ นอกจากนี้ ชื่อของมันก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ข้าจะไม่พลาดงานยิ่งใหญ่เช่นนี้อย่างแน่นอน” เฉินซีพยักหน้า
“ด้วยความแข็งแกร่งของผู้อาวุโส ท่านจะสามารถชนะในการชุมนุมธารทองติดกันร้อยครั้งได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ด้วยการกระโจนเพียงครั้งเดียว ท่านจะกลายร่างเป็นมังกรที่สง่าผ่าเผยและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก” เว่ยเฟิงว่ยเฟิงรู้สึกโล่งใจและเขาไม่ลืมที่จะประจบเฉินซี
“แน่นอนอยู่แล้ว ความสามารถของผู้อาวุโสนั้นไม่เคยมีมาก่อนและไม่มีผู้ใดเทียบได้ จึงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับผู้อาวุโสที่จะได้รับชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกัน” ใบหน้าของจงเหลียวปกคลุมด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขารีบส่งคำเยินยอที่ดังกึกก้อง
“ไปกันเถอะ ถ้าเจ้าสองคนยังกล่าวเช่นนี้อีกต่อไป ข้าก็ไม่มั่นใจว่าเจ้าทั้งคู่จะสามารถเดินออกจากเทือกเขากลืนหมอกได้ทั้งเป็น” เฉินซีกวาดสายตามองคนทั้งสองและกล่าวอย่างเฉยเมย
คนทั้งสองตัวสั่นด้วยความกลัวและไม่กล้าประจบประแจงเฉินซีโดยไม่มีเหตุผลอีก จากนั้นพวกเขาก็รีบทะยานเพื่อนำทางไปข้างหน้า พวกเขาเข้าใจแล้วว่า เฉินซีไม่ใช่คนเช่นเดียวกับเหล่าผู้มีอำนาจและมีความทะเยอทะยาน ชายหนุ่มจึงไม่ต้องการคำเยินยอจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย…
เมืองนภาครามอยู่ห่างจากเทือกเขากลืนหมอกถึงเจ็ดพันห้าร้อยลี้ แต่สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเช่น เฉินซี ระยะทางเล็กน้อยนี้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วก้านธูปเท่านั้น
ตลอดเส้นทาง เฉินซีพบเห็นผู้บ่มเพาะมากมายรีบมุ่งหน้าไปที่เมืองนภาคราม พวกเขามีทั้งชายและหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ มีความกล้าหาญและมั่งคั่ง บ้างก็ทะยานอยู่บนท้องฟ้า บางคนก็เดินทางด้วยสมบัติวิเศษ หรือควบขี่สัตว์วิญญาณ ทำให้ท้องฟ้าทั้งหมดดูสวยงามตระการตาและมีหลากสีสัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะคึกคักเป็นพิเศษ
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ล้วนมาเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมธารทอง
และเฉินซีก็พบว่าตลอดทาง ทุกเรื่องที่ผู้คนเหล่านี้คุยกันนั้นเกี่ยวข้องกับการการชุมนุมธารทอง และมันทำให้เขาได้รับรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการชุมนุมนี้
“รถม้าสมบัติเก้ามังกรดำ! เป็นนายน้อยคนที่สี่ของตระกูลโจว คาดไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วย!” ในขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงอุทานด้วยความตกใจก็ดังกึกก้องอยู่ใต้ท้องฟ้าอันไกลโพ้น ทันใดนั้น ผู้บ่มเพาะมากกว่าร้อยคน ที่แต่เดิมกำลังเร่งรีบไปตามเส้นทางของพวกเขา ก็แยกย้ายไปด้านข้างโดยพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็เปิดเส้นทางที่กว้างขวางมากในท้องฟ้า
นายน้อยคนที่สี่ของตระกูลโจว?
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เบื้องหลังเขา เขาจึงเห็นมังกรดำขนาดมหึมาเก้าตัว ที่มีหนวดสองเส้นอยู่ที่ข้างปากของพวกมัน ลำตัวของมันยาวกว่าเก้าร้อยจั้ง ร่างกายของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ขณะลากรถม้าสมบัติซึ่งมีขนาดใหญ่เหมือนห้องโถง และมีไอเย็นเยือกแข็งกับโครงสร้างที่หนักแน่น มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ มังกรดำทั้งเก้าตัวและรถม้าได้บดขยี้ท้องฟ้าในขณะที่มันเร่งความเร็วไปตลอดเส้นทาง
ยิ่งไปกว่านั้น มีหญิงสาวสามสิบคนและชายหนุ่มรูปงามสามสิบหกคนอยู่ในแต่ละด้านของรถม้าสมบัติ พวกเขาทั้งหมดสวมเสื้อผ้าหรูหราและเสื้อคลุมปักลายในขณะที่ถือธง และบนธงมี อักขระ ‘周’ ที่ดุดันมาก ซึ่งเขียนด้วยลายเส้นคดเคี้ยวและทรงพลัง
มังกรดำขนาดใหญ่เก้าตัวเปล่งพลังอันน่าเกรงขามและปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อพวกมันลอยขึ้นไปในก้อนเมฆ และกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของพวกมันก็ปกคลุมไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียว
บนที่นั่งตรงกลางของรถม้าสมบัติมีชายหนุ่มนั่งหลังตรงขณะไขว่ห้างตรงและหลับตาลง เขายังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน แต่กลิ่นอายของเขาดูเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่เสด็จมา เพื่อท่องไปในดินแดนของเขา!