บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 307 ผู้ขัดเกลากายาจี้เยว่
บทที่ 307 ผู้ขัดเกลากายาจี้เยว่
ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเหลือบมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะวูบมาโผล่บนสังเวียนประลอง จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ และเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นว่า “สังเวียนประลองที่สิบหก เฉินซีได้รับชัยชนะไป!”
เสียงของเขาดังก้องดั่งระฆังกังวานไปทั่วทุกทิศ ทำให้ทุกคนตื่นขึ้นจากฝัน จากนั้นพากันถอนหายใจยาว พวกเขายังคงรู้สึกกลัวอยู่ในใจเมื่อคิดถึงความเร็วกระบี่ของเฉินซีเมื่อก่อนหน้านี้
“ช่างรวดเร็วอะไรอย่างนี้ เป็นการโจมตีที่น่ากลัวยิ่ง!”
“การเคลื่อนไหวของเขาเป็นดั่งลม เห็นได้ชัดว่ามีเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาผสานอยู่ ช่างอัศจรรย์นัก!”
“ผู้บ่มเพาะเช่นนี้มีอยู่ในดินแดนทางใต้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้ล้วนถูกคัดออกไปตั้งแต่รอบแรกของการชุมนุมธารทองแล้วนี่”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา เฉินซีลังเลอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด จึงทำได้เพียงนั่งลงยังที่นั่งที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกอิจฉาอย่างช่วยไม่ได้
“อัศจรรย์นัก! ท่านเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ปกปิดความแข็งแกร่งตนไว้ได้อย่างมิดชิดจริง ๆ!” แน่นอนว่าเฉินซีเพิ่งกลับมานั่งที่ตอนที่ย่าชิงพูดขึ้น
“ถ้าข้าดูไม่ผิด ก่อนหน้านี้เจ้าดูเหมือนจะยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เลยนี่?” เจิ้นหลิวชิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็พูดขึ้นเช่นกัน
“ก็ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดจริง ๆ อย่างที่เจ้าว่า” เฉินซีพยักหน้า เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง แต่ยังใช้กำลังไม่ถึงสามในสิบส่วนด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ชิวเยี่ยนอ่อนแอเกินไป คิดเช่นนี้ได้แล้ว เฉินซีก็ลูบคางก่อนจะถามขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าลงมือเร็วเกินไปหรือ? จริง ๆ แล้วข้าน่าจะยอมให้เขาออกไปอย่างไม่ต้องเสียหน้าก็ดี”
สตรีทั้งสองตกตะลึง จากนั้นย่าชิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะ นางคลี่ยิ้มงดงามดั่งบุปผาแล้วเอ็ดกลับ “ท่านดูท่าทางจริงจังนัก ไม่คิดเลยว่าจะประชดประชันเก่งเช่นนี้”
เจิ้นหลิวชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ เช่นกัน แต่ใจก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น แล้วเมื่อครู่เขาใช้กำลังไปกี่ส่วนกัน?
มีผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมการชุมนุมธารทองในครั้งนี้หกหมื่นคน แค่การแข่งขันรอบแรกก็กวาดคนออกไปกว่าครึ่งแล้ว มีเพียงผู้ที่ได้รับชัยชนะเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการแข่งขันรอบที่สอง ซึ่งเป็นการท้าทายฝ่ายตรงข้าม ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันครั้งนี้ก็นับเป็นการแข่งที่แท้จริง
แต่เนื่องจากมีจำนวนผู้บ่มเพาะเข้าร่วมมากเกินไป การแข่งขันรอบแรกจึงดำเนินการเป็นเวลาสามวันก่อนจะสิ้นสุด ในช่วงเวลาสามวันนี้ มีการต่อสู้บนสังเวียนนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นบนสิบแปดสังเวียน แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอะไรพิเศษนัก จึงหาการต่อสู้ที่น่าสนใจได้ยากจนน่าเวทนาทีเดียว
เหตุผลก็เพราะความแตกต่างด้านความแข็งแกร่งของผู้เข้าร่วมแต่ละคนนั้นมีมากเกินไป ถึงทั้งหมดจะอยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่ระหว่างขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสมบูรณ์แบบก็มีความแตกต่างขนานใหญ่อยู่
แม้ผู้บ่มเพาะจะมีพลังบ่มเพาะเท่ากัน แต่พลังต่อสู้ก็แตกต่างกัน ส่วนมากมักถูกคู่ต่อสู้จัดการได้ในไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
อีกทั้งยังมีที่ยิ่งกว่านั้นอีก เช่นนายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ และหวังเต้าซวี่ คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายยังไม่ทันเดินเข้าสังเวียนมาก็ยอมแพ้ไปเองแล้ว ทำเอาคนดูที่อยากดูการต่อสู้ของยอดฝีมือพากันผิดหวังไปตาม ๆ กัน
เฉินซีเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ในช่วงสามวันนี้เช่นกัน เขามาชมการแข่งขันในสามวันนั้นพร้อมกับสตรีเข้าใจยากสองนางด้วย
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ นอกจากเฉินซีแล้ว ผู้บ่มเพาะคนอื่นจากดินแดนทางใต้ที่เข้าร่วมการชุมนุมธารทองในครั้งนี้ล้วนตกรอบกันหมด ทำให้เฉินซีพูดไม่ออกอยู่ในใจ
บ้านเกิดของเขาอยู่ที่ดินแดนทางใต้ ดังนั้นเฉินซีจึงรู้สึกเสียใจอยู่ลึก ๆ เมื่อได้เห็นว่าผู้บ่มเพาะจากบ้านเกิดพากันแพ้ไปเช่นนั้น
ไม่ต้องกล่าวว่าระหว่างการชุมนุมธารทองในตอนนี้ คนอื่น ๆ ล้วนมองเขาเป็นผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้ทั้งนั้น ไม่ได้แยกละเอียดว่าเป็นเมืองหมอกสนในดินแดนทางใต้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในบรรดาผู้บ่มเพาะที่เข้ารอบสองมาได้ เฉินซีกลายเป็นผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้ารอบมาได้ ดินแดนทางใต้อ่อนแอเพียงใดในบรรดาพื้นที่อื่น ๆ ของแผ่นดินซ่งก็เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้
ในวันที่สี่ของการชุมนุมธารทอง ในที่สุดการแข่งขันรอบที่สองก็เริ่มขึ้น!
ในวันนี้ ฝูงชนหนาแน่นเต็มสถานที่ จำนวนคนมากกว่าเดิมอย่างน้อยสองในสิบส่วน เกิดเป็นภาพผู้คนคึกคักและยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์
“จากที่ข้าเห็น มีเพียงนายน้อยสี่ตระกูลโจวเท่านั้นที่ได้รับชัยชนะต่อเนื่องร้อยครั้งและไม่ว่าคนอื่น ๆ จะน่าเกรงขามเพียงใด แต่ก็มั่นใจได้ยากว่าจะไม่ถูกคนอื่น ๆ ที่มีพลังบ่มเพาะเท่าเทียมกันเอาชนะไปได้”
“ฮึ่ม! เจ้าจะไปรู้อะไร? มีผู้บ่มเพาะมากมายในการชุมนุมธารทองในครั้งนี้ เช่น อันเชี่ยนอวี้แห่งนิกายกระบี่สะบั้นนภา หวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัส และซูเฉินแห่งตำหนักจ้าวสงคราม คนทั้งหมดเป็นผู้ที่น่าเกรงขามไม่น้อยกว่านายน้อยโจวเลย ในความคิดของข้า พวกเขาอาจได้รับชัยชนะต่อเนื่องหนึ่งร้อยครั้งเลยก็ได้”
“เจ้าโง่! คนเหล่านี้มีชื่อกันอยู่มานานแล้ว ไม่แปลกหรอกที่จะชนะ ข้าสังเกตเห็นหน้าใหม่มากมายที่มีความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าคนเหล่านี้ เพียงแค่ชื่อเสียงไม่เป็นที่รู้จักเท่านั้น”
“อ้อ งั้นบอกเราหน่อยสิว่าคนเหล่านี้เป็นใครกันแน่?”
“จี้เยว่แห่งนิกายเหนือเศียรจากดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ฮวาโม่เป่ยแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์จากทะเลตะวันออก และเฉินซีแห่งดินแดนทางใต้ ชื่อเสียงของทั้งสามคนนี้ ในอดีตไม่ได้โด่งดังอันใด แต่พวกเขาได้เผยพลังต่อสู้สุดแกร่งให้เราได้เห็นในการแข่งรอบแรกไปแล้ว จึงไม่อาจประมาทได้”
“จี้เยว่กับฮวาโม่เป่ยที่เจ้าพูดถึงนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ทั้งคู่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ มีกำลังน่าเกรงขามเช่นกัน แต่ข้าว่าเฉินซีน่ะไม่ค่อยเท่าไร แน่นอนว่าเขารวดเร็ว หากเป็นคนธรรมดาก็คงรับมือไหว แต่หากเป็นเรื่องกำลัง มีแค่ความรวดเร็วนั้นใช้ไม่ได้หรอก ไม่ต้องกล่าวเลยว่าระดับการบ่มเพาะของเขานับเป็นจุดอ่อน จะนำเขาไปเปรียบเทียบกับยอดฝีมือคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?”
“อย่าพูดโดยไม่เหลือที่ให้ความเป็นไปได้อื่น ๆ สิ บางทีเฉินซีอาจจะยังมีไพ่ตายที่ยังไม่เผยออกมาก็เป็นได้”
“ไพ่ตายหรือ? คนอื่นก็มีเช่นกัน!”
…
เสียงผู้คนครึกครื้นดั่งเกลียวคลื่นอยู่ในการชุมนุมธารทอง ล้วนกำลังสนทนาพูดคุยกันถึงการแข่งที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดย่อมต้องเป็นนายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ ซูเฉิน และคนอื่น ๆ อีกสองสามคน
พวกเขาล้วนมาจากนิกายเหยี่ยนโจวอันรุ่งเรือง มีความสามารถพิเศษ พลังบ่มเพาะล้ำลึก ล้วนมีชื่อกันอยู่มานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาย่อมเป็นผู้เข้าแข่งขันที่น่าจะกำชัยชนะร้อยครั้งในการชุมนุมธารทองครั้งนี้ได้
ส่วนเฉินซี นอกจากความเร็วอันน่าตกใจที่ทำเอาทุกคนประทับใจแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้คนอื่นสนใจอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจมากเท่าไร
เฉินซีไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย เขาเข้าร่วมการชุมนุมธารทองเพียงเพราะต้องการวัดขีดจำกัดตนหลังจากทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้วก็เท่านั้น ส่วนเรื่องความสนใจ ชื่อเสียง และรางวัลนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจสักนิด
แต่เขาก็ยังตั้งใจอย่างที่ควรเป็น การแข่งขันเช่นนี้จะชนะให้ได้ติดต่อกันตลอดไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเขาต่อสู้มากขึ้น คนอื่นยิ่งเข้าใจทั้งท่วงท่าและกำลังของอีกฝ่ายมากขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวไม่ได้รู้วิชาของอีกฝ่ายเลย และหลังจากผ่านการต่อสู้อันยืดเยื้อ ย่อมสูญเสียไฟที่มีอยู่ในตอนแรก เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ จังหวะนี้ หากมีผู้บ่มเพาะที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันปรากฏขึ้น คู่ต่อสู้ก็จะสามารถยับยั้งชัยชนะต่อเนื่องนั่นเอาไว้ได้
ที่สำคัญที่สุด ยิ่งชนะติดต่อกันได้มากเท่าไร ผู้บ่มเพาะที่จะท้าทายเป็นรายต่อไปจะยิ่งแกร่งมากขึ้น ไม่มีใครในที่นี้เป็นคนโง่ ดังนั้นในเมื่อพวกเขากล้าขึ้นสังเวียนมาท้าสู้ ย่อมต้องมีความมั่นใจในพละกำลังตนสูง ไม่เช่นนั้นก็อาจไม่ได้เข้าใจพละกำลังตนเองดีพอ ดังนั้นหากใครหมายจะได้ชัยชนะต่อเนื่องหนึ่งร้อยครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครคาดคิด
แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!
คลื่นเสียงใสกระจ่างเสนาะหูของระฆังดังก้องฟ้าสะเทือนดิน ส่งผลให้เสียงอื้ออึงรอบข้างหายไปในพลัน สายตาของทุกคนกวาดลงมองสังเวียนประลองทั้งสิบแปดแห่งโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขารู้ว่าการต่อสู้ในการชุมนุมธารทองรอบที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“ข้าคืออู๋หมิงแห่งขุนเขาถ้ำวารีจากที่ราบตอนกลาง ขอคำชี้แนะจากสหายเต๋าทุกท่าน!”
“งานยิ่งใหญ่เช่นนี้ มีหรือที่ข้า เลี่ยวมู่ไป๋จะไม่มาได้? ข้าจะคว้าชัยชนะอันดับแรกในการแข่งขันรอบนี้เช่นกัน!”
“ลู่ต้าแห่งนิกายด้วงกระทิงจากดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ!”
ทันทีที่เสียงระฆังดังก้อง เงาร่างกว่าสิบคนก็พุ่งขึ้นสังเวียนไปแล้ว ทั้งหมดล้วนมีกำลังใจดี เผยความแข็งแกร่งน่าเกรงขาม
“สหายเหล่านี้ฉลาดนัก รู้ว่าผู้บ่มเพาะแท้จริงจะไม่ขึ้นสังเวียนตอนการแข่งขันเพิ่งจะเริ่มขึ้น ดังนั้นหากฝีมือไม่ได้แย่นัก ก็สามารถฉวยโอกาสเอาชนะสักหลายครั้งได้” ย่าชิงยิ้มบางอยู่ที่ด้านข้าง
“แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะพ่ายแพ้ไป มีสังเวียนต่อสู้เพียงสิบแปดสังเวียนเท่านั้น หากมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอก็ไม่อาจครอบครองสังเวียนได้นานนักหรอก” เจิ้นหลิวชิงเองก็เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยขึ้นเช่นเดียวกัน
เฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจอย่างรวดเร็ว แล้วก็ส่ายหัวน้อย ๆ ดังที่เจิ้นหลิวชิงว่า แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครครอบครองสังเวียนจนเอาชนะคู่ต่อสู้ได้หนึ่งร้อยครั้งติด หากไร้ความแข็งแกร่งที่แท้จริง สุดท้ายแล้ว การแข่งนี้ก็ทดสอบแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือความแข็งแกร่ง
เขาย่อมรู้เช่นกันว่าผู้เข้าร่วมส่วนมากหมายตารางวัลเอาไว้ ไม่ได้หวังเกียรติจากการชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้งหรอก
เพราะอย่างไรแค่ชนะติดต่อกันสิบครั้งก็ได้โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสน เม็ดแล้ว หากชนะติดต่อกันยี่สิบครั้งก็จะได้สองแสนเม็ดเช่นนี้สูงไปเรื่อย ๆ เพียงชนะไม่กี่รอบก็ได้โอสถกลั่นแรกเริ่มมาหลายแสนเม็ดแล้ว หากจะหยุดไปก่อนจะได้รับชัยชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้งก็ไม่มีผู้ใดเสียใจมากนัก
ในการต่อสู้ต่อจากนี้ไป ผู้บ่มเพาะอย่างนายน้อยโจวจะต้องยังไม่ลงสังเวียน คงจะรอจังหวะดีอยู่เป็นแน่
แม้ว่าสังเวียนต่อสู้ในปัจจุบันจะยังขาดผู้บ่มเพาะระดับหัวกะทิเหล่านี้เป็นการชั่วคราว แต่หากเทียบกับรอบแรกเมื่อหลายวันก่อนก็น่าสนใจกว่ามาก เรียกเสียงร้องเสียงตกใจได้ บรรยากาศมีชีวิตชีวานัก เฉินซีเองก็ยังไม่ลงมือแต่อย่างไร เขานั่งอยู่ในเขตผู้ชม ดูการต่อสู้จากหลากหลายสังเวียน ได้เปิดหูเปิดตา และได้ข้อมูลมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ
ผู้บ่มเพาะเหล่านี้เป็นศิษย์รุ่นเยาว์จากทั่วแผ่นดินซ่ง ทั้งสมบัติวิเศษ วิชากระบวนยุทธ์เต๋า และวิชาต่อสู้ย่อมต้องเหนือกว่าใคร
ถึงขนาดที่เฉินซีได้เห็นผู้บ่มเพาะประหลาดที่มีคลังสมบัติมิติแขวนอยู่ทั่วร่าง ภายในนั้นไม่ได้มีเพียงยันต์หลากหลายเท่านั้น แต่ยังมีโอสถที่ช่วยเติมพลังกาย หุ่นเชิดต่อสู้ที่มีกำลังสูงส่ง และอื่น ๆ อีก แม้พลังต่อสู้ของคนผู้นั้นจะอยู่เพียงระดับกลาง แต่กลับสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งของเหล่านั้นได้จนถึงขั้นสุด เอาชนะติดต่อกันมาได้ ทำเอาผู้ชมมึนงงและร้องออกมาว่าเคล็ดการต่อสู้เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หาซื้อได้!
นอกจากนี้ยังมีผู้บ่มเพาะหญิงที่มีทักษะทำให้สัตว์ร้ายเชื่องและใช้ผีเสื้อวิญญาณนับพันตัวเข้าต่อสู้ ผีเสื้อวิญญาณเหล่านี้มีสีสันหลากหลาย พวกมันเหมือนจะอ่อนแอ ทว่าแต่ละตัวกลับมีความสามารถน่ากลัว เช่นทำให้จิตใจสับสน โจมตีด้วยคลื่นเสียง พ่นหมอกพิษ และอื่น ๆ ภายใต้การควบคุมของนาง พวกมันจะกลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำให้นางได้ชัยชนะติดต่อกัน ผู้คนโห่ร้องด้วยเสียงชื่นชม
แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือผู้ขัดเกลากายาเท้าเปล่าที่สวมชุดผ้าลินิน เขามีผิวคล้ำ กล้ามเนื้อทั่วร่างดูถูกที่ทาง เป็นมุมเป็นสัน และเป็นมันเงาดั่งหยก ศีรษะล้านเลี่ยนเผยให้เห็นลวดลายปทุมแดง ทำให้ท่าทางเคร่งขรึมเผยกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา
รูปแบบการต่อสู้ของเขาคือการเข้าปะทะซึ่งหน้าที่ทรงพลังอย่างหาใครเทียบไม่ได้ และนั่นทำให้เขาชนะติดต่อกันได้กว่ายี่สิบครั้ง โดยไม่มีใครทานทนได้มากกว่าหนึ่งการโจมตีของเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนทุกรอบที่จัดการกับคู่ต่อสู้ เขาจะออมกำลังไว้เสมอ
และระหว่างที่เขาต่อสู้ เขาจะทำให้เกิดเมฆสีเลือดปกคลุมพื้นที่เหนือศีรษะไปกว่าสองลี้ พลังชีวิตและเลือดที่พลุ่งพล่านดั่งหินหลอมเหลวของเขาพุ่งออกจากร่าง สายฟ้าสว่างวาบขึ้น ฟ้าร้องดังก้องอยู่ในเมฆสีเลือดเหล่านั้น ในขณะที่อักขระลึกลับต่าง ๆ ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับบนท้องฟ้าส่งผลให้มันดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
คนผู้นี้คือผู้บ่มเพาะด้านแปรสภาพร่างกายขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ เขามาจากดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ จี้เยว่แห่งนิกายเหนือเศียร!