บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 317 หวงฝู่ไท่อู่
บทที่ 317 หวงฝู่ไท่อู่
หวังเต้าซวี่ ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอันดับต้น ๆ ในรุ่นเยาว์ของนิกายแสงจรัสพ่ายแพ้แล้ว!
ความเงียบงันได้ปกคลุมบริเวณพื้นที่รับชมไปชั่วขณะ แต่ไม่นานหลังจากนั้น มันกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงโห่ร้องโหวกเวกต่าง ๆ และใบหน้าของผู้คนล้วนเต็มไปด้วยตกตะลึงทันที
มันเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!
เพียงแค่สามกระบวนท่า หวังเต้าซวี่ก็ปราชัยไป สิ่งที่ได้ประจักษ์นี้เป็นสิ่งที่ผู้คนเชื่อลงได้ยาก
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เจิ้นหลิวชิงเอ่ยถามโดยตรง แม้นางจะคาดการณ์ว่าเฉินซีจะสามารถเอาชนะมาได้ตั้งนานแล้ว แต่เมื่อนางเห็นว่าเขาสามารถเอาชนะหวังเต้าซวี่ได้ด้วยตาทั้งคู่ของนางเอง ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ
อันเชี่ยนอวี้นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพยักหน้าและกล่าวว่า “เขาแข็งแกร่งมากจริง ๆ ข้ายอมรับว่าตนเองด้อยกว่าเขา”
เจิ้นหลิวชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องเศร้าใจ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเช่นนี้ ก็ไม่ใช่การยากที่จะเป็นหนึ่งในร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง และถ้าหากเจ้าโชคดี ก็ย่อมมีโอกาสเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรก”
อันเชี่ยนอวี้หัวเราะอย่างขมขื่น “เจ้าไม่จำเป็นต้องปลอบใจข้าหรอก ถ้าข้าทนกับความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ได้ ข้าก็คงอยู่ไปโดยเปล่าประโยชน์มาจนถึงบัดนี้” เขาหยุดชั่วครู่แล้วถามทันที “แล้วเขาล่ะ?”
แน่นอนว่าเขาที่ชายหนุ่มกล่าวถึงย่อมหมายถึงเฉินซีนั่นเอง
เจิ้นหลิวชิงสามารถแยกแยะได้และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะส่ายศีรษะ พร้อมกับกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “ผู้ใดจะล่วงรู้? เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่เคล็ดวิชาคันฉ่องวารีดาราแจ่มจรัสจากหอวารีหมอกของข้าก็ไม่อาจทำนายชะตากรรมของเขาได้ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจสรุปได้อย่างชัดเจน”
“แต่ถ้าเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ เฉินซีย่อมติดหนึ่งในสิบอันดับและสร้างปาฏิหาริย์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในโลกได้อย่างแน่นอน !” ย่าชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขจากบริเวณใกล้เคียง และดวงตาที่ใสกระจ่างของนางก็สั่นไหวด้วยระลอกคลื่นแห่งความงดงามที่ไม่ธรรมดา
เจิ้นหลิวชิงกับอันเชี่ยนอวี้ชำเลืองมองกันและกันก่อนที่จะเงียบไป เช่นเดียวกับที่เจิ้นหลิวชิงได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ชะตากรรมของเฉินซีถูกปกปิดด้วยความลับของสวรรค์ และเมื่อรวมกับความแข็งแกร่งที่เขาได้เผยมาในตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะบรรลุความสำเร็จที่น่าตื่นตะลึงในการชุมนุมดาวรุ่งที่จะมาถึง“
“แม่นางเจิ้น สายตาของเจ้าช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก เมื่อครั้งที่เจ้าบอกว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาก่อนหน้านี้ บอกตามตรงว่า ข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเลยสักนิด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิด” หวังเต้าซวี่ที่อยู่บนสังเวียนประลองกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้าของเขาเศร้าหมองเล็กน้อย
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าออมพลังไว้มากเกินไป หากเจ้าใช้กำลังทั้งหมด บางทีการต่อสู้อาจแตกต่างออกไปจากตอนนี้”
หวังเต้าซวี่หัวเราะอย่างขมขื่นและถามกลับว่า “แม้แต่ตัวเจ้าก็ยังออมพลังไว้มิใช่หรือ? ในท้ายที่สุดข้าก็ยังคงพ่ายแพ้ ดังนั้นเหตุใดข้าถึงไม่พ่ายแพ้อย่างหมดจดเช่นตอนนี้ อย่างน้อยข้าก็ยอมรับมันได้”
เฉินซีเงียบไป
“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่พบกับเจ้าในการชุมนุมดาวรุ่งอีก ขอตัวล่ะ” หวังเต้าซวี่ทอดถอนหายใจ ก่อนจะกระโดดออกจากสังเวียนต่อสู้และหายตัวไปในพื้นที่รับชมอย่างรวดเร็ว
ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับการจากไปของหวังเต้าซวี่ ในตอนนี้ สายตาของทุกคนแทบจะจับจ้องไปยังเฉินซี และดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ ความเคารพ และความชื่นชมเมื่อพวกเขาได้มองไปยังร่างอันสูงสง่าและตั้งตรงเหมือนหอก
จี้เยว่ ผู้บ่มเพาะการแปรสภาพร่างกายแห่งขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบของนิกายเหนือเศียร
ฮวาโม่เป่ย ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์ของทะเลตะวันออก
หวังเต้าซวี่ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของนิกายแสงจรัส
ทั้งสามคนนี้เป็นล้วนผู้ทรงพลังที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจเอาชนะได้ ทว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา พวกเขาทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเฉินซี ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นจากดินแดนทางใต้ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ด้วยเหตุนี้ ใครจะคาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นนี้? และเพราะไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน ทำให้ความตกตะลึงสั่นสะท้านไปถึงก้นบึ้งจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างรุนแรง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมกับความสามารถเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของนายน้อยโจวได้ทำลายความเงียบงันเช่นนี้ เนื่องจากเขาได้รับชัยชนะสี่สิบเอ็ดครั้งติดต่อกัน ในระหว่างการต่อสู้ของเฉินซีกับหวังเต้าซวี่ และในตอนนี้ เขายืนอยู่บนสังเวียนประลองขณะที่พัดพัดหยกในมือของเขา สายตาจ้องมองไปที่เฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนที่จะหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่เลว ความแข็งแกร่งของเจ้าได้เกินความคาดหมายของข้าตลอดจริง ๆ การต่อสู้กับคู่ต่อสู้เช่นเจ้านับเป็นความสุขของชีวิตข้าเท่านั้น”
ขณะที่เขากล่าว เขาก็ดึงจี้หยกวิญญาณมังกรขนาดเท่าฝ่ามือออกมาแล้วโยนมันออกไป “ตามการเดิมพันก่อนหน้านี้ หวังเต้าซวี่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นจี้หยกวิญญาณมังกรนี้เป็นของเจ้า จงรีบดูดซับวิญญาณมังกรและพลังชีวิตภายในนั้นและฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเจ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นค่อยมาสู้กับข้า”
เฉินซียกมือขึ้นคว้าจับจี้หยกวิญญาณมังกร และเขากำลังจะนึกถึงคำกล่าวบางอย่างเพื่อคืนจี้หยกนี้ให้แก่นายน้อยโจว อย่างไรก็ตาม ทันทีที่จี้หยกนี้อยู่ในมือของเขา เขารู้สึกว่าพลังชีวิตและเลือดในร่างกายของเขากำลังสูบฉีดและไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่ามันไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการไหลออกจากร่างกายของเขาและกลืนกินจี้หยกนี้
‘จี้หยกนี้ดูเหมือนจะมีประโยชน์ต่อการขัดเกลาร่างกายอย่างมาก… ใช่แล้ว วิญญาณมังกรและพลังงานชีวิตที่แฝงไปด้วยพลังมังกร มันคือโอสถทิพย์ในการเสริมร่างกายมิใช่หรือ? หากข้าพึ่งพาวิญญาณมังกรและโลหิตที่อยู่ภายใน รวมทั้งการเสริมจากวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารย่อมทำให้ทักษะการแปรสภาพร่างกายของข้าสามารถบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างแน่นอน!’ หัวใจของเฉินซีสั่นไหวและเขารู้สึกลังเลเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวกับนายน้อยโจวว่า “ข้าจะเอาจี้หยกนี้ไปและข้าจะตอบแทนเจ้าในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”
นายน้อยโจวโบกมือ “ตอบแทนสิ่งใด? การสูญเสียก็คือการสูญเสีย สิ่งนี้เป็นของเจ้าและเราไม่ได้เป็นหนี้กัน ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดติดค้างข้าเพราะเหตุนี้”
เฉินซีตกตะลึงและตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเขาจะกล่าวอะไร นายน้อยโจวจะไม่เต็มใจรับฟัง ดังนั้นเขาจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
“เฉินซี ข้าขอท้าเจ้า” ซูเฉินที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน เพราะเขามาถึงที่นี่ก่อนนายน้อยโจว และมองมาจากข้างสนามอย่างเย็นชา
นายน้อยโจวขมวดคิ้วและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ซูเฉิน ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าที่บังอาจใช้กลอุบายขัดขวางข้าก่อนหน้านี้ และตอนนี้ เจ้ากลับคิดเสนอหน้าก่อนข้า หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้าทุบตีเจ้า?”
“ฮึ่ม! นี่คือการชุมนุมธารทองและทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะท้าประลองกับเฉินซี แล้วข้าจะขัดขวางเจ้าทำไม แน่นอนว่าตัวข้าเองก็รู้สึกชิงชัง ถ้ามีผู้ใดมาแทรกแซงขณะที่ข้าท้าประลองกับเฉินซีเช่นกัน” ซูเฉินกล่าวอย่างเย็นชา
“ดี! ดีมาก! ซูเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ากล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้” นายน้อยโจวหัวเราะเสียงดัง แต่น้ำเสียงของเขากลับเย็นชาสุดขั้ว “เช่นนั้น เหตุใดเราไม่ลองกันสักตั้งล่ะ เจ้ากล้าหรือไม่?”
ซูเฉินตกตะลึงและรู้สึกลังเลเล็กน้อย หากเป็นเวลาปกติ เขาคงตกลงไปนานแล้ว และเขาจะไม่สนใจสักนิดเลยว่านายน้อยโจวจะท้าเขาสู้หรือไม่ แต่ในตอนนี้มันแตกต่างออกไป การเหยียบย่ำเฉินซีบนสังเวียนประลองและทำให้เฉินซีอับอายต่อหน้าทุกคนนั้น อาจถือได้ว่าเป็นปมในใจของเขาและเขาก็ปรารถนาให้มันเป็นจริงโดยเร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้ โอกาสที่เขารอคอยอย่างลำบากก็มาถึง และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเสียโอกาสนี้ไปเพราะเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญ
“อะไร? เจ้าไม่กล้าหรือฮึ?” นายน้อยโจวกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “แต่มันก็ถูกแล้ว คนที่ใช้แต่ปากอย่างเจ้าคงรู้จักแต่การใช้เล่ห์กลที่น่ารังเกียจและไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เลยสักนิด”
“เจ้า…” ดวงตาของซูเฉินหรี่ลง ไม่ว่าจะมีจิตใจมั่นคงสักเท่าใด แต่หากคนผู้นั้นถูกปรามาสเช่นนี้ย่อมสั่นคลอนอย่างแน่นอน รวมถึงการที่เขาไม่เคยรู้สึกเกรงกลัวต่อนายน้อยโจว ทันใดนั้นในใจของเขาก็ลุกโชนไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะฟาดฟันนายน้อยโจวผู้นี้
“อะไร? ข้าถามเจ้าว่ากล้าหรือเปล่า” นายน้อยโจวยังคงเย้ยหยัน
“ต่อสู้!”
“ต่อสู้!”
“ต่อสู้!”
เมื่อเห็นนายน้อยโจวและซูเฉินกำลังเผชิญหน้ากัน ทันใดนั้น ผู้คนในบริเวณพื้นที่รับชมต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และตะโกนออกมาพร้อมเพรียงกัน
ผู้คนนับหมื่นโห่ร้องอย่างพร้อมเพรียงกันดั่งเสียงของฟ้าร้อง ซึ่งมีกลิ่นอายที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ราวกับกองทัพทั้งสองที่ต่อสู้กันท่ามกลางม้าและกองทหารนับพัน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะไร้อารมณ์เพียงใด เลือดของคนผู้นั้นอาจถูกกระตุ้นให้เดือดพล่านและจิตวิญญาณต่อสู้ของเขาจะพวยพุ่งอย่างแน่นอน
ด้วยการบ่มเพาะของซูเฉิน จิตใจของเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียงนี้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธนายน้อยโจวภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น เขาก็คงไม่มีหน้าที่จะยืนหยัดในโลกแห่งการบ่มเพาะอีกต่อไป
ซูเฉินชำเลืองมองไปยังเฉินซีอย่างเย็นชาและกล่าวว่า ‘แล้วข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลัง’ จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองนายน้อยโจวแล้วกล่าวว่า “ตกลง! เจ้าเข้ามาเลย! ข้าอยากสัมผัสสุดยอดเคล็ดวิชาของตระกูลโจวแห่งนครหลวงธารสายไหมมานานแล้ว ในเมื่อวันนี้ข้ามีโอกาส ข้าจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปไม่ได้!”
เฉินซีจะหวาดกลัวกับการจ้องมองเช่นนี้ได้อย่างไร? อันที่จริง เขาเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนายน้อยโจวเข้ามาแทรกแซง ตอนนี้เขาคงกำลังเหยียบย่ำซูเฉินไปแล้วใช่ไหม?
แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์ตรงหน้ากลับไม่ดำเนินไปตามความปรารถนาของเฉินซี และเขาก็ทำได้เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในใจ
ในขณะนี้ การต่อสู้ระหว่างซูเฉินและนายน้อยโจวที่กำลังจะเริ่มขึ้นได้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของการชุมนุมธารทองแล้ว ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจและจดจ้องด้วยตาที่เบิกกว้าง เพราะพวกเขากลัวที่จะพลาดรายละเอียดการต่อสู้ไปอย่างยิ่ง
“ซูเฉิน! กลับไปที่ตำหนักจ้าวขุนศึกกับข้า!” ทว่าทันทีที่การต่อสู้กำลังเริ่มขึ้น เสียงกึกก้องราวกับฟ้าร้องได้ดังออกมาจากเส้นขอบฟ้า มันไม่แยแสและสงบนิ่ง แต่เผยให้เห็นกลิ่นอายครอบงำซึ่งทำให้ใจของผู้คนสั่นสะท้าน ไม่ว่าพวกเขาจะมีการบ่มเพาะแบบใดก็ตาม ผู้คนที่อยู่ที่นั่นล้วนรู้สึกหวาดกลัวและใจสั่นเมื่อได้ยินเสียงนี้
เสียงดั่งฟ้าร้องที่สามารถหยุดโลกได้!
ทุกคนเงยหน้าขึ้นและเห็นร่างสูงกำยำยืนอยู่บนขอบฟ้าที่ห่างไกลออกไป ในขณะที่ทั้งร่างกายของเขาอาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับ ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนดวงอาทิตย์พร่างพราว แม้ว่าเขาจะหันหลังให้กับทุกคน แต่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็พรั่งพรูออกมาจากเขา ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนขณะที่เขามองลงไปยังโลก นอกจากนี้ เขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับอยู่ในทะเลเลือดและภูเขาซากศพ ความรู้สึกที่สิ้นหวังและความสยดสยองไม่มีที่สิ้นสุดได้ผุดขึ้นอยู่ในใจของผู้ที่มองเขาจากระยะไกล
จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่!
ทันใดนั้น นามนี้ก็ผุดขึ้นในความคิดของทุกคน และมีเพียงขุนศึกที่เก่งกาจกล้าหาญ เชี่ยวชาญในการทำสงครามและมีอำนาจสูงสุดในโลกเท่านั้น จึงจะมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้
‘เจตนาฆ่าหนาแน่นอะไรเช่นนี้ ต้องผ่านการต่อสู้นองเลือดมาสักกี่ครั้ง จึงจะสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้?’ เฉินซีรู้สึกหายใจไม่ออกเช่นกันเมื่อเขาเห็นร่างกำยำ และเขาก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
“นายท่าน!” ซูเฉินตกตะลึง จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองเฉินซีอย่างลึกซึ้งก่อนจะออกจากสังเวียนต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว และทะยานเข้าหาร่างกำยำนั้น เนื่องจากคำพูดของจ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่เป็นคำสั่งสูงสุดที่เขาไม่กล้าฝ่าฝืน
“บัดซบ! เขาจากไปก่อนที่เราจะต่อสู้…” แม้ว่านายน้อยโจวจะเกรงต่อร่างกำยำนั้นมาก แต่เขาก็เป็นคนหยิ่งยโสและไม่ยอมใคร ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำอย่างแผ่วเบา
“เจ้าเด็กน้อยซุกซน เจ้ายังไร้มารยาทเช่นนี้” ในขณะนั้นเองก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นดูมีอายุ อบอุ่น และทำให้ใคร ๆ รู้สึกราวกับว่ากำลังอาบสายลมของฤดูใบไม้ผลิ ทันใดนั้น จิตสังหารอันน่าสยดสยองที่ปกคลุมทั้งสวรรค์และปฐพีก็ถูกกวาดล้างออกไป ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากนั้นความตกตะลึงก็เกิดขึ้นในใจของทุกคน ‘เป็นผู้ใดกันที่สามารถขจัดกลิ่นอายที่จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่แผ่ออกมาได้?’
“เหตุใดผู้เฒ่าคนนี้ถึงไม่เก็บตัวอยู่ที่บ้าน แต่กลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!?” นายน้อยโจวเป็นดั่งหนูที่เห็นแมว และเขาก็ร้องออกมาด้วยความกลัวก่อนที่จะหลบหนีไปให้ไกล ด้วยความเร็วที่ทำให้เขาทะยานห่างออกไปถึงสองลี้ในชั่วพริบตาเดียว
อย่างไรก็ตาม ฉากที่ทำให้หนังศีรษะของผู้คนต้องชาหนึบก็ปรากฏขึ้น เมื่อมีมือที่ปกคลุมไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นยื่นออกมาจากท้องฟ้าโดยไม่คาดคิดและคว้าจับตัวนายน้อยโจวทันที!