บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 328 กวาดล้างคนชั่ว!
บทที่ 328 กวาดล้างคนชั่ว!
การตายของชายตาเดียวทำให้ทุกคนโดยรอบตกตะลึง
แม้แต่ดวงตาของเจ้าของโรงเตี๊ยมและเฉียวเซิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะบัญชีก็ยังเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นเช่นนี้
ชายหนุ่มที่มาใหม่ผู้นี้ดุร้ายเกินไปหรือไม่?
เมืองอีกาคลั่งเป็นสถานที่เนรเทศพวกนักโทษของราชวงศ์ซ่ง พวกเขาล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และใครก็ตามที่เอาชีวิตรอดที่นี่ได้ต่างก็เป็นผู้ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนเข้าเมืองอีกาคลั่งมาแทบทุกวัน แต่พวกหน้าใหม่เหล่านี้ไม่นานก็ถูกหน้าเก่าทั้งหลายจัดการ เรียกได้ว่ากลายเป็นว่าง่าย ส่วนใครที่กล้าขัดขืนก็มีอยู่ทางเดียวนั่นคือความตาย สถานการณ์ที่ผู้มาใหม่สามารถทำลายล้างพวกหน้าเก่าได้นั้นไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไร
แต่เฉินซีก็ทำสำเร็จ เขาใช้กระบี่เพียงเล่มเดียวก็สังหารพวกเจ้าถิ่นที่มือเปื้อนเลือดและมีประสบการณ์มากมาย ก่อนที่พวกเขาจะทันโต้ตอบได้เสียอีก!
แต่ฉากต่อไปกลับน่าตกใจยิ่งกว่า
หลังจากที่ฆ่าชายตาเดียวได้ เฉินซีก็ไม่คิดยับยั้งและลงมือสังหารอีกครั้ง ยันต์ศัสตราของเขาฉีกทะลุฟ้าราวกับหมอกควัน แทงออกมาด้วยกระบี่สวินแห่งวายุที่รวดเร็วอย่างไร้ที่ติ ตรงไปยังหุ่นไล่กาจาง!
ตั้งแต่พริบตาที่เห็นหุ่นไล่กาจางกำลังตอกศพเปลือยเปล่าของสตรีไว้บนเสาไม้จำนวนมากขณะที่ลมหนาวพัดผ่าน เฉินซีก็เกิดความคิดที่อยากจะสังหารคนผู้นี้แล้ว
ใช่แล้ว พวกนางคือเหล่าคนบาปที่หนีมายังเมืองอีกาคลั่ง แต่เพราะเหตุใดจึงต้องมาตายในเงื้อมือของหุ่นไล่กาจางที่ชั่วร้ายพอกันด้วยเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น ศพของพวกนางยังถูกเปลือย และถูกทรมานหลากหลายรูปแบบแม้จะตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
การตายของชายตาเดียวทำให้หุ่นไล่กาจางระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา เขารู้สึกราวกับเป็นเพราะตนไม่ยอมลงมือให้ทันเวลา ชายตาเดียวจึงต้องตาย ดังนั้นเขาจึงโกรธนักและหมายจะทรมานและสังหารเฉินซีทิ้งเสีย ทว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซีจะซัดกระบี่ใส่ตนเองจริง ๆ ทำให้เปลวไฟแห่งความโกรธแค้นในใจของหุ่นไล่กาจางพลันระเบิดออกมา!
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! เจ้าคงไม่รู้ว่าวิธีการของปู่เจ้าว่ามันโหดร้ายแค่ไหนใช่ไหมเล่า?” ปฏิกิริยาตอบกลับของหุ่นไล่กาจางที่โกรธเกรี้ยวนั้นรวดเร็วมาก เขาเป็นหนึ่งในห้ามหาวายร้ายแห่งเมืองอีกาคลั่ง จึงนับว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ ณ จุดสูงสุด
ดังนั้นเมื่อกระบี่ของเฉินซีเสือกเข้ามา เขาก็หลบไปด้านข้าง จากนั้นดาบโค้งที่เปล่งไอเย็นเฉียบก็ปรากฏพร้อมกับแขนที่เงื้อขึ้น โดยหมายจะฟันมันใส่ลำคอของเฉินซี
แม้ว่าปฏิกิริยาของเขาจะรวดเร็วแค่ไหน แต่ร่างกายของเฉินซีก็รวดเร็วกว่า ยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มเปลี่ยนจากกระบี่สวินแห่งวายุเป็นกระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า ทำให้เกิดสายฟ้าฟาดผ่านท้องนภา ลำแสงฉีกผ่านทะยานขึ้นฟ้าไป ยันต์ศัสตราทำลายดาบโค้งที่พุ่งเข้าหา จากนั้นมันก็เสือกเข้าไปกรีดท้องหุ่นไล่กาจางทันที!
พริบตาเดียว หุ่นไล่กาจางผู้เป็นหนึ่งในห้ามหาวายร้ายก็หงายหลังล้มลงพื้น สิ้นใจไปทันใด
พื้นที่ภายในโรงเตี๊ยมมีขนาดเล็กและแคบมาก การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นในพื้นที่เล็ก ๆ เพียงเท่านั้น ราวกับมันมีแรงสะเทือนถึงสวรรค์และโลก ทว่าทุกย่างก้าวนั้นตรงไปตรงมา โหดเหี้ยม และรุนแรง ซึ่งนับว่าอันตรายและดุร้ายจนถึงขีดสุด หากมีฝ่ายใดลังเลก็อาจถูกศัตรูโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสได้
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซีดูเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเพียงนิด เพราะยันต์ศัสตราในมือของเขาสามารถยับยั้งดาบโค้งของหุ่นไล่กาจางได้ และทำลายมันทิ้งด้วยแรงกดดันก่อนจะสังหารหุ่นไล่กาจางลง
หากมันเป็นอาวุธที่พอจะเทียบกับยันต์ศัสตรานี้ได้ หุ่นไล่กาจางก็คงไม่สิ้นใจรวดเร็วเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่ใต้หล้านี้ไร้คำว่า ‘หาก’
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือทักษะการเคลื่อนไหวและสมบัติวิเศษของเฉินซีที่แซงหน้าหุ่นไล่กาจางไปมาก ดังนั้นไม่นานหุ่นไล่กาจางจึงถูกสังหาร
เฮือก!
ทุกคนสูดลมหายใจขณะเฝ้ามองหนึ่งในห้ามหาวายร้าย หุ่นไล่กาจางตายไปด้วยเพลงกระบี่เพียงกระบวนท่าเดียว ราวกับโลกจะถล่มลงมา มันรู้สึกเหลือเชื่อเหลือเกิน!
ร่างของวายร้ายบางคนที่อยากพุ่งเข้ามาพลันแข็งค้างเมื่อเห็นเช่นนี้ และไม่กล้าย่างกรายอีกแม้แต่ก้าว เพราะถูกการโจมตีนั่นทำเอาขวัญผวาไปเสียแล้ว ‘คนผู้นี้มาจากที่ใด ทำไมถึงดูชั่วร้ายกว่าพวกเราอีกเล่า?’
ตู้ม!
ทันใดนั้น ประตูโรงเตี๊ยมก็ระเบิดกระจุย หลีกะโหลกผีเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงคิดหนี แต่เฉินซีจะปล่อยให้อาชญากรที่ใช้กะโหลกศีรษะมนุษย์ร้อยเป็นสร้อยคอไปได้อย่างไร?
ร่างของเขาพลันวูบไหว พริบตาก็ติดตามหลีกะโหลกผีไป พุ่งออกจากโรงเตี๊ยมไปแล้ว
ทุกคนในโรงเตี๊ยมถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเฉินซีจากไป ราวกับว่าหากเฉินซียังอยู่ก็พานจะหายใจไม่ได้
“ดาบโค้งจันทราของหุ่นไล่กาจางเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอด มันจะถูกทำลายง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ? หรือกระบี่ของชายคนนั้นมีคุณภาพสูงกว่าดาบโค้งจันทรา?” ใครคนหนึ่งมองไปที่ซากชิ้นส่วนดาบโค้งด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนสงสัยพลางพึมพำออกมา
“ไม่ว่าสมบัติวิเศษจะดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคนใช้อยู่ดี หากวิชากระบี่ของชายคนนั้นไม่น่าเกรงขาม แล้วจะสามารถฆ่าหุ่นไล่กาจางด้วยหนึ่งกระบวนท่าครึ่งได้อย่างไร? วิชากระบี่นั่น… แค่คิดก็ผวาแล้ว!” มีคนพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้าทุกคนยังมีเวลาว่างมาใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้อีกหรือ? หนีเร็วเข้า! หลังจากเจ้านั่นสังหารหลีกะโหลกผีได้ เขาต้องกลับมาคิดบัญชีพวกเราแน่ เพราะอย่างไรพวกเราต่างก็มีจิตคิดร้ายต่อเขา หากไม่หนีตอนนี้แล้วจะหนีตอนไหน?” คนหนึ่งพูดขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความกังวล
เมื่อมีคนบอกให้หนีเอาชีวิตรอด ทุกคนจึงได้สติกลับมาในพลัน ใช่ ชายคนนั้นดูโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี หากไม่หนีคงได้ถูกฆ่าแน่…
“อ๊าก!” ทว่าเมื่อทุกคนตั้งใจจะหนี เสียงร้องโหยหวนอันเย็นยะเยือกก็ดังออกมาจากด้านนอกโรงเตี๊ยม พริบตาเดียวกันกับที่เสียงร้องดังขึ้น ร่างเฉินซีก็กลับมาในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
เขาถือศีรษะชุ่มเลือดไว้ในมือ ที่น่าตกใจก็คือ มันคือหลีกะโหลกผีนั่นเอง!
แต่ก่อน หลีกะโหลกผีเสพติดการนำศีรษะมนุษย์มาทำสร้อยคอ ทว่าตอนนี้กลับถูกเฉินซีบั่นศีรษะเสียอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้ใจของทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องหนี แค่มองตาเฉินซียังไม่กล้าเลย
โพละ!
เฉินซีโยนมันลงไปที่พื้น กะโหลกศีรษะของหลีกะโหลกผีพลันระเบิดออก เลือดและเศษกระดูกกระจัดกระจายก่อนจะร่วงลงพื้นไป เฉินซีลากสายตาไปทางชื่อหลัวหลานและอู๋ฝูจื่อ แล้วก็อดส่ายหน้าไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของอีกฝ่าย “หุ่นไล่กาจางตายแล้ว หลีกะโหลกผีที่อยากจะเอากะโหลกของข้าไปทำเป็นไข่มุกกระดูกก็ตายไปแล้วเช่นกัน แล้วพวกเจ้าสองคนเล่า? ยังอยากเอาข้าไปทำปุ๋ยหรือยัดข้าลงหลุมให้ข้าร้องเสียงโหยหวนอีกหรือไม่?”
“เราไม่กล้า เราไม่กล้า” พวกเขาสองคนส่ายหัวไปมา แม้พวกเขาจะเป็นอาชญากรที่มือเปื้อนเลือด แต่เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามชีวิตตนเองก็ยังหวาดกลัวและอ่อนแออยู่ดี
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าทั้งคู่จบชีวิตตัวเอง” เฉินซีพูดเสียงราบเรียบ เขาไม่ใช่คนใจอ่อน ในเมื่อพวกชั่วช้าสามานย์เหล่านี้กล้าล่วงเกินเขา ชายหนุ่มก็จำต้องกำจัดปัญหาที่อาจเกิดให้สิ้น
“ได้โปรด… ข้าขอร้องท่านผู้อาวุโส โปรดปล่อยหญิงสาวคนนี้ไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ!” ชื่อหลัวหลานวิงวอนด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก สีหน้านางดูโศกเศร้าจนน่าเวทนานัก
“ความชั่วที่ข้าน้อยผู้ต้อยต่ำได้กระทำสมควรต้องตายเป็นพันครั้ง ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ผู้อาวุโส ได้โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถอะ” อู๋ฝูจื่อไม่หลงเหลือวิสัยเช่นบัณฑิตอีก น้ำตาไหลนองหน้า เผยความสำนึกผิดขีดสุดออกมา
ทว่าเฉินซีกลับนิ่งเงียบไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าไม่อาจเปลี่ยนใจเฉินซีได้ ชื่อหลัวหลานและอู๋ฝูจื่อก็เหลือบมองกัน ดวงตาฉายแววแค้นและเกลียดชัง จากนั้นพลันลงมือโจมตีอย่างโจ่งแจ้งออกมาพร้อม ๆ กันทันใด!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
มือขาวของชื่อหลัวหลานสะบัดออกมา มีดบินสีเลือดนับไม่ถ้วนที่สะท้อนแววเย็นยะเยือกก็กรีดผ่านฟ้า ซัดเข้าใส่เฉินซี มีดบินเหล่านี้มีรูปร่างแปลกประหลาดเหมือนกลีบดอกไม้ มันเคลื่อนที่ไขว้กันกลางอากาศ เกิดเป็นลายบุปผาสีเลือดดูงดงามตาที่ภายในมีเต๋ารู้แจ้งบรรจุอยู่ …แท้จริงแล้วคือวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่น่าสะพรึงกลัวนั่นเอง!
ในเวลาเดียวกันนั้น อู๋ฝูจื่อก็โจมตีเช่นกัน พัดลมหยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนที่มันจะกางออก เสียงร้องแหลมอันไร้ที่สิ้นสุดราวกับเสียงภูตผีคร่ำครวญดังออกมาพร้อมกัน คลื่นเสียงเหล่านั้นกลั่นแน่นไม่กระจายหายไป คลื่นเสียงไร้รูปเป็นดั่งระลอกคลื่นที่ขยายออกบนพื้นน้ำในทะเลสาบ ทำลายอากาศแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาเฉินซี
น่าตกใจนักที่คลื่นเสียงนี้มีเต๋ารู้แจ้งแห่งลำนำอยู่!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าหวั่นเกรงซึ่งมาพร้อมกันเช่นนี้ เฉินซีกลับทำเพียงวาดกระบี่ออกไปคราหนึ่ง ปราณกระบี่ที่มีกระบี่ข่านแห่งวารีเจืออยู่ก็ซัดออกมา
ครืน!
ปราณกระบี่ดั่งกระแสน้ำกระทบฝั่ง ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตก็แตกออก ก่อนจะกลืนการโจมตีทั้งหลายเข้าไป ชื่อหลัวหลานกับอู๋ฝูจื่อที่ไม่ทันตั้งตัวได้ถูกปราณกระบี่ทำร้ายเช่นกัน ร่ายกายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน หยาดเลือดรินไหล มองไกล ๆ ราวกับคนสองคนที่ร่างโชกเลือด
ตู้ม! ตู้ม!
ชื่อหลัวหลานและอู๋ฝูจื่อไม่มีเวลาเปล่งเสียงร้องเต็มที่ก่อนสิ้นใจด้วยซ้ำ ทั้งสองพลันล้มลงตายไปพร้อมกัน
ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าจะละเอียดอ่อนไปกว่าวารี ไม่มีสิ่งใดที่ไร้แรงโจมตีอันแข็งแกร่งจะสามารถเอาชนะมันได้ นี่คือมหาเต๋าแห่งวารีของกระบี่ข่านแห่งวารี การโจมตีอันแข็งแกร่งจะใช้ต้านมันได้ยากนัก ทำให้ไม่อาจสกัดกั้นมันได้เลย
เพียงชั่วครู่เดียว นอกจากฉีอิ๋นที่พเนจรอยู่ในป่าทมิฬแล้ว สี่ในห้ามหาวายร้ายแห่งเมืองอีกาคลั่งก็สิ้นใจภายใต้คมกระบี่ของเฉินซีไปแล้ว
จิตใจของทุกคนในโรงเตี๊ยมนิ่งสนิทดั่งเถ้าธุลี สายตาที่มองเฉินซีเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พวกเขารู้ว่าแม้ทั้งหมดจะร่วมมือกันก็ไม่อาจเทียบชั้นกับคนผู้นี้ได้
น่ากลัวจริง ๆ!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
แม้แต่สี่ในห้ามหาวายร้ายซึ่งมีฝีมือฉกาจที่สุดแห่งเมืองอีกาคลั่งก็ยังถูกกระบวนท่าเดียวของเขาปลิดชีพได้ แม้พลังบ่มเพาะจะอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น แต่พละกำลังกลับน่าเกรงขามจนถึงขั้นที่ทำให้ทุกคนในที่นี้สั่นผวา
ตอนนี้เหล่าวายร้ายทั้งหลายก็คล้ายเป็นฝูงลูกแกะที่ไร้ทางสู้ ในใจคิดเพียงยอมรับชะตากรรม ไม่คิดดิ้นรนต่อสู้เอาชีวิตรอดสักนิด
บรรยากาศในโรงเตี๊ยมดูเงียบสนิท และหนักหน่วงคล้ายอากาศถูกใส่ลูกถ่วง
“น้องชาย วันนี้เจ้าฆ่าคนไปมากพอแล้ว ปล่อยพวกมันไปดีไหมเล่า?” ท่ามกลางบรรยากาศที่บีบคั้นจนหายใจไม่ออก เจ้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่หลังโต๊ะพลันพูดออกมาช้า ๆ
“เอาล่ะ! ย่อมได้” เฉินซีพูดเสียงดัง ดูเหมือนจะเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลแม้สักนิด
ทุกคนล้วนตกตะลึงเพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ง่าย ๆ อึดใจหนึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกไปเป็นคนแรก
“เขาปล่อยพวกเจ้าไปแล้วก็ไปเสียสิ! จะมายืนหาอะไรที่นี่เล่า?” เฉียวเซิงเอ็ดขึ้นจากด้านข้าง
ทุกคนราวกับเพิ่งตื่นจากฝันยามได้ยิน จากนั้นจึงรีบหนีออกไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ราวกับโรงเตี๊ยมกลายเป็นรังปีศาจ หากอยู่ต่ออีกแม้สักนิดก็อาจเสี่ยงชีวิตได้
พริบตาเดียวก็เหลือเพียงเฉินซี เจ้าของโรงเตี๊ยม และเฉียวเซิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง
“ข้ายอมตกลงทำตามคำขอของท่านแล้ว ดังนั้นหวังว่าท่านจะสามารถตอบคำถามข้ามาตามจริงได้” เฉินซีหยิบแผนที่ป่าทมิฬที่เพิ่งซื้อออกมา และจ้องไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยมพลางพูดว่า “แผนที่นี้เป็นของแท้หรือไม่?”
ร่องรอยความตื่นตระหนกที่มองแทบไม่เห็นวูบผ่านนัยน์ตาเจ้าของโรงเตี๊ยม ก่อนจะกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะเอ่ยคำแต่ก็ถูกเฉินซีหยุดไว้
“ข้าจะพูดซ้ำอีกครั้ง ข้าหวังว่าจะได้คำตอบที่แท้จริง ไม่เช่นนั้น…” เฉินซีมองไปรอบกายและพูดเสียงเรียบ “ข้าเกรงว่าท่านจะต้องถูกฝังไปพร้อม ๆ กับโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นแน่”
เจ้าของโรงเตี๊ยมร่างชุ่มเหงื่อโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มแข็งค้างดูบีบเค้น เขาดูลังเลไม่กล้าพูดเหมือนกับรู้สึกว่าหากพูดคำเหล่านั้นออกไป สุดท้ายก็ต้องพบกับจุดจบ
“ลูกค้า ท่าน…” เฉียวเซิงจึงอดพูดขึ้นจากด้านข้างไม่ได้
เฉินซีขัดจังหวะอีกฝ่ายด้วยการเอ่ยอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าคำสั่งของตำหนักตะวันดำจะสำคัญกว่าชีวิตเจ้าเองมากเลยอย่างนั้นหรือ?”
ตำหนักตะวันดำ!
นัยน์ตาเจ้าของโรงเตี๊ยมและเฉียวเซิงหดตัวลงเมื่อได้ยินคำนั้น ทั่วร่างราวกับเสียพละกำลังและจิตวิญญาณ ก่อนที่พวกเขาจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง