บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 340 ภูตผีแห่งพงไพร
บทที่ 340 ภูตผีแห่งพงไพร
เปลวไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือป่าทมิฬ ขณะที่พลังน่าสะพรึงไหลเวียนอย่างโกลาหล มันคำรามเสียง และพุ่งออกไป ทำเอาบรรยากาศโดยรอบแตกเป็นเสี่ยง ๆ เกิดความวุ่นวาย พละกำลังน่ากลัวนัก
ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงเพียงชิ้นเดียวเทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงได้เลยทีเดียว
แต่มันไม่ใช่ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงเพียงชิ้นเดียว แต่เป็นเจ็ดชิ้นต่างหาก! ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงทั้งเจ็ดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเฉินซี มันคือยันต์ทะเลบุปผาเพลิง ยันต์วิมานวารีจันทร์ ยันต์พลังชีวิตพฤกษาคราม ยันต์ทหารสวรรค์เกราะทอง ยันต์นภาปฐพีสะเทือนสวรรค์ ยันต์อัสนีเงิน และยันต์เจ็ดดาราแห่งดาวไถตามลำดับ
ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงห้าแผ่นแรกมีมหาเต๋าแห่งไฟ น้ำ ไม้ โลหะ และดินอยู่ตามลำดับ ทุกแผ่นล้วนเป็นยันต์เลิศล้ำเพื่อใช้โจมตีและฆ่าสังหาร
แต่ยันต์อัสนีเงินเป็นยันต์เลิศล้ำที่เสริมพลังการโจมตี เมื่อรวมกับยันต์เลิศล้ำทั้งห้าธาตุแล้ว ก็จะสามารถปล่อยการโจมตีสายฟ้าห้าธาตุที่มีพลังอันน่าผวาออกมาได้
ส่วนชิ้นสุดท้ายก็คือยันต์เลิศล้ำเจ็ดดาราแห่งดาวไถ มันสามารถปลดปล่อยค่ายกลกับดัก ซึ่งจะสร้างกรงขึ้นมาโดยมีเจ็ดดาราปิดล้อมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ เพื่อไม่ให้ศัตรูหลบหนีไปได้
เมื่อใช้ยันต์เจ็ดประเภทนี้พร้อมกัน พวกมันก็ทำได้ทั้งโจมตีและกักขังศัตรูไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่มันสร้างจึงเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงเจ็ดคนเสียอีก และยังเปรียบได้กับพลังทำลายล้างของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทีเดียว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นนานกว่าเกือบหนึ่งเค่อก่อนจะเงียบไป
ต้นไม้โบราณที่เขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ภายในพื้นที่สิบลี้พลันกลายเป็นเถ้าถ่านลอยขึ้นฟ้า พื้นดินเกิดหลุมจำนวนมากที่ยังคงปล่อยควันออกมา สภาพน่าอนาถนัก
“พวกเจ้าไปไหนกัน? หายไปไหนกันหมดวะเนี่ย?” พรางเวหากวาดสายตาไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นเงาลูกน้องแม้แต่คนเดียว จึงอดรู้สึกตื่นตระหนกในใจไม่ได้ ก่อนจะร้องคำรามออกมา
เสียงตะโกนแหบแห้งของเขาดังก้องฟ้าดิน ทว่ากลับไร้เสียงใดตอบกลับทำเอาพรางเวหาใจหล่นวูบ
‘ลูกน้องทั้งหมดของข้าทั้งหมดห้าสิบคน… ตายกันหมดแล้วจริงหรือ!?’
เขาไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นความจริง!
เหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ไม่คาดคิดนี้ทำเอาเขาแทบคลั่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้ปฏิบัติภารกิจมานับไม่ถ้วน ทว่านี่เป็นครั้งเดียวที่ทำให้รู้สึกหดหู่เช่นตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นภารกิจเดียวที่ทำให้ตนต้องเสียผู้ใต้บังคับบัญชามากความสามารถไปมากที่สุดถึงห้าสิบคนภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
สิ่งที่ทำให้เขาเศร้าโศกและขุ่นเคืองใจมากที่สุดคือจนถึงตอนนี้ …เขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของศัตรูเลย!
ร้ายกาจจริง!
ไม่สิ!
เจ้านี่ร้ายกาจและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าปีศาจนับร้อยเท่า!
พรางเวหาโกรธจนกัดฟันแทบป่น เขาอยากจะสู้กับเฉินซีให้สาแก่ใจไปเสียเลย ถึงจะต้องตาย แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะต้องถูกกักขังไว้ในกับดักที่ถูกวางไว้อย่างชั่วร้ายมานานแล้วพวกนั้นหรอก
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกก่อนตายของจิ้งจอกแดงและกุหลาบแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความชำนาญในศาสตร์การวางแผนและกับดักเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีกองกำลังกี่คนหรือมีพละกำลังน่าเกรงขามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ ศัตรูของก็ไม่คิดจะต่อสู้กับพวกเขาอยู่แล้ว!
พรางเวหาไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาคู่หนึ่งใต้ร่มภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงกำลังจ้องมองเขาเขม็ง
คนผู้นั้นย่อมเป็นเฉินซี ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่เห็นว่าพรางเวหารอดชีวิตมาได้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออีก เขาทำตามแผนมาจนถึงจุดนี้ได้นับว่ากำชัยไว้โดยสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าพรางเวหาจะยังมีชีวิตอยู่แต่ก็อยู่ห่างจากความตายไม่มากแล้ว
ทว่าเมื่อเตรียมจะใช้ท่าสังหารพรางเวหา บนฟ้าไกลกลับเกิดพลังงานปั่นป่วนขึ้น ราวกับบางอย่างกำลังทะลวงผ่านเข้ามา
‘ไร้ร่องรอยนับหมื่นลี้? ไม่ นี่ต้องเป็นยันต์เคลื่อนเอกภพที่น่าเกรงขามกว่าเก่าแน่… ดูเหมือนว่าตำหนักตะวันดำจะเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงส่งกำลังเสริมมาเพิ่ม’ เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในใจ เฉินซีจึงหายตัวไปในพลัน
หลังจากเฉินซีเพิ่งจากไปไม่นาน แสงไฟก็ส่องสว่างจ้าไปทั่วท้องฟ้า ก่อนที่คนกว่ายี่สิบคนจะเดินออกมาจากแสงจ้านั้น
ทุกคนล้วนมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม สายตาน่าหวาดกลัว การบ่มเพาะก็สูงล้ำจนแข็งแกร่งกว่าพรางเวหาเสียอีก!
ผู้นำกลุ่มคนคือเจียงซวินที่มีรูปลักษณ์สามัญ แต่ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าคนทั้งยี่สิบสองคนเบื้องหลังนั่นล้วนเป็นมือสังหารระดับผู้บัญชาการที่รั้งอยู่ห้าสิบอันดับแรกในการจัดอันดับแกนทองคำแห่งตะวันดำ
“ข้าน้อยพรางเวหา แสดงความเคารพผู้บัญชาการเจียงซวิน!” พรางเวหาหลุดจากภวังค์ทันใดเมื่อเห็นภาพนี้ จากนั้นจึงรีบโค้งตัวคำนับอีกฝ่าย
เจียงซวินมองสภาพพื้นที่โดยรอบที่ถูกทำลายล้าง ก่อนจะมองพรางเวหาที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้ พลันเข้าใจเรื่องราวทันที เขาโบกมือและพูดตรง ๆ ว่า “บอกรายละเอียดของเป้าหมายทุกอย่างให้เราฟังเถอะ ครั้งนี้ข้าได้นำมือสังหารระดับผู้บัญชาการขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งแผ่นดินซ่งมาแล้ว หากเราไม่อาจฆ่าเป้าหมายได้ ภารกิจครั้งนี้ก็คงนับว่าล้มเหลว ในฐานะนักฆ่าของตำหนักตะวันดำ ข้าว่าเจ้าคงรู้ดีว่าเราจะต้องพบสิ่งใดหากภารกิจล้มเหลวกระมัง?”
หัวใจของพรางเวหาสั่นไหว แล้วจึงรีบเล่าทุกสิ่งที่ได้พบออกมาทันใด
กลุ่มมือสังหารระดับผู้บัญชาการที่อยู่เบื้องหลังเจียงซวินอดหัวเราะเยาะเย้ยออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าพรางเวหาดูน่าสมเพชถึงเพียงนี้
แต่เมื่อได้ยินคำอธิบาย สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหนักหน่วงจริงจังขึ้นมา
เป้าหมายผู้นี้น่าปวดหัวนัก!
เมื่อพรางเวหาพูดจบ ทุกการดูหมิ่นและเหยียดหยามในใจทุกคนก็หายไป จากนั้นพวกเขาก็เริ่มตรวจสอบเป้าหมายอย่างระมัดระวัง
“กลยุทธ์ไม่ธรรมดา มีทักษะในการวางกับดัก… ในป่าทมิฬที่สามารถซ่อนตัวได้ทุกที่ การจัดการกับเป้าหมายแบบนี้มันน่าปวดหัวจริง ๆ” เจียงซวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยคิ้วขมวด จากนั้นเขาก็โบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร เราทำได้แค่ทำตามสถานการณ์เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องจัดการเป้าหมายก่อนที่เขาจะเข้าสู่นครหลวงธารสายไหม!”
“ขอรับ!” ทุกคนรับคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ดี การมาถึงของเจียงซวินและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้เกิดผลใด กลับกันแล้ว เมื่อพวกเขาเริ่มไล่ตามเฉินซี ทุกคนล้วนเข้าใจอย่างดีว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้น่ากลัวเพียงใด
สิบวันต่อมา
กลุ่มของเจียงซวินเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบภายในป่าเขียวชอุ่ม บรรยากาศภายในกลุ่มดูกดดัน ใบหน้าของนักฆ่าทั้งหลายล้วนหนักหน่วงและคอยระแวดระวังอยู่เล็กน้อย พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าฝีเท้าจะหนักไปจนศัตรูรู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บัญชาการที่รับหน้าที่สอดแนมยังทำท่าราวกับกำลังรับมือกับศัตรูที่น่าเกรงขามมากเสียอีก
“เป้าหมายอยู่ไม่ไกล!” ผู้บัญชาการร่างผอมเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว สัมผัสการดมกลิ่นของเขาเฉียบคมมาก ทั้งยังเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษามาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้เขาสามารถแยกแยะลมปราณเพียงน้อยนิดของศัตรูจากพืชและต้นไม้ออก และในกลุ่มยังมีผู้บัญชาการอีกสองสามคนที่เชี่ยวชาญการติดตามเช่นเดียวกัน
ทว่าศัตรูเองก็มีไหวพริบมาก บางครั้งก็จงใจปล่อยร่องรอยลมปราณไว้ ทำให้จริงเท็จปะปน ส่งผลให้การติดตามกลายเป็นเรื่องยากได้เช่นกัน
ฟึ่บ!
เสียงเล็ก ๆ ที่ฟังดูเหมือนเสียงใบกระบี่คมกริบที่กรีดผ่านฟ้าดังมาจากด้านหลัง
สีหน้าทุกคนพลันขรึมลงทันใด!
ตู้ม!
สมบัติวิเศษป้องกันและศีรษะของผู้บัญชาการคนหนึ่งพลันระเบิดออก ทั้งเลือดและเศษสมบัติวิเศษกระจายขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน คนรอบกายไม่อาจคุมสติไว้ได้ จึงเปล่งเสียงร้องแหลม ก่อนจะกระโดดหลบไปด้านข้างอย่างไม่ทันรู้ตัว
เจียงซวินพลันหน้าเขียวหน้าดำ เปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวลุกโชนขึ้นภายในดวงตา ทว่าก็มีร่องรอยความหวาดกลัวอยู่จาง ๆ เช่นกัน
“ผู้บัญชาการเจียงซวิน นี่ก็คนที่สิบเอ็ดแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราจะตายกันหมดนะขอรับ” พรางเวหาที่อยู่ด้านข้างร้องเสียงหลงออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยว สายตาส่องแววสิ้นหวัง สิบวันที่ผ่านมา การปรากฏตัวของพวกเจียงซวินทำให้เขาที่เจ็บปวดทรมานมามากเริ่มเห็นแสงแห่งความหวัง ทว่ารอยหวังที่ว่าก็ดับลงแล้วเมื่อศัตรูมีวิธีสังหารที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันราวกับภูตผี จากความหวังแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังและหวาดกลัว
เจียงซวินหน้าคว่ำ พลันคว้าคอพรางเวหาไว้และเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “พอหรือ?! เจ้าคิดว่าเรามีทางออกหรือไร!? ถึงเราจะไปเสียเดี๋ยวนี้ แล้วเขาจะปล่อยเราไว้หรือ?”
ความกลัวทั้งหลายในแววตาพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์ ใช่แล้ว หากกลับไปตอนนี้ บทลงโทษที่ต้องได้รับก็คงน่ากลัวกว่าความตายเป็นแน่…
พรางเวหาพลันแขนขาอ่อนยวบ ล้มลงบนพื้น ในใจกลัวเป็นล้นพ้น ขณะเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า “ผู้บัญชาการเจียงซวิน หรือเราจะทำได้เพียงแต่รอความตายมาหาอย่างไร้ทางสู้ไปเช่นนี้ขอรับ?”
ทุกคนมองไปที่เจียงซวินราวกับเป็นคนเดียวที่พวกเขาฝากหวังไว้ได้
เจียงซวินมองใบหน้าพวกเขาแล้วเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า “มีทางเดียวเท่านั้น หากเจ้าไม่อยากตายก็จงหนีไปเสีย!”
“หนีหรือ?” พรางเวหาส่ายหัวไม่หยุด “นักฆ่าที่ทรยศตำหนักตะวันดำอย่างไรก็ต้องตายแน่ การทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับรนหาที่ตาย”
“หากเจ้าไม่หนี แล้วเจ้าสังหารเป้าหมายได้ไหมเล่า?” มุมปากเจียงซวินพลันปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย ขณะเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกขึ้นมา “ไม่ว่าตำหนักตะวันดำจะมีกองกำลังใหญ่โตเพียงไหน แต่ก็ยังมีบางที่ที่ไม่อาจแทรกซึมเข้าไปได้ เช่นวังหลวงของราชวงศ์ซ่ง การที่เราจะปลอดภัยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีทักษะและมีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน”
พรางเวหาตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูคลุมเครือ รวมถึงคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ในใจพลันเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้นมา
เจียงซวินไม่ได้ใจร้อนและรอการตัดสินใจของพวกเขาเงียบ ๆ
จริง ๆ แล้วหากไม่ใช่เพราะเป้าหมายในครั้งนี้น่ากลัวเกินไป เขาย่อมไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่
ในช่วงสิบวันที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมนนัก ศัตรูคนนั้นเหมือนกับวิญญาณหลอกหลอน ไปมาราวกับเงา ทุกครั้งที่เขาได้ยินเสียง ‘ฟึ่บ’ ก็จะมีคนหนึ่งตาย
เจียงซวินถึงกับเข้าใจผิดว่าศัตรูสมกับเป็นมือสังหารมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก เงาร่างนั้นมาอย่างเงียบเชียบ รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ วิธีสังหารก็จบในกระบวนท่าเดียว ส่งผลให้ทุกคนต่างสะท้านถึงทรวง
ไม่ว่ามีสมบัติวิเศษป้องกันใดก็ไม่อาจช่วยให้รู้สึกปลอดภัยได้ เพราะภายในป่าอันมืดมิดแห่งนี้ พวกเขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าคู่ต่อสู้จะปรากฏกายขึ้นตอนไหน หรือใครจะเป็นรายต่อไปที่ถูกโจมตี
จะให้บินหรือ?
ยิ่งทำให้ตายเร็วขึ้นน่ะสิ!
หากอยู่กลางอากาศก็สามารถถูกติดตามได้ ไม่เหลือที่ไว้ให้หลบภัย ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูยังอยู่ในเงามืด หากทำเช่นนั้นจะทำให้ตกเป็นเป้าถูกสังหารเอาได้
ไม่นาน ทุกคนก็ล้วนเห็นด้วยกับแผนของเจียงซวิน …นั่นคือหนีไปเสีย!
หลังจากตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ทุกคนก็อดถอนหายใจไม่ได้ รู้สึกราวกับยกศิลาหนักออกจากอก ทั่วร่างพลันรู้สึกสบายขึ้น หากเป็นไปได้ ตลอดชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่อยากเข้ามาในป่าทมิฬนี่อีก!