บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 387 ความคิดเห็นแตกต่าง
บทที่ 387 ความคิดเห็นแตกต่าง
ร่างแปลงสวรรค์!
อวตารเทพ!
พวกมันปิดกั้นการโจมตีของหกยอดฝีมือรุ่นเยาว์ได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว!
สวรรค์! หรือสหายผู้นี้จะการมีวิชาแปรสภาพร่างกายที่น่าเกรงขามที่สุดกัน?
ทุกคนในจัตุรัสตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขามองไปยังร่างสูงที่อยู่กลางอากาศ ซึ่งกลายร่างเป็นยักษ์สูงสิบแปดจั้งที่มีสามหัวหกแขน กำลังปล่อยปราณจ้าววิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
ที่เฉินซีสังหารหลินโม่เซวียนก่อนหน้านี้ วิชากระบี่ที่เขาเผยออกมานั้นรวดเร็ว ดุร้าย และเต็มไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง ทุกคนรู้ถึงจุดนี้มานานแล้ว แต่เป็นเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบต่างหากที่บ่มเพาะได้ยากเย็น! เดิมทีทุกคนคิดว่าเฉินซีเป็นผู้บ่มเพาะที่อุทิศตนให้กับกระบี่ แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าในชั่วพริบตา เฉินซีจะทิ้งกระบี่และกลายไปเป็นผู้บ่มเพาะกายาที่มีปราณจ้าววิญญาณมหาศาลได้!
แม้กระทั่งระดับการขัดเกลากายาที่เผยออกมานั้นยังเหนือชั้นกว่าพลังบ่มเพาะกระบี่อยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ!
พวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่าเฉินซีไม่เพียงฝึกทั้งกายเนื้อและปราณเท่านั้น เขายังเชี่ยวชาญทั้งสองอย่างด้วย ใครเห็นเป็นได้ละอายใจที่ตนด้อยกว่า!
พลังงานของคนเรามีจำกัด การมีความแข็งแกร่งพิเศษตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง มีเพียงพวกอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และความสามารถในการเข้าใจขั้นสูง และได้รับการสนับสนุนทางด้านทรัพยากรจากกองกำลังยิ่งใหญ่เท่านั้น จึงสามารถทะยานขึ้นฟ้าและเหนือกว่าคนทั่วไปในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้
แต่ในบรรดาอัจฉริยะเหล่านี้ก็มีน้อยคนที่จะฝึกการขัดเกลาร่างกายและปราณไปพร้อมกัน ส่วนเหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะพวกเขามีเวลาและพลังไม่พอนั่นเอง!
แค่มุ่งการบ่มเพาะไปทางเดียวก็ยากจะสำเร็จขั้นสูงแล้ว …ดังนั้นใครจะยอมเสียเวลามานั่งบ่มเพาะทางสองเส้นไปพร้อมกันเล่า? หากเกิดอะไรผิดพลาด ทำให้เสียเวลาและประสบการณ์อันมีค่าจำนวนมากไปล่ะ? อาจจะทำลายทั้งชีวิตเลยก็เป็นได้
แน่นอนว่าทุกอย่างนั้นไร้ความแน่นอน ใต้หล้าอันไร้ขอบเขตยังมีคนจำนวนหนึ่งที่มีพรสวรรค์สูงส่ง และมีทักษะความเข้าใจเหนือกว่าคนอื่น นับเป็นอัจฉริยะระดับสูง!
คนเหล่านี้ดั่งฟ้าโปรดราวกับสวรรค์ตระเตรียมโชคทุกอย่างไว้ให้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นและง่ายดาย ความสูงส่งที่ไม่อาจคว้ามาได้ในสายตาผู้อื่นอาจเป็นเรื่องง่ายของคนเหล่านี้
ตัวอย่างเช่นชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน เจิ้นหลิวชิง และคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นหัวกะทิรุ่นเยาว์ที่นับว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอด ไม่ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อขนาดไหน แต่ทุกคนก็ไม่เห็นว่าแปลกแต่อย่างใด
ตอนนี้ในสายตาของทุกคน เฉินซีได้กลายเป็นเหล่าอัจฉริยะชั้นสูงพวกนั้นไปแล้ว และในใจพวกเขาได้ยกให้ชายหนุ่มเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์เช่นชิงซิ่วอี้และจ้าวชิงเหอไปแล้ว
ครืน!
ที่กลางอากาศ เฉินซีใช้พลังอิทธิฤทธิ์ร่างแปลงสวรรค์และอวตารเทพ เข้าต่อสู้กับกลุ่มหกคนขององค์ชายหวงฝู่อย่างดุเดือด การต่อสู้นั้นรุนแรงจนทำให้พื้นที่ในรัศมีพันลี้กลายเป็นสมรภูมิรบ
ไม่ว่าจะเป็นเฉินซีหรือกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิง คนทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามยิ่ง เมื่อเข้าประมือ ลูกแสงทรงกลมพลันระเบิดออก ท้องฟ้าคำรามกึกก้อง สมบัติวิเศษที่สว่างไสวและน่าสะพรึงกลัวเรืองแสงแห่งเต๋ารู้แจ้งชนิดต่าง ๆ ออกมาทั่วทิศพร้อมเสียงโหยหวน ส่งผลให้ฟ้าดินสะเทือน สะท้านใจทุกผู้คน
ทุกคนในที่นั้นได้ถอดสมบัติวิเศษป้องกันออกไปนานแล้วเพื่อต้านทานพลังที่ระเบิดออกจากการต่อสู้และเมื่อเงยหน้ามองฟ้าก็ไม่อาจเห็นอะไรได้ชัดเจน
นั่นก็เพราะการต่อสู้รุนแรงเกินไป ร่างของทั้งสองฝ่ายที่ประชันกันอยู่มีวงแสงจ้าล้อมรอบไว้ แทบแยกไม่ได้ว่าใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากัน
แน่นอนว่ายังมีคนกลุ่มน้อยที่มีฝีมือน่าเกรงขามยิ่งอยู่ พวกเขาสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น คนกลุ่มเล็กกลุ่มนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้อีกต่างหาก
‘สหายผู้นี้เหมือนข้านัก ความแข็งแกร่งของการขัดเกลากายากับการบ่มเพาะปราณไม่เลวเลย น่าสนใจ วันนั้นในดินแดนทางใต้ข้าคงมองเขาผิดไป…’ จ้าวชิงเหอนั่งหลังตรงอยู่บนบัลลังก์เทพพลางลูบคางตน สายตาที่มองการต่อสู้จากระยะไกลเผยให้เห็นความสนใจออกมาเป็นครั้งแรก
เขาย่อมจำเฉินซีได้ วันนั้นในเมืองหมอกสนแห่งดินแดนทางใต้ เมื่อครั้งที่เทพอสูรโบราณหมายจะทำลายจวนตระกูลเฉิน เป็นอาจารย์ของเขาที่ลงมือในจังหวะสำคัญและสยบเทพอสูรโบราณได้สำเร็จ
ในตอนนั้น จ้าวชิงเหอไม่ได้สนใจเฉินซีมากนัก หรือพูดตรง ๆ ก็คือเขาไม่เห็นเฉินซีเลยด้วยซ้ำ เพราะความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่ง การบ่มเพาะ และถิ่นกำเนิดที่เหมือนฟ้ากับดินนั้นของพวกเขา ทำให้ทั้งคู่เหมือนอยู่กันคนละโลก ไม่อาจมาพบเจอสื่อสารกันได้ เขาเองก็ไม่อาจลดตัวมาแสดงความชื่นชอบให้พวกอ่อนแอได้
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเฉินซีเผยความสามารถในการต่อสู้ชั้นยอดออกมา และประมือกับคนหกคนด้วยตัวคนเดียวในตอนนี้ จนกระทั่งเผยให้เห็นพลังในการขัดเกลาร่างกาย จ้าวชิงเหอจึงรู้สึกถึงคลื่นแห่งความประหลาดใจที่วนเวียนอยู่ภายใน และยอมรับว่าวันนั้นเขามองเฉินซีผิดไป
‘โชคดีที่ความแข็งแกร่งของสหายคนนี้ถือว่าไม่เลว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าไม่รู้จะบอกพี่ย่าชิงอย่างไรเชียว’ หวงฝู่ฉิงอิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางกังวลใจมากเช่นกันเมื่อเห็นว่าก่อนหน้านี้เฉินซีถูกซัดมาหนัก นางตัดสินใจว่าหากเฉินซีตาย นางจะหาโอกาสสังหารคนที่ฆ่าเฉินซีอย่างลับ ๆ เช่นนี้นางจะได้มีคำอธิบายให้ย่าชิงได้
‘อ้อ นางปีศาจนั่นเมื่อครู่ยังเกี้ยวกับเฉินซีต่อหน้าทุกคนอยู่เลย ไม่รู้ว่าคนรักผู้นั้นของเฉินซีกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…’ หวงฝู่ฉิงอิงกะพริบตาแล้วหันไปมองเจิ้นหลิวชิง
ตอนนี้เจิ้นหลิวชิงเบ้ปากสีแดงของนางน้อย ๆ พลางมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นไกล ๆ นั่นอย่างตั้งใจจนตาไม่กะพริบ ใบหน้ากระจ่างและงดงามของนางไม่เปลี่ยนอารมณ์แต่อย่างใด
ไม่มีใคร แม้กระทั่งตัวนางเองสังเกตเห็นเลยว่านางกำมือขาวแน่นจนเล็บจิกลงฝ่ามือ เลือดสีเข้มเริ่มไหลรินออกมา
แม้ว่าจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่ได้เป็นห่วงเฉินซี
ถึงนางจะเงียบและไม่ขยับเขยื้อนกาย แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อได้นั่งบัลลังก์เทพแล้วก็ไม่อาจเคลื่อนกายไปไหนได้อีกจนกว่าการทดสอบจะจบลงเล่า?
‘หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ข้าคงทิ้งทุกอย่างแล้วพุ่งเข้าไปเคียงข้างเขาทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว…’ เจิ้นหลิวชิงถอนหายใจ นางรู้สึกอิจฉาฟ่านอวิ๋นหลานอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกอิจฉาที่อธิบายไม่ได้และซับซ้อนยิ่ง
“ไม่แปลกที่ตาเฒ่าพูดซ้ำแล้วซ้ำก่อนที่ข้าจะออกจากนิกายมาว่าอย่าประมาทคนทั่วหล้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าตาแก่จะพูดไว้ไม่ผิดทีเดียว ความแข็งแกร่งของสหายนามเฉินซีผู้นี้ดูไม่เบาเลยทีเดียว” ในอีกด้านหนึ่ง หลิงอวี๋ผู้อวบอ้วนก็ยิ้มกริ่มและร้องด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ จากนั้นก็หันไปมองด้านข้าง “พี่อวี๋คิดว่าใครจะแพ้หรือ?”
อวี๋เซวียนเฉินผู้มีผมสีม่วงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า? หากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เฉินซีจะต้องชนะอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันหกต่อหนึ่งแล้ว ดังนั้นให้ข้าเดาสุ่มเช่นนั้นคงจะไม่ดี”
หลิงอวี๋เอ่ยว่า “นี่ต่างจากไม่ตอบคำถามกันหรือไม่เนี่ย? งั้นขอถามอีกคำถามก็แล้วกัน หากท่านสู้กับเฉินซี ท่านจะมีโอกาสชนะเท่าไร?”
“ก็พูดยาก” อวี๋เซวียนเฉินยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งในขณะที่เอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ
หลิงอวี๋เอามือกุมหน้าผากตนเหมือนอยากร้องครวญด้วยความเจ็บปวด “พวกท่านทั้งหลายช่างดูเป็นผู้ใหญ่ มีประสบการณ์และไร้สีสันเสียจริง ไม่เห็นมีจิตวิญญาณของคนหนุ่มบ้าง คุยกับพวกท่านแล้วทรมานนัก หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คงไม่จากนิกายมาหรอก”
อวี๋เซวียนเฉินยังคงเงียบ สองตาจ้องการต่อสู้ระยะไกลอยู่ ดูราวกับตกอยู่ในภวังค์
“อา ช่างเหนื่อยเหลือเกิน พวกท่านมันน่าเบื่อ น่าหน่ายเสียจริง…” หลิงอวี๋ได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยและหยุดตั้งคำถามไปอย่างไม่พอใจ
แต่หลิงอวี๋ดูจะเป็นคนประเภทที่มีชีวิตชีวา ไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้ ต่อมาเขาก็เพ่งสายตาไปทางชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉางเทียน ทว่ากลับพบกับสิ่งที่น่าสนใจ
ชิงซิ่วอี้ที่ราวกับไม่สนใจสิ่งใดรอบกาย ใบหน้างดงามไร้ที่ติที่ราวกับมีหมอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่งไม่เผยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์สักนิด ทำให้นางดูเหมือนแม่นางจากสวรรค์ชั้นฟ้าที่ดูห่างไกลจากใต้หล้า ไม่มีใครคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
แต่หวงฝู่ฉางเทียนกลับมุ่นคิ้ว นัยน์ตาเจือแววสังหารขณะชมการต่อสู้ ทั่วร่างปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหวงฝู่ฉงหมิงผู้เป็นน้องชายยิ่งนัก ทั่วร่างเขาเหมือนคมดาบที่พร้อมถลาออกจากฝักเพื่อดื่มเลือดสด ๆ ของศัตรูให้หนำใจ
สองคนนี้ บุรุษหนึ่ง สตรีหนึ่ง คนหนึ่งกระสับกระส่าย คนหนึ่งสงบนิ่ง เป็นภาพตัดกันที่งดงามยิ่งนัก
ใบหน้าอวบอ้วนของหลิงอวี๋เจือไปด้วยรอยยิ้มแฝงความหมาย คนหนึ่งคือสตรีที่ไม่สนใจสิ่งใด แต่กลับบังเอิญส่งจิตสัมผัสเทพสายหนึ่งออกไปชมการต่อสู้เสียอย่างนั้น นางสนใจเรื่องอะไรอยู่กันแน่? แล้วเหตุใดต้องทำเป็นไม่ใส่ใจด้วย?
กลับกันแล้ว บุรุษที่ดูเป็นห่วงน้องชายตนไปทั่วร่างผู้นั้น ทว่านัยน์ตาเขากลับไร้อารมณ์นัก เห็นได้ชัดว่าเขาคงเป็นพวกใจหิน คงคิดว่าน้องชายทำตัวเองเสียหน้ากระมัง? ไม่ว่าน้องชายจะอยู่หรือตาย ไม่แน่ว่าอาจไม่สำคัญเท่าหน้าตาเขาก็เป็นได้…
หลิงอวี๋พลันรู้สึกขบขัน เมื่อนึกถึงคำที่ตาเฒ่าเคยกล่าวตอนที่เขาออกจากนิกายขึ้นมา ความเป็นไปของฟ้าดินลึกล้ำเกินหยั่ง แต่จะเทียบกับใจคนเราได้หรือ? เมื่อเราบ่มเพาะและใฝ่หาเต๋า หากสามารถเข้าใจจิตใจตนและผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นก็คงได้ขึ้นไปเป็นเซียนสวรรค์แล้ว…