บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 427 งานเลี้ยงใหญ่เป็นเวลาเจ็ดวัน
บทที่ 427 งานเลี้ยงใหญ่เป็นเวลาเจ็ดวัน
ในเวลานี้ ห้องโถงหลักของตระกูลเฉินต่างเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติและมิตรสหายมากมาย
เฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย ราชาเต่าเฒ่า ราชาจิ้งจอกเก้าหาง และคนอื่น ๆ ล้วนปรากฏตัวได้อย่างน่าประทับใจ อันที่จริง ด้วยพลังและอำนาจของตระกูลเฉินในตอนนี้ การที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าไปอยู่ในห้องโถงหลักของตระกูลเฉินก็เป็นไปไม่ได้!
ในขณะนี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เฉินซี ซึ่งเต็มไปด้วยความชื่นชม ความประหลาดใจและความเคารพ เนื่องจากจะมีผู้ใดจินตนาการได้ว่า ชายหนุ่มเช่นนี้จะกลายเป็นผู้นำของยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของแผ่นดินซ่งทั้งหมด?
แล้วในโลกใบนี้จะมียอดฝีมืออายุน้อยสักกี่คนกัน? ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่สมัยโบราณ จะมียอดฝีมืออายุน้อยสักกี่คนที่สามารถบรรลุความสำเร็จเช่นนี้ได้?
เช่นเดียวกับที่มหาเสนาบดีเคยถอนหายใจ เพราะในทุกยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ย่อมมีอัจฉริยะที่สั่นสะเทือนสวรรค์ สามารถบดขยี้ทุกคนได้ในชั่วอายุคนและขึ้นสู่จุดสูงสุด และผู้มีความเฉลียวฉลาดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งเฉินซีสมควรได้รับเกียรตินี้!
แม้ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสเช่นเสวียนจิงกับชิงชิว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีในตอนนี้
เฉินซีไม่อาจทนต่อสายตาที่เร่าร้อนของทุกคนได้เล็กน้อย จึงไอแห้ง ๆ ออกมา ก่อนที่จะกล่าวกับเฉินฮ่าวที่อยู่ใกล้เคียงว่า “ตอนที่ข้าออกจากนครหลวงธารสายไหม ฝ่าบาททรงรับปากแล้วว่าตราบเท่าที่ราชวงศ์ซ่งยังคงอยู่ ตระกูลเฉินจะไม่มีวันได้รับอันตรายแม้แต่น้อย”
ขณะที่กล่าวขึ้น เฉินซีได้หยิบตราคำสั่งชิ้นหนึ่งขึ้นมา “นี่คือตราคำสั่งที่ฝ่าบาทได้มอบให้กับตระกูลเฉินของเรา หลังจากนี้เจ้าจงแขวนมันไว้ที่หน้าประตูหลักของจวน ในเวลานั้น คำว่า ‘จ้งหลิง’ จะลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉินของเรา คนอื่น ๆ จะรู้ได้ทันทีว่า ตระกูลเฉินได้รับการคุ้มครองจากฝ่าบาท และหากพวกเขากล้ารุกรานตระกูลเฉิน จะเป็นการต่อต้านจักรพรรดิซ่ง”
เฉินฮ่าวตกตะลึง จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปรับด้วยความตกใจและตื่นเต้น “ด้วยตราคำสั่งนี้ รากฐานของตระกูลเฉินจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจะเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน เช่นนี้แล้ว เหตุใดเราต้องกังวลว่าตระกูลเฉินจะไม่สามารถดำรงอยู่ตราบชั่วกาล”
เฟยเหลิ่งชุ่ยกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ตกใจและตื่นเต้นเช่นกัน ‘จ้งหลิง’ คือพระนามของจักรพรรดิซ่งองค์ปัจจุบัน เพียงแค่คำสองคำ แต่กลับแสดงถึงเจตจำนงสูงสุดและศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ ดังนั้นจะมีใครในแผ่นดินนี้กล้าคิดรุกรานสิ่งที่จักรพรรดิซ่งปกป้องด้วยตนเองอยู่อีก?
“ท่านพี่ ท่านวางแผนที่จะอยู่นานแค่ไหนหรือขอรับ” เฉินฮ่าวเอ่ยถาม
เท่าที่เขาทราบมา พี่ชายของเขาจะต้องมุ่งหน้าไปยังสมรภูมิบรรพกาลในอีกหนึ่งปีข้างหน้า และเขาก็อยากจะแยกทางกับพี่ชาย
“ข้าจะไม่ไปไหนในปีนี้ และจะอยู่ที่จวนของตระกูล” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากจะจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่มันไม่อาจดำเนินไปตามความต้องการของชายหนุ่มได้ทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีนี้ อยู่กับครอบครัวอย่างเหมาะสม
ส่วนการบ่มเพาะนั้น เขาก็ไม่ได้กังวลเท่าไร เนื่องจากเคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเขาก็มีความเข้าใจที่หลากหลาย ส่วนสิ่งที่เขาจะต้องทำในตอนนี้คือการบ่มเพาะด้วยจิตใจที่แจ่มใสและหลอมรวมประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับมา เพื่อที่เขาจะได้ซึมซับประสบการณ์ทั้งหมดและเตรียมการเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตจุติ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อครอบครัวของเขาหรือเพื่อการบ่มเพาะของตัวเอง เฉินซีก็ไม่คิดที่จะออกไปแสวงหาการบ่มเพาะและประสบการณ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของปีนี้
“ช่างดีนัก!” เฉินฮ่าวกล่าวอย่างมีความสุขว่า “เมื่อมีท่านพี่อยู่ด้วย หัวใจของข้าก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว” เหมือนว่าเฉินฮ่าวจะนึกอะไรบางอย่างออก จึงกล่าวอย่างลังเลว่า “ท่านพี่ การทำเช่นนี้จะไม่ส่งผลต่อการบ่มเพาะของท่านใช่ไหมขอรับ? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การบ่มเพาะของท่านยังคงสำคัญที่สุด”
“มันไม่ส่งผลกระทบหรอก” เฉินซีส่ายศีรษะ
“ดีแล้วล่ะขอรับ” เฉินฮ่าวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะมีความคิดบางอย่าง “ท่านพี่ ท่านไม่ค่อยได้กลับมาที่ตระกูล ท่านช่วยไปพบกับสมาชิกทั้งหมดของตระกูลเฉินที่จัตุรัสได้หรือไม่? มันใช้เวลาไม่นานนักหรอก และจะเป็นการดีหากท่านจะกล่าวคำพูดเล็กน้อย แม้จะมีหลายคนที่ไม่เคยพบท่านมาก่อน แต่พวกเขาก็อยากจะท่านตัวเป็น ๆ อยู่เสมอ”
เมื่อเขากล่าวถึงจุดนี้ เฉินฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ตระกูลเฉินในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งของโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ ซึ่งมีคนในตระกูลมากกว่าหมื่นคน และส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมกับตระกูลเฉินก็เพราะความชื่นชมในตัวเฉินซี แต่เนื่องจากชายหนุ่มไม่ค่อยกลับมาที่ตระกูลและมักจะออกไปหาประสบการณ์และขัดเกลาอยู่ที่โลกภายนอก คนส่วนใหญ่จึงยังไม่เคยเห็นเขาตัวเป็น ๆ
“ย่อมได้” เฉินซีพยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย การพบปะกับคนหมู่มากเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา แต่หากสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้คนนับหมื่นได้ มันคงจะมีประโยชน์ต่อการปกครองตระกูลของเฉินฮ่าวในอนาคตอย่างมาก ดังนั้นเขาย่อมไม่ปฏิเสธ
…
ในเวลานี้ จัตุรัสขนาดใหญ่ได้ถูกสร้างขึ้นภายในจวนตระกูลเฉินแล้ว มันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับการบ่มเพาะของศิษย์ในตระกูลเป็นกรณีพิเศษ ในขณะนี้ จัตุรัสเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และศิษย์ของตระกูลเฉินทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่นี่
เมื่อมองจากระยะไกล ทั่วทั้งจัตุรัสเต็มไปด้วยผู้คนที่หนาแน่น ไม่ใช่แค่ศิษย์กับผู้อาวุโสที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แม้แต่ข้ารับใช้ก็มารวมตัวกันบริเวณรอบจัตุรัส
“นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่เฉินซี ในที่สุดก็ได้เห็นเขาตัวเป็น ๆ แล้ว ข้าตื่นเต้นมากเลย!”
“เขายังเด็กและมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น! จะดีแค่ไหนถ้าข้าได้แต่งงานกับเขา…”
“นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่จริง ๆ! สวรรค์! ข้าสามารถใกล้ชิดกับบุคคลในตำนานเช่นนี้ได้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่เลย?”
เมื่อทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างที่สูงและไม่ธรรมดาซึ่งอยู่บนแท่นสูงตรงกลาง ผู้คนของตระกูลเฉินล้วนรู้สึกตื่นเต้นสุดขีดจนไม่อาจปกปิดอาการได้
เมื่อเฉินฮ่าวกับเฟยเหลิ่งชุ่ยซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเฉินซี กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็คล้ายกับมีพลังอำนาจสะกดจิต ทำให้จัตุรัสที่ดังอึกทึกครึกโครมก่อนหน้านี้พลันเงียบงัน จนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่น
“นับตั้งแต่วันที่ข้าเกิดมา ข้าก็ถูกเรียกว่าตัวซวย และต้องทนทุกข์กับการถูกดูแคลน ถูกเย้ยหยัน ถูกเกลียดชัง และถูกทอดทิ้งมานับครั้งไม่ถ้วน…”
“แต่ข้าไม่เคยดูถูกตัวเอง เพราะข้าเชื่อมั่นว่าตราบเท่าที่ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อยืนหยัดในสิ่งที่ข้ายึดมั่น ซึ่งวันนั้นก็ได้มาถึง ข้าไม่เพียงแต่เปลี่ยนตัวเองได้เท่านั้น อีกทั้งยังหุบปากไอ้พวกที่เคยดูถูกและหยามเหยียดข้า!”
เสียงที่สงบและไม่แยแสของเฉินซีได้ก้องไปทั่วทั้งจัตุรัสอย่างชัดเจน มันไม่มีความรุนแรงแสดงออกมาจากน้ำเสียงนั้น และเขาก็ไม่ได้กล่าวคำที่กล้าหาญใด ๆ แต่เป็นน้ำเสียงเช่นนี้ที่ทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ตกตะลึงและสะเทือนใจกับคำพูดของชายหนุ่ม
“ใช่แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชะตากรรมของผู้อาวุโสใหญ่นั้นยากลำบากกว่าข้านัก แต่เขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ในตอนนี้ หรือว่านี่เป็นเพียงโชคของเขา?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน!”
เมื่อทุกคนสังเกตเห็นรัศมีอันรุ่งโรจน์ที่ปกคลุมเขาอยู่ จะมีใครเห็นความพยายามที่เขาได้ทุ่มเทอยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้หรือไม่?
“ไม่มีใครได้รับความสำเร็จโดยไม่พยายาม ผู้อาวุโสใหญ่ได้เสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อมากมาย อีกทั้งยังเคยประสบกับภยันตรายและความยากลำบากนับไม่ถ้วน เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในปัจจุบันของเขา”
โดยไม่รู้ตัว ความชื่นชมจากใจจริงก็ผุดขึ้นในหัวใจของสมาชิกตระกูลเฉินทุกคน ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อยอดฝีมือที่แท้จริง
“ตอนนี้ข้าประสบความเร็วไปได้ครึ่งทางแล้ว และกำลังทุ่มเทฝึกฝนเพื่ออีกครึ่งหนึ่ง ตราบใดที่ทุ่มเทฝึกฝน พวกเจ้าก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ถึงแม้ความสำเร็จของพวกเจ้าอาจมีจำกัด แต่พวกเจ้าจะไม่รู้สึกเสียใจอย่างแน่นอน เพราะพวกเจ้าได้ทุ่มเทฝึกฝนเพื่อมัน”
“แต่หากไม่คิดทุ่มเทฝึกฝน ตลอดชีวิตของพวกเจ้าก็จะไม่มีวันได้ประสบความสำเร็จไปตลอดกาล!”
ทันใดนั้น เฉินซีก็ดึงยันต์ศัสตราออกมา ชุดสีฟ้าของเขาปลิวไสวไปพร้อมกับผมยาว จากนั้นเขาก็เหวี่ยงกระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ครืน!
ปราณกระบี่โหมกระหน่ำไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ทำให้ทะเลเมฆที่อยู่เหนือท้องฟ้าถูกแยกออกจากกัน หากใครได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับว่ามันถูกฟันจนขาดด้วยการตวัดกระบี่ของเฉินซี จนเกิดรอยแยกกว้างกว่าสี่สิบจั้งและทอดยาวออกไปกว่าห้าสิบลี้ ทำให้มันดูคล้ายกับเหวลึกที่ถูกฉีกออกโดยหัตถ์ของเทพเซียน
ฟิ้ว!
ทุกคนรวมถึงผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสเช่นชิงชิวและเสวียนจิง ต่างก็อ้าปากค้าง “นี่มันเจตจำนงกระบี่ใดกัน? เขายืนอยู่บนพื้นแต่สามารถผ่าแยกสวรรค์ได้!?”
เจตจำนงกระบี่ที่น่าสยดสยองนี้เป็นดั่งกระแสน้ำที่วนเวียนอยู่รอบตัวของเฉินซี เขาเอามือไพล่หลังขณะกะพริบตาก็มีประกายสายฟ้าฟาดออกไป ทำให้เขาดูราวกับจะกลายร่างเป็นกระบี่อันเฉียบคมที่สามารถผ่าแยกท้องฟ้าได้ อีกทั้งกลิ่นอายที่น่าประทับใจของเขาก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า และสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เขากวาดมองไปยังศิษย์ของตระกูลเฉินที่อยู่รอบ ๆ และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ในสักวันหนึ่ง พวกเจ้าทุกคนมีความมั่นใจหรือไม่”
“มั่นใจขอรับ!!” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ศิษย์ในตระกูลเฉินทั้งหมดก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ปล่อยคลื่นเสียงตะโกนให้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และดวงตาก็ลุกโชนด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่แน่วแน่และพลุ่งพล่าน
เหตุการณ์นี้จะต้องตราตรึงอยู่ในใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ และพวกเขาจะไม่ลืมมันไปตลอดชีวิต
…
เนื่องจากเฉินซีได้กลับมาแล้ว เฉินฮ่าวจึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลาเจ็ดวันเพื่อเลี้ยงรับรองเหล่าสหายเต๋าที่มาเยี่ยมเยียนพี่ชายของเขา
ในบรรดาแขกที่มาถึง ไม่เพียงแต่มีกองกำลังอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ของดินแดนทางใต้เท่านั้น ยังมีตัวแทนจากนิกายเก่าแก่ของที่ราบตอนกลาง ทะเลตะวันออก และแดนเถื่อนทางตอนเหนือทยอยมากันมากขึ้น
แม้แต่จักรพรรดิซ่งเองก็ยังส่งทูตพิเศษเพื่อนำของขวัญมากมายมามอบให้
ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ ผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนก็มีมากมายพอ ๆ กับมวลเมฆบนท้องฟ้า และแขกจากทั่วทุกหนทุกแห่งก็เดินทางเข้ามามากมาย
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ตลอดเจ็ดวันนี้จะต้องเป็นปาฏิหาริย์ในประวัติศาสตร์ของเมืองหมอกสน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีงานใดเหนือกว่า!
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอิทธิพลของคนคนเดียว นั่นคือเฉินซี
งานเลี้ยงใหญ่นี้ค่อย ๆ เงียบลงหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากนั้น เฉินซีได้ออกจากจวนตระกูลเฉิน เนื่องจากเขาต้องการอยู่อย่างสันโดษที่ทะเลสาบภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้
มีเพียงเฉินอันและเฉินอวี่น้อยที่มากับเขาเท่านั้น
เด็กน้อยทั้งสองคนมีอายุใกล้เคียงกัน พวกเขาค่อนข้างมีเหตุผลและเฉลียวฉลาดอย่างไม่ธรรมดา แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉินอวี่นั้นมีชีวิตชีวาและตรงไปตรงมา ในขณะที่เฉินอันชื่นชอบความเงียบสงบ ซึ่งตรงกับนิสัยที่นิ่งสงบและไม่แยแสของเขา
ถึงนิสัยของพวกเขาจะต่างกัน แต่เด็กน้อยทั้งสองก็เข้ากันได้ดี พวกเขาติดตามเฉินซีเพื่อบ่มเพาะและใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งค่อนข้างกลมกลืนและสนุกสนาน
นอกจากการบ่มเพาะอย่างสันโดษแล้ว เฉินซียังใช้เวลาทั้งหมดในการเลี้ยงดูเด็กน้อยทั้งสอง โดยสอนสั่งพวกเขาเป็นการส่วนตัวและอธิบายสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจให้ทั้งสองคนฟัง
เวลาได้ผ่านไปครึ่งปีโดยไม่รู้ตัว
ในวันนี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งและมีเมฆเล็กน้อยบนท้องฟ้า มีนกมารวมตัวกันที่ผิวน้ำของทะเลสาบสีหยก เฉินอวี่กับเฉินอันกำลังฝึกฝนวิชากระบี่อยู่ที่ริมทะเลสาบ
เฉินซีกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ใต้ต้นสนอันเขียวขจีอย่างเงียบ ๆ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาได้บรรลุความเข้าใจทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้อย่างถ่องแท้แล้ว ทำให้การโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาสามารถใช้พลังระดับสูงสุดของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ ซึ่งผสานกระบวนท่าทั้งแปดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น ความเข้าใจของเขาที่มีต่อเต๋าแห่งกระบี่ก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น ทำให้เขาสามารถหลอมรวมเต๋ารู้แจ้งทั้งหมด เช่น มหาเต๋าแห่งดารา โลหะ พฤกษา หยินหยาง และอื่น ๆ ให้กลายเป็นเต๋าแห่งกระบี่ของเขา
“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้านั้น แข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งมากกว่าหนึ่งหรือสองเท่า เมื่อเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ข้าก็จะบรรลุไปสู่ขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย…” เฉินซีพลันลืมตาขึ้น และเมื่อเขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งของตนที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม
ทว่าชั่วพริบตาต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ดวงตาประหนึ่งสายฟ้าฟาดสองสายจ้องมองไปยังพื้นผิวของทะเลสาบที่ห่างออกไป
ณ ที่แห่งนั้น มีชายชราคนหนึ่งที่มองเห็นรูปร่างหน้าตาได้ไม่ชัดเจน กำลังเอามือไพล่หลังและเดินอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบสีหยก!