บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 428 คนบาปแห่งสามภพ
บทที่ 428 คนบาปแห่งสามภพ
เกาะกลางทะเลสาบที่เฉินซีอาศัยอยู่อย่างสันโดษตั้งอยู่ในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ที่เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็นอาณาเขตของอสูรแรดอินทนิลสองหัว ‘ทะเลสาบถ้ำวิญญาณ’ พื้นผิวของทะเลสาบเป็นสีหยกใสและกินพื้นที่กว้างขวาง กลุ่มดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่งเป็นจำนวนมาก ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามและเลิศเลอยิ่ง
ทว่าในเวลานี้ บนทะเลสาบอันเงียบสงบแห่งนี้กลับมีแขกที่ไม่ได้คาดคิดมาเยี่ยมเยียนเสียแล้ว
ฟุ่บ!
น้ำในทะเลสาบสีมรกตพยุงชายชราให้พุ่งเข้าหาเฉินซีราวกับก้อนเมฆเหาะข้ามน้ำ แขนเสื้อของชายชราโบกสะบัดอย่างสง่างาม เขาก้าวเดินอย่างสบาย ๆ ราวกับว่ากำลังเดินเล่นอย่างเกียจคร้านอยู่ในลานบ้าน ความเร็วของเขาดูเหมือนจะช้า แต่เพียงชั่วพริบตา เขาก็ก้าวข้ามจุดเดิมไปนับหมื่นจั้งและอยู่ไม่ห่างจากเกาะที่อยู่ใจกลางทะเลสาบมากแล้ว
เฉินซีรู้สึกตกใจ ทันใดนั้น เขาก็ค้นพบว่าไม่เพียงแค่ตนจะมองไม่เห็นใบหน้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ได้อย่างชัดเจนเท่านั้น ทว่าแม้แต่จิตสัมผัสเทพของเขาก็ไม่สามารถตรวจจับร่างของชายชราได้!
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือการปรากฏตัวของชายชราคนนี้ ราวกับทุกสิ่งรอบ ๆ ทะเลสาบถ้ำวิญญาณเข้าสู่สภาวะนิ่งสงัด ภูเขาที่ห่างไกล นกบนท้องฟ้า ดอกบัวที่พลิ้วไหวอยู่ในทะเลสาบ หรือแม้กระทั่งเฉินอวี่กับเฉินอันน้อยที่กำลังฝึกฝนอยู่ริมทะเลสาบ ก็ดูเหมือนกับถูกแช่แข็ง ให้นิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนต้นไม้และก้อนหิน
ราวกับว่าทั่วทั้งสวรรค์และโลกได้เปลี่ยนเป็นภาพนิ่ง ชายชราและน้ำในทะเลสาบสีหยกใต้ฝ่าเท้าของเขา กลายเป็นสิ่งเดียวในภาพที่ยังเคลื่อนไหวได้!
ระดับการบ่มเพาะขอบเขตใดที่สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงกฎของสวรรค์และปฐพีเช่นนี้ได้กัน?
ในใจของเฉินซีรู้สึกตกใจอย่างมาก เขารู้ว่าต่อหน้าชายชราคนนี้ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้นไม่เพียงพอที่จะต่อกรด้วย ถึงขนาดที่เพียงแค่ชายชรายกนิ้วขึ้นก็สามารถทำให้เขาตกอยู่ในหายนะชั่วนิรันดร์ได้แล้ว ง่ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ามด!
คนผู้นี้คือใครกัน?
แล้วเขามาที่นี่ทำไม?
ความคิดต่าง ๆ นานาผุดขึ้นมาในใจของเฉินซี แต่สิ่งที่ทำให้เขาโล่งใจเล็กน้อยก็คือชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูหรือจิตสังหารจากชายชราเลยแม้แต่น้อย
ตึก! ตึก!
อย่างไรก็ตาม ในทันใดที่ชายชราก้าวขึ้นมาบนเกาะกลางทะเลสาบ แรงกดดันมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้ก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา ทำให้ลมและเมฆปั่นป่วน อากาศที่เงียบสงบกลับเกิดเสียงราวกำลังกรีดร้อง ท้องฟ้าและแผ่นดินเปลี่ยนสี
ในชั่วพริบตา ชายชราผู้นี้ดูจะกลายเป็นดวงอาทิตย์ที่พร่างพราย ร่างกายของเขาเปล่งแสงจ้ามากมายออกมาจนแยงตา ก่อนที่เขาจะปลดปล่อยแรงกดดันใส่เฉินซีโดยตรง โดยไม่พูดอะไรสักคำ!
รูม่านตาของเฉินซีหดตัวทันที ขณะที่จิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้รีบโคจรปราณแท้ แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเส้นลมปราณทั่วร่างเหมือนกับถูกผนึกไว้และไม่ฟังคำสั่งของตน ทำให้เขาไม่อาจต่อต้านได้
ปัง!
เฉินซีได้ยินเพียงหึ่ง ๆ อยู่ในหัว เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกทุบด้วยค้อนยักษ์หนักล้านจิน ลมปราณและเลือดในร่างกายของเขาปั่นป่วนจนแทบกระอักเลือด
“บัดซบ! ไอ้แก่นี่มันใครกัน?” ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เฉินซีได้ใช้งานปีกนภาดารกะโดยสัญชาตญาณ ในชั่วพริบตาต่อมา เขาถอยห่างออกไปหลายร้อยจั้ง จากนั้นเขาก็จ้องมองชายชราด้วยสีหน้ากังวลและงุนงง คิดไม่ออกเลยว่าเขาสร้างศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร
“เป็นปีกนภาดารกะจริง ๆ ดูเหมือนว่าข้าจะหาไม่ผิดคน…” ชายชราดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น ทันใดนั้น แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบก็หายลับไปในทันที เห็นได้ชัดว่าความสามารถการใช้กลิ่นอายกดดันของอีกฝ่ายนั้นสูงถึงขั้นที่สามารถปลดปล่อยและดึงกลับได้ตามต้องการ
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อรู้สึกว่าแรงกดดันที่กดทับร่างกายหายไปแล้ว ทว่าเขายังไม่กล้าประเมินชายชราคนนี้ต่ำไปเลยแม้เพียงน้อย หัวใจของชายหนุ่มตึงเครียดราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว ในขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่งว่าควรจะหนีอย่างไรหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
‘หือ? เดี๋ยวก่อน สหายผู้นี้ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับปีกนภาดารกะของข้า?’ ทันใดนั้นเฉินซีก็ตระหนักได้ว่าชายชราคนนี้ สามารถบอกชื่อพลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาใช้ได้ในทันที!
อาจกล่าวได้ว่าจนถึงตอนนี้ ชายชราคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตแรกของโลกแห่งการบ่มเพาะในแผ่นดินซ่งที่รู้จักปีกนภาดารกะ!
ชายชราคนนี้เป็นใครกันแน่? เฉินซียิ่งระแวงและระวังตัวมากขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดพวกเราพี่น้องก็ได้พบกันแล้ว” ทันใดนั้นชายชราก็หัวเราะออกมา ในขณะที่ใบหน้าอันรางเลือนของเขาก็ปรากฏชัดเจนขึ้น เขามีเคราและผมสีดำ ดวงตาคมดุดันเหมือนสายฟ้าฟาด รูปร่างหน้าตาเองก็สง่างามและดูทรงพลังมาก
ศิษย์น้องเล็ก!?
เฉินซีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง วิธีการพูดแบบนี้ไม่ได้ไม่คุ้นหูเขาเลย เพราะหญิงสาวผู้รักการแต่งตัวเป็นชายนางหนึ่งก็เคยพูดกับเขาแบบนี้ ยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงมอบชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากให้กับเขาเท่านั้น นางยังเคยยืนมือมาช่วยเขาคราหนึ่งด้วยซ้ำ
ในเวลานี้ เมื่อเขาได้ยินชายชราผู้ยิ่งใหญ่พูดกับตนเองเช่นนี้ เฉินซีก็นึกถึงหญิงสาวคนนั้นทันที และอดไม่ได้ที่จะเกิดสงสัยอยู่ในใจ ‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งเขาและหญิงสาวคนนั้นจะเป็นศิษย์ที่ปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะพาตัวไป?’
“โอ้ ศิษย์น้องเล็ก อย่าได้โกรธเคืองไปเลย ข้าเพียงแค่ลองทดสอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เจ้าฝึกฝนมาเพื่อยืนยันตัวตนของเจ้าเท่านั้น เพราะอย่างไรซะ พวกเราพี่น้องก็ไม่เคยพบกันมาก่อน และมันคงน่าอายเกินไปหากข้าเข้าใจผิดว่าผู้อื่นเป็นเจ้า”
ชายชราก้าวไปเข้ามาหาและตบไหล่ของเฉินซีอย่างสนิทสนม จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าคิดไม่ผิดจริง ๆ เพราะปีกนภาดารกะนี้ในสามภพ มีเพียงศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์เราเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ แม้ว่าผู้อื่นจะได้รับมันไป มันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะฝึกฝนได้สำเร็จ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีก็เริ่มเชื่อคำพูดของชายชราขึ้นมาเล็กน้อย เพราะอย่างที่อีกฝ่ายกล่าว การสืบทอดปีกนภาดารกะนี้ถูกส่งผ่านมาทางห้วงความคิดของปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะโดยตรง และเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะถูกเผยแพร่สู่ทั่วโลก นี่คือสิ่งที่จี้อวี๋ก็เคยกล่าวเอาไว้เช่นกัน
“ข้าขอทราบนามของศิษย์พี่ได้หรือไม่?” เฉินซีหายจากอาการตกใจในทันที เขาป้องมือเคารพและถามขึ้น ในตอนนี้เขาหยุดคิดเรื่องอื่นไปแล้ว หากชายชราคนนี้ต้องการทำร้ายเขาจริง ๆ อีกฝ่ายก็คงทำไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระมากมายเช่นนี้เลย
“ข้าเป็นผู้อาวุโสอันดับสามของเขาเทพพยากรณ์ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่สามได้” ชายชรามองไปที่เฉินซีพร้อมรอยยิ้มและตอบอย่างเป็นกันเอง
“เขาเทพพยากรณ์?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหญิงจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ให้เจ้าฟังเลยสินะ ในเมื่อนางไม่อยากพูด ข้าก็คงบอกอะไรมากไม่ได้ มิฉะนั้นเมื่อกลับไป ศิษย์น้องหญิงย่อมทำลายกองสมบัติที่รักของข้าอย่างแน่นอน” ชายชราส่ายหัวปฏิเสธ
แม้ว่าชายชราจะกล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อคำพูดเหล่านั้นเข้าหูของเฉินซี มันก็ทำให้เขาสามารถยืนยันได้อย่างคร่าว ๆ ว่าเขาเทพพยากรณ์นี้น่าจะเป็นชื่อของนิกาย ส่วนศิษย์พี่สามและศิษย์น้องหญิงที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ย่อมต้องเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์แน่นอน!
เฉินซียังพอเดาได้ราง ๆ อีกด้วยว่า เขาเทพพยากรณ์นี้อาจเป็นนิกายที่ปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะก่อตั้งขึ้น ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเรียกเขาว่าศิษย์น้องเล็กได้อย่างไร?
“ศิษย์น้องเล็ก ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งจากศิษย์พี่สูงสุด ให้มาพาตัวท่านอาจารย์ลุงจี้อวี๋ไป… ” ศิษย์พี่สามพูดธุระของตนออกมาทันที
“อะไรนะ? ท่านต้องการจะพาตัวท่านอาจารย์ลุงจี้อวี๋ไปอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีตกใจทันที ในใจของเขานั้นนับถือจี้อวี๋เป็นอาจารย์คนหนึ่งของเขา ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าศิษย์พี่สามมาเพื่อพาตัวจี้อวี๋ไป แล้วเขาจะเต็มใจยอมรับได้อย่างไร?
“ถูกแล้ว ศิษย์พี่สูงสุดบอกว่าเจ้ากำลังจะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล เมื่อถึงเวลานั้น การดำรงอยู่ของท่านอาจารย์ลุงจะถูกกฎของเต๋าแห่งสวรรค์ในแดนภวังค์ทมิฬค้นพบ มันจะดึงดูดความสนใจของศัตรูบางคนและชักนำปัญหาใหญ่หลวงมาสู่เจ้ากับท่านอาจารย์ลุงจี้อวี๋” ศิษย์พี่สามอธิบาย
“นี่มัน… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เฉินซีรู้สึกสับสนไปหมด ถูกค้นพบโดยกฎของเต๋าแห่งสวรรค์? ดึงดูดความสนใจของศัตรู? เหตุใดเรื่องทั้งหมดนั้นถึงได้เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสจี้อวี๋กัน?
ศิษย์พี่สามชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ศิษย์น้องเล็กเรื่องนี้มันออกจะซับซ้อนเกินจะอธิบายได้ เมื่อเจ้าเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬไปแล้ว เจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
เฉินซีพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงต้องรอจนกว่าข้าจะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬเล่าขอรับ?”
“เพราะแดนภวังค์ทมิฬเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับมิติเซียนมากที่สุดในบรรดาโลกใบใหญ่กว่าสามพันใบ และกฎเต๋าแห่งสวรรค์ในที่แห่งนั้นก็สมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน ดังนั้นมันจะทนต่อการมีอยู่ของคนบาปอย่างข้าซึ่งเป็นที่ต้องการตัวในสามภพได้อย่างไร?”
เสียงที่ผ่านโลกมานับต่อนับดังก้องขึ้นอย่างไร้ที่มา ก่อนที่จี้อวี๋ผู้ซ่อนตัวอยู่ในเคหาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน!
คนบาปที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในสามภพ?
เฉินซีตกตะลึงเมื่อได้เห็นจี้อวี๋ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน จิตใจของเขาปั่นป่วนและสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้อาวุโสจี้อวี๋กลายเป็นคนบาปที่สามภพต้องการตัวไปตั้งแต่เมื่อไรกัน?