บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 449 กระบี่โศกนภา
บทที่ 449 กระบี่โศกนภา
บนผิวทะเล พายุอสูรทะเลเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
กองทัพวานรวารีเพลิงคลั่งเป็นฝูงสีดำที่เข้าปิดล้อมโจมตีเผยอวี่ หวงฝู่ฉิงอิง และคนอื่น ๆ ระลอกแล้วระลอกเล่า
แต่พวกเขาก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลกับการเผชิญอันตรายและยืนหยัดอยู่ที่บริเวณรอบนอกของพายุ
พวกเขากำลังเฝ้ารอ รอให้พายุได้พัดผ่านไป ก่อนที่จะเริ่มโต้กลับ
เนื่องจากความอดทนของวานรวารีเพลิงคลั่งต่ำมาก พวกมันจะต้องหยุดการโจมตีอย่างแน่นอนหลังจากไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้เป็นเวลานาน และเวลานั้นจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะฝ่าวงล้อมออกไป
“เฉินซีเข้าไปในกองทัพอสูรทะเล แต่เหตุใดจนถึงบัดนี้ กลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้นเลย?” เว่ยมู่อวิ๋นสังหารวานรวารีเพลิงคลั่งไปกว่าสิบตัวด้วยหมัดเดียว และฉวยจังหวะนี้ เอ่ยถามเผยอวี่ที่อยู่ใกล้เคียง
ในขณะนี้ พวกเขาได้ร่วมต่อสู้ด้วยกัน ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ในขณะที่แรงกดดันที่มาจากวานรวารีเพลิงคลั่งก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
“ฮึ่ม! จะดีที่สุดถ้ามันตายไปซะ กองทัพวานรวารีเพลิงคลั่งมีผู้นำขอบเขตจุติบังคับบัญชาอยู่ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีจะทรงพลัง แต่สองหมัดย่อมยากต้านทานสี่หมัดไหว ดังนั้นมันอาจจะโชคร้ายไปแล้วก็เป็นได้” เผยอวี่ยังไม่ทันได้กล่าว ชุยซิวหงก็ชิงตอบเสียก่อน และน้ำเสียงนั้นก็เผยให้เห็นความรู้สึกยินดีจากความโชคร้ายของชายหนุ่ม
“เหตุใดเราต้องสนใจเขาด้วย?” เผยอวี่ไม่ได้ขุ่นเคืองเมื่อชุยซิวหงตอบแทนตน เขาเพียงยิ้มและกล่าวช้า ๆ ว่า “แน่นอนว่าข้านั้นหวังว่ามันจะสามารถมีชีวิตรอดได้ เพราะข้ายังคงรอที่จะใช้มันเป็นเกราะกำบังหลังจากที่เราเข้าไปในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นแล้ว”
ครืนนนน!
เมื่อเขากล่าวจบ ลำแสงเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงได้พุ่งขึ้นจากภายในกองทัพวานรวารีเพลิงคลั่ง เฉินซียืนตัวตรงอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ร่างกายปล่อยลูกบอลพายุสายฟ้าที่พร่างพรายออกมา และชายหนุ่มก็เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นมาในโลก!
“ทุกคน สถานการณ์คับขัน! เผ่าวานรวารีเพลิงคลั่งทั้งหมดที่อยู่ใต้ทะเลได้เคลื่อนพลแล้ว และมันมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลายแสนตัว เราต้องฝ่าวงล้อมออกไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น…” เสียงของเฉินซีเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ทำให้เผยอวี่และคนอื่น ๆ ตกใจจนใบหน้าซีดเซียวลง “วานรวารีเพลิงคลั่งหลายแสนตัว? ทั้งเผ่าได้เคลื่อนพลแล้ว?”
“ให้ตายเถอะ!”
“ไอ้เจ้าสารเลวเฉินซีไปยั่วยุสัตว์อสูรแบบใดกันแน่ ถึงได้ดึงศัตรูจำนวนออกมาได้ขนาดนี้?”
เผยอวี่และคนอื่น ๆ คาดเดาได้ทันทีว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และไม่คาดคิดดังกล่าวต้องเกี่ยวข้องกับเฉินซีอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็กัดฟันด้วยความเกลียดชังและไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการทำลายล้างไอ้ตัวก่อกวนนี่เดี๋ยวนี้
“ไปกันเถอะ! ฝ่าวงล้อมไปด้วยกัน!”
อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้ว่าการฝ่าวงล้อมที่แน่นหนาในตอนนี้เป็นเรื่องสำคัญ มิฉะนั้น เมื่อถูกปิดล้อมด้วยกองทัพวาวารีเพลิงแล้ว พวกเขาจะต้องล้มตายอย่างแน่นอน
ทุกคนมารวมกันทันทีและใช้ความสามารถทั้งหมดของพวกเขาอย่างเต็มที่ ในขณะที่พุ่งเข้าสู่ภายในพายุ
ครืนนนน!
ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป เคล็ดวิชาต่าง ๆ และสมบัติวิเศษจะถูกซัดออกมามากมาย ในขณะที่ปะทะกับศัตรู พวกมันล้วนเปล่งประกายเจิดจ้า การโจมตีแต่ละครั้งจะคร่าชีวิตของวานรวารีเพลิงคลั่งไปหลายร้อยหรือหลายพันตัว ทำให้แขนขาขาดและเลือดกระเซ็นจนย้อมทะเลเป็นสีแดง
ทุกคนในกลุ่มนี้ต่างเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ขาดแคลนกระบวนท่าไม้ตายและสมบัติวิเศษที่ทรงพลัง ดังนั้น เมื่อพวกเขาโจมตีอย่างเต็มกำลังโดยไม่ยั้งมือในขณะนี้ คนเหล่านี้จึงดูราวกับอยู่ยงคงกระพัน และในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็พุ่งเข้าสู่ภายในของพายุแล้ว
ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็มาบรรจบกับพวกเขาเช่นกัน และชายหนุ่มก็ได้เข้าร่วมกับกองกำลังเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป
“เฉินซี เจ้าไปทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดถึงทำให้สัตว์อสูรเหล่านี้บ้าคลั่งไปหมด” นายน้อยโจวพยายามทำลายล้างวานรวารีเพลิงคลั่งที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวราวกับกระแสน้ำจากทุกทิศทุกทางอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่เอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
“ข้าแค่เอาสิ่งของบางอย่างจากพวกมันมา” เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่นในขณะส่ายศีรษะ เพราะชายหนุ่มไม่คาดคิดมาก่อนว่า มันจะปลุกเผ่าพันธุ์วานรวารีเพลิงคลั่งทั้งหมดให้บ้าคลั่งเช่นนั้น
“สิ่งนั้นคืออะไรกัน? หรือจะเป็นสมบัติหายาก?” ตาของนายน้อยโจวเป็นประกายในขณะที่เอ่ยถาม
“พอได้แล้ว! พวกเจ้าฝ่าออกจากวงล้อมก่อน แล้วค่อยคุยกันอีกที เข้าใจไหม?” หวงฝู่ฉิงอิงระเบิดเสียง ในขณะที่วานรวารีเพลิงคลั่งหลายสิบตัวกระเด็นออกไปด้วยการฟาดฝ่ามือของนาง จากนั้นหญิงสาวก็จ้องไปยังนายน้อยโจวอย่างดุดัน
นายน้อยโจวหุบปากทันที แต่ในใจของเขา ยิ่งใคร่รู้เกี่ยวกับสมบัติที่เฉินซีได้รับมา เนื่องจากมันสามารถทำให้เผ่าพันธุ์วานรวารีเพลิงคลั่งที่มีหลายแสนตัวเคลื่อนพลได้ อย่างน้อยมูลค่าของมันย่อมไม่ด้อยไปกว่าสมบัติกึ่งอมตะเป็นอย่างแน่นอน!!
“ฆ่า!”
“สังหารผู้บ่มเพาะมนุษย์เหล่านี้และนำวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์เรากลับคืนมา!”
“ฆ่า! วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์เราจะสูญหายไปไม่ได้ และเราจะปล่อยให้ผู้บ่มเพาะที่น่ารังเกียจเหล่านี้หลบหนีไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ในขณะนี้ คลื่นแห่งความโกรธที่เหมือนฟ้าร้องได้ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่วานรวารีเพลิงคลั่งนับไม่ถ้วนได้พุ่งออกมาจากก้นทะเลพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายที่โหดเหี้ยม ประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมใส่เฉินซีอย่างบ้าคลั่ง
เสียงตะโกนของการฆ่าฟันได้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ในขณะที่วานรวารีเพลิงคลั่งหลายแสนตัวทำให้คลื่นยักษ์ที่กระแทกเข้าใส่ทะเลราวกับฝูงอสูรทมิฬคลุ้มคลั่ง จนเกิดเป็นฉากที่ดูเหมือนว่าจุดจบของโลกได้มาถึง และทำให้ผู้พบเห็นต้องหนังศีรษะด้านชา
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวานรวารีเพลิงคลั่ง?” เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงโหยหวนซึ่งเต็มไปด้วยโทสะเหล่านี้ หัวใจของเผยอวี่และคนอื่น ๆ ก็กระตุกวูบ ดวงตาของพวกเขากะพริบถี่ แต่กองทัพวานรกำลังเข้ามาใกล้และกดดันเรื่อย ๆ ในขณะนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาที่จะไปสนใจสิ่งอื่น ได้แต่เริ่มต่อสู้อย่างสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะเผยอวี่ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เขาได้ชักกระบี่ที่ทรงพลังออกมา ทุก ๆ การโจมตีที่เขาฟาดฟันออกไปนั้น ราวกับลำแสงอันน่าตกตะลึงที่จู่ ๆ ก็อุบัติขึ้นในโลกและผ่าผืนทะเลที่กว้างใหญ่ออกจากกัน ซึ่งได้กวาดล้างวานรวารีเพลิงคลั่งไปหลายพันตัวลงอย่างง่ายดาย
กระบี่เล่มนี้เป็นสมบัติกึ่งอมตะ และมันถูกเรียกว่า ‘โศกนภา’ ประกายกระบี่ร่ายรำและส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า มันมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ขอบเขต ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังตกอยู่ในอันตราย เผยอวี่คงไม่เปิดเผยสิ่งนี้ออกมาง่าย ๆ หรอก
ด้วยสมบัติกึ่งอมตะในมือ เผยอวี่ดูจะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งความตายในทันที ปราณกระบี่พุ่งออกไปในแนวนอนและแนวตั้ง อสูรทะเลในระยะพันลี้ที่อยู่รอบตัวเขาได้ถูกทำลายลง ทำให้ทะเลสีครามกลายเป็นสีแดงเลือดในพริบตา และอานุภาพของมันก็ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
ทันใดนั้น แรงกดดันที่ทุกคนรู้สึกก็ผ่อนคลายลง จากนั้นก็มองไปที่เผยอวี่ด้วยความชื่นชม
ทว่ามีเพียงใบหน้าของเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งและไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
สมบัติกึ่งอมตะนั้นแข็งแกร่งอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น ซวีเหลิ่งเยี่ยแห่งแคว้นเยว่หลุนก็มีสมบัติกึ่งอมตะเหมือนกัน นั่นคือพัดนกยูงเพลิง แต่เขาก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเฉินซีในท้ายที่สุด
หลังจากที่ไตร่ตรองทั้งหมด แม้ว่าสมบัติกึ่งอมตะจะทรงพลัง แต่ถ้าอยู่ในมือของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ก็อาจดึงพลังออกมาได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของพลังทั้งหมด หากความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะมีไม่เพียงพอ แม้เขาคนนั้นจะถือสมบัติกึ่งอมตะไว้ในมือ ก็เป็นสิ่งสูญเปล่าเท่านั้น
สรุปแล้ว หากไม่มีความแข็งแกร่งที่เพียงพอ แม้ว่าจะมีสมบัติล้ำค่าเช่นสมบัติกึ่งอมตะ มันก็มีแต่จะสูญเปล่า และถึงขั้นที่อาจประสบปัญหาเนื่องจากมีมันไว้ในครอบครอง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อันใด
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเผยอวี่ก็ทรงพลังเช่นกัน และเมื่อประกอบกับสมบัติกึ่งอมตะอย่างกระบี่โศกนภา เขาก็สามารถเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเดียวกันได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้เกรงกลัวอีกฝ่ายเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวถึงการบ่มเพาะของเขา ทั้งเคล็ดวิชาการต่อสู้และพลังอิทธิฤทธิ์ที่ชายหนุ่มได้รับมา แม้ว่าพวกเขาจะแข่งขันกันในด้านสมบัติวิเศษ เฉินซีก็มีสมบัติกึ่งอมตะเหมือนกัน นั่นคือ พัดนกยูงเพลิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเกรงกลัวเผยอวี่
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ภายใต้การนำของเผยอวี่ ในที่สุดทุกคนก็พุ่งออกมาจากมวลหมอกสีดำของวานรวารีเพลิงคลั่ง จากนั้นพวกเขาก็ฝ่าพายุที่โหมกระหน่ำเพื่อพบกับแสงสว่างอีกครั้ง
“นับว่าโชคดีที่พลังขององค์รัชทายาทไม่มีใครเทียบได้ และพวกเราสามารถฝ่าออกมาได้อย่างง่ายดาย” ชุยซิวหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทุกคนในขณะนี้ต่างถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และสีหน้าของพวกเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
เฉินซีหันกลับมาและเห็นพายุที่ปกคลุมไปทั้งฟ้าดินกำลังห่างออกไปเรื่อย ๆ และก็มองเห็นราง ๆ ว่า มวลสีดำของวานรวารีเพลิงคลั่งที่อาศัยอยู่ในพายุยังคงคำรามด้วยความโกรธและไม่เต็มใจในขณะที่กำลังไล่ตามพวกเขา แต่น่าเสียดายที่พวกมันไม่สามารถไล่ตามได้อีกต่อไป
…
ในช่วงเวลาต่อมา ทุกคนก็พุ่งไปยังก้นทะเลพร้อมกับปรับลมหายใจเพื่อฟื้นตัว ยิ่งพวกเขาเข้าไปในทะเลบรรพกาลมากเท่าใด อันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ การใช้เวลาฟื้นฟูพละกำลังให้คุ้มค่าที่สุด
“เฉินซี วัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นเป็นสมบัติประเภทไหนกันแน่?” นายน้อยโจวยกหัวข้อการสนทนาเก่าขึ้นมาอีกครั้ง
“มันเป็นเพียงโอสถที่บรรจุมหาเต๋าอันล้ำลึก และไม่ต่างอะไรจากโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าใจมหาเต๋าได้” เฉินซียิ้มขณะที่กล่าวตอบ
“ถ้าอย่างนั้นมันก็มีมหาเต๋าอันล้ำลึกอย่างแน่นอน” นายน้อยโจวค่อนข้างรู้สึกอิจฉา แต่เขาไม่ได้ถามรายละเอียด เพราะรู้แล้วว่ามันคือสิ่งใด จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องถามไปมากกว่านี้ เพราะทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง และเราต้องรู้จักเคารพต่อสิ่งนั้น เพื่อที่จะรักษามิตรภาพได้อย่างเหมาะสม
“เฉินซี เจ้าต้องเก็บรักษามันไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจเกิดปัญหาขึ้น หากเผยอวี่และคนอื่น ๆ เห็นแล้วอยากได้มัน” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวผ่านกระแสปราณมาจากข้างกาย พวกเขาทั้งสามคนกำลังสื่อสารกันผ่านกระแสปราณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเผยอวี่และคนอื่น ๆ ได้ยิน
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี”
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นไปตามคำที่ว่า ‘หากพูดถึงปีศาจ ปีศาจก็จะปรากฏขึ้นมา’
ในช่วงเวลาต่อมา ชุยซิวหงที่อยู่ใกล้เคียงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “พี่เฉิน ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่า เจ้าได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์อะไรจากรังวานรวารีเพลิงคลั่ง? เหตุใดเจ้าถึงไม่นำมันออกมาและให้เราได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นหน่อยเล่า”
เสียงของเขานั้นดังและชัดเจน ซึ่งรับประกันได้ว่าเผยอวี่ เว่ยมู่อวิ๋นกับเหลิ่งเชี่ยวชิวจะต้องได้ยินอย่างแน่นอน และพวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องไปที่เฉินซีเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ใช่แล้ว พี่เฉิน ก่อนหน้านี้ทุกคนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็เพราะเจ้า และเราเกือบจะหลบหนีไม่ได้ แต่ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว ดังนั้นช่วยนำสมบัติที่เจ้าได้รับออกมาให้พวกเราทุกคนได้ยลโฉมมันเสียหน่อย เช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้วจริงหรือไม่?” เว่ยมู่อวิ๋นก็กล่าวออกมาเช่นกัน
“ใช่ ข้าเองอยากรู้มากว่าสมบัติอันน่าอัศจรรย์ที่พี่เฉินได้รับนั้นคืออะไร มันถึงสามารถชักนำเผ่าวานรวารีเพลิงคลั่งทั้งหมดให้เคลื่อนพลได้ หากมันเป็นเพียงสมบัติธรรมดา คงไม่อาจทำให้เกิดผลเช่นนั้นใช่หรือไม่?” เหลิ่งเชี่ยวชิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา แม้คำกล่าวของนางจะดูเรียบง่าย แต่กลับชี้ให้เห็นว่าเฉินซีได้รับสมบัติพิเศษอย่างแน่นอน และไม่อาจนำสมบัติธรรมดามาหลอกหลวงพวกเขาได้!
หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวต่างเหลือบมองกันและกัน ทั้งคู่ได้คร่ำครวญอยู่ในใจว่า ‘บัดซบ! แล้วเฉินซีจะทำอย่างไรในตอนนี้?’
ตามคำกล่าวที่ว่า แม้เราจะป้องกันการถูกลักทรัพย์ แต่เมื่อตกเป็นเป้าหมายของโจรแล้ว โจรย่อมมีหนทางอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของเฉินซีได้เกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก ชายหนุ่มกวาดสายตาไปที่เผยอวี่ และคนอื่น ๆ ก่อนจะยิ้มบางออกมา จากนั้นก็ตอบโดยไม่ลังเลว่า “ในเมื่อทุกคนล้วนกล่าวออกมาเช่นนี้ แล้วข้าจะปฏิเสธพวกเจ้าได้อย่างไร”
ทันทีที่กล่าวจบ ฝ่ามือของเขาก็พลิกขึ้น แผ่นจารึกที่มีขนาดราวสองฉื่อก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา แผ่นจารึกแผ่นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรอยด่างหนาทึบ ซึ่งดูจะผ่านการขัดเกลามานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันหนักอึ้งและเก่าแก่ออกมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ แผ่นจารึกนี้ไม่มีการเขียนหรือแผนภาพใด ๆ ซึ่งดูธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่มันกลับเต็มไปด้วยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน
“แผ่นจารึกนี้มีความลึกล้ำของมหาเต๋าอยู่จริง ๆ หรือ!?”
“มันคือเต๋ารู้แจ้งประเภทไหนกัน”
“มันต้องเป็นเจตจำนงมหาเต๋าที่หายากอย่างแน่นอน มิฉะนั้น เหตุใดเราถึงจดจำมันไม่ได้”
ดวงตาของเผยอวี่และคนอื่น ๆ หรี่ลง เพราะต่างรับรู้ถึงคุณค่าของแผ่นจารึกนี้ ชั่วขณะหนึ่ง ความอิจฉาริษยาอันหนาแน่นได้พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการแย่งมันมาเป็นของตนเอง
แม้แต่ใบหน้าของหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวก็ยังต้องรู้สึกตกตะลึงและชื่นชม แผ่นจารึกนี้มีมหาเต๋าที่ล้ำลึกและหาได้ยาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่เผ่าวานรวารีเพลิงคลั่งจะให้คุณค่ากับมันในฐานะวัตถุศักดิ์สิทธิ์…