บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 494 ตระกูลซางแห่งแคว้นลั่วเหอ
บทที่ 494 ตระกูลซางแห่งแคว้นลั่วเหอ
เฉินซีชะงักไป จากนั้นจึงหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มร่างท้วมผิวขาว สวมชุดคลุมสีเทา บนใบหน้าคลี่ยิ้ม กำลังยืนโบกมือให้ ชายหนุ่มอดรู้สึกตกใจไม่ได้ “หลิงอวี๋?”
เจ้าอ้วนผู้นั้นก็คือหลิงอวี๋นั่นเอง ด้านข้างยังมีบุรุษและสตรียืนอยู่ ซึ่งคือหลิงเจ๋อและปี้หลิงอวิ้น
หลิงเจ๋อพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นเฉินซี ในขณะที่ปี้หลิงอวิ้นมีสีหน้าดูซับซ้อน นางเม้มริมฝีปากยืนนิ่งเงียบ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะในอดีตนางเคยเกือบฆ่าเขา ต่อมาเขาก็เคยเกือบฆ่านาง แม้จะไม่ได้โกรธแค้นอะไรกันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ใช่สหายหรือศัตรูกัน สุดท้ายจึงจบลงที่ความอึดอัด
“ข้าตั้งใจเดินทางมายังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นเพื่อมาดูว่ามีคนเขลามารังแกพี่เฉินหรือไม่ แต่ท่านพี่บอกว่าเจ้าปลอดภัยดี ข้าจึงวางใจและเดินทางมาที่เมืองบรรพกาล ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอพวกเจ้าที่นี่ ดีจริง ๆ” ว่าแล้วหลิงอวี๋ก็แวบเข้ามา ใบหน้าอวบอ้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าการได้พบกับเฉินซีและคนอื่น ๆ ทำให้เขาดีใจนัก
“ดีใจที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่นะ” หวงฝู่ฉิงอิงถอนหายใจอย่างโล่งอก และเอ่ยคำพูดที่หลิงอวี๋ฟังดูแล้วรู้สึกแปลกยิ่ง
นายน้อยโจวที่อยู่ด้านข้างจึงเดินขึ้นมาแล้วส่งหมัดปะทะไหล่หลิงอวี๋พลางหัวร่อ “ไม่เห็นเคยรู้นะว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรมด้วย เจ้าอ้วน เอาเถอะ เจ้าก็เป็นสหายคนหนึ่งของข้าแหละนะ”
หลิงอวี๋ลูบท้ายทอยตน เผยยิ้มซื่อออกมา ดูเป็นคนเรียบง่ายคนหนึ่งทีเดียว
“พวกเจ้าก็จะมุ่งหน้าไปยังเมืองบรรพกาลเช่นกันหรือ?” ขณะเดียวกันนั้นเอง หลิงเจ๋อก็เดินเข้ามาส่งยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยถามเฉินซี
“ใช่แล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้า เมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋ปลอดภัย เขาก็โล่งใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าหวงฝู่ฉางเทียนจะทำอะไรหลิงอวี๋ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่กับพี่ชาย เฉินซีจึงไม่กังวลอีกต่อไป
เพราะหลิงเจ๋อมาจากราชวงศ์ต้าถัง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามราชวงศ์ระดับสูงสุด ในขณะที่ราชวงศ์ต้าเสวียนเป็นเพียงราชวงศ์ระดับสูง ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะหาญกล้าสักเพียงไหน ก็คงไม่หุนหันลงมือกับน้องชายของหลิงเจ๋อเป็นแน่
ในความคิดของหลิงเจ๋อนั้น เฉินซีนับเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว เขาคลี่ยิ้มและเอ่ยคำชวนทันที “ตัวข้านับได้ว่ารู้จักเมืองบรรพกาลเล็กน้อย เรามุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยกันดีหรือไม่?”
“เช่นนั้นต้องขอขอบคุณพี่หลิงด้วย” เฉินซีเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม หลิงเจ๋อมาจากราชวงศ์ต้าถัง จึงมีข้อมูลดีกว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ มาก ดังนั้นการออกเดินทางไปกับเขาจึงเป็นตัวเลือกที่ดี
“แต่…” หลิงเจ๋อขมวดคิ้ว ดูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะจ้องตาเฉินซีและเอ่ยเสียงเครียดว่า “พี่เฉิน มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องคุยให้กระจ่างเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ความสัมพันธ์เราต้องด่างพร้อย”
เฉินซีชะงักไป สีหน้าดูจริงจังขึ้นเช่นกัน “พี่หลิงพูดมาตามตรงได้เลย”
หลิงเจ๋อเหมือนรู้สึกว่าพูดยาก แต่ก็กัดฟันพูดออกมาว่า “พี่เฉิน เราก็รู้แล้วว่าสหายทั้งสองของเจ้าอยู่กับศิษย์ตระกูลซาง สถานการณ์ทางฝั่งนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก หากเกิดการต่อสู้ขึ้นระหว่างเจ้ากับศิษย์ตระกูลซางเพราะเรื่องนี้ ตัวข้าย่อมเลือกจะช่วยพวกเจ้าอยู่แล้ว แต่เวลาทำเช่นนั้นข้าไม่อาจเป็นตัวแทนของราชวงศ์ต้าถังได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลิงเจ๋อก็หยุดไปเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เพราะระหว่างตระกูลซางกับราชวงศ์ต้าถังของข้าก็ไร้ความบาดหมางกัน หากข้าช่วยเหลือในฐานะราชวงศ์ต้าถัง ก็จะไม่ยุติธรรมต่อสหายฝั่งข้า ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับข้านัก”
เฉินซีหัวเราะอย่างสบายใจ “เป็นเรื่องนี้นี่เอง หากเป็นข้าก็คงทำอย่างพี่หลิง อย่าได้รู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้เลย เพราะหากรู้สึกผิดจริง เราแยกกันเป็นการชั่วคราวก็ได้”
เขาเองก็เข้าใจมุมมองของหลิงเจ๋อ หากเขายอมรับทุกอย่างได้ตั้งแต่ต้นก็คงดูไม่จริงใจ และเฉินซีก็คงไม่เชื่อ
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา เขาย่อมเห็นว่าเฉินซีเป็นสหายคนหนึ่ง เฉินซีเองก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจทุกอย่างได้ดี
ด้วยเหตุนี้เฉินซีจึงมองหลิงเจ๋อในแง่ดีนัก คนที่รู้ขีดจำกัดตนเองและปฏิบัติตนโดยสุจริตย่อมเป็นคนที่สมควรนับเป็นสหายนี่นะ?
…
พวกเขาไม่เสียเวลาอีก กลุ่มของเฉินซีเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติหลังคุยกับกลุ่มหลิงเจ๋อจบ
ครืน!
ทันทีที่เฉินซีทรงตัวได้อย่างมั่นคงอยู่ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ พลังผันผวนที่ไม่อาจต้านได้ก็สะเทือนออกมา ชั่วพริบตานั้น ราวกับเขาได้ผันผ่านกาลเวลายาวนาน ภาพตรงหน้าเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นระลอกคลื่นหลากสี ราวกับภาพฝันก็มิปาน
‘นี่คือการเคลื่อนมิติหรือ? ดูน่ามหัศจรรย์ใจนัก…’ เฉินซีชื่นชมยังไม่ทันจบ ก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขามาถึงสถานที่อันแปลกประหลาดแล้ว
ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสดใส มีเมฆลอยเด่น มันมีขนาดกว้างขวางและบริสุทธิ์จนเหมือนผลึกแก้วใส เมื่อลมเย็นพัดผ่าน ปราณวิญญาณที่หนาแน่นคล้ายกับหมอกก็กระจายไปในอากาศ กลิ่นอายพืชพันธุ์และผืนดินกำจายตามแรงลม ทำให้จิตใจสดชื่นยิ่งนัก
ภายในสมรภูมิบรรพกาลที่เต็มไปด้วยอันตรายและสภาพแวดล้อมเลวร้ายเสียส่วนมาก ทุกอย่างที่นี่ดูผิดแผกไปหมด
เมื่อเฉินซีลองกวาดสายตามองไปมา เขาก็เห็นเมืองโบราณที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาตั้งตระหง่านอยู่บนทุ่งหญ้าตรงหน้า
กำแพงเมืองสร้างมาจากหินขนาดใหญ่ ทอดตัวยาวออกไปไม่รู้กี่ลี้ มีสีหม่นกะดำกะด่าง เหมือนผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนับปี ทำให้มันปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา เมื่อมองจากไกล ๆ ก็เหมือนกับพยัคฆ์กำลังหลับใหล แม้จะเลือนรางไปแล้ว แต่กลิ่นอายก็ยังคงอยู่
“เมืองบรรพกาลถูกสร้างขึ้นเมื่อครั้งโบราณ เป็นฐานที่มั่นของเหล่าเซียนในช่วงออกเดินทาง ในตอนนั้นเซียนทั้งสามภพและผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลายโลกมารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นจึงสร้างเมืองแห่งนี้ให้มีความกว้างขวางโอ่อ่า น่าเสียดายที่ตอนจบศึก และหลังจากเวลาผ่านมานานจนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีเซียนคนใดลงมาที่เมืองแห่งนี้อีกแล้ว มันจึงค่อย ๆ ล่มสลายไป” หลิงเจ๋อเอ่ยอธิบายขึ้น น้ำเสียงแฝงด้วยอารมณ์รำลึก เหมือนกับมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งอดีตกาล และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นที่นี่
เฉินซีกลับรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าเมืองแห่งนี้จะเคยดูโอ่อ่าเพียงไหน หรือจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ฝีมือเหนือชั้นเพียงใด สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะกาลเวลาได้อยู่ดี
ก่อนหน้ากาลเวลาจะผันผ่านไป เขาเคยสงสัยว่าจะมีเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์ที่อยู่คู่ใต้หล้าไม่จางหายไปไหนบ้างหรือไม่ อีกทั้งเขายังสงสัยว่ามีเซียนสวรรค์สามารถมีชีวิตอยู่คงกระพันได้โดยไม่ตาย ไม่เจ็บป่วย ไม่แก่เฒ่าอยู่บ้างหรือไม่ เขาอาจต้องร่อนเร่พเนจร พาสองตาตนไปดู และสัมผัสเอง จึงจะสามารถล่วงรู้ความลับเหล่านี้หรือไม่? อารมณ์และความรู้สึกในแววตาเฉินซีสลายไปช้า ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมั่นคงแน่วแน่แทน
เรื่องอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้ข้าก็พยายามอย่างหนักในทุกย่างก้าวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่ อย่างน้อยข้าก็มีความคิดที่ชัดเจน
เมื่อเห็นว่า แม้เมืองโบราณแห่งนี้จะผ่านกาลเวลามายาวนานจนมีรอยกะดำกะด่างไปหมด แต่ก็ยังหลงเหลือกลิ่นอายเอาไว้ หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ จึงรู้สึกตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน
นี่คือฐานที่มั่นของเหล่าเซียนระหว่างออกเดินทาง ร่องรอยของเซียนจากสามภพและยอดฝีมือทั้งหลายถูกทิ้งไว้ที่นี่ ทำให้พวกเขาตกตะลึงนัก
“ไปกันเถอะ คนจากกองกำลังทั้งหลายคงเข้าไปในเมืองแล้ว ทุกคนต้องระวังตัวด้วย เพราะในเมืองไม่มีกฎมีเกณฑ์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ทำให้เกิดการตายขึ้นบ่อยครั้ง” หลิงเจ๋อส่ายหน้า สีหน้าของเขาเองก็จริงจังขึ้น ขณะเตือนทุกคนก่อนจะแวบหายไปทางเมืองบรรพกาล
เฉินซีกับคนอื่น ๆ พลันนึกถึงจุดประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้ขึ้นได้ พวกเขารีบตั้งสติและติดตามหลิงเจ๋อไปทันที
ยิ่งเข้าใกล้เมืองบรรพกาล ก็ยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของเมืองโบราณแห่งนี้ รวมทั้งยังเห็นร่องรอยบนกำแพงสีคล้ำมากมายที่ถูกทิ้งไว้จากสงคราม
เห็นได้ชัดว่าแม้เมื่อหลายปีก่อนมันจะเคยเป็นเมืองที่สง่างามเพียงไหน แต่ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเช่นกัน
“จากข้อมูลที่ข้าได้มา ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติจากเจ็ดราชวงศ์ระดับสูง สามราชวงศ์ระดับสูงสุด และตระกูลอันทรงเกียรติจากอาณาจักรโบราณได้มาถึงเมืองบรรพกาลกันแล้ว หรือก็คือผู้คนจากราชวงศ์ระดับกลางยังมากันไม่เท่าไร” หลิงเจ๋อบินไปมาขณะกล่าวขึ้น “ส่วนคนจากราชวงศ์ระดับล่างคงจะไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้”
“แน่นอนว่า มีหลายคนได้สิ้นชีพไปในสมรภูมิบรรพกาลตอนชิงสมบัติในพื้นที่ต้องห้าม ดินแดนเร้นลับ และซากปรักหักพังไปแล้ว ซึ่งล้วนเป็นผู้มาจากราชวงศ์ระดับกลางกับล่าง ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับพลังของคนจากราชวงศ์ระดับสูงแล้ว ทั้งทรัพยากร เงินทองของพวกเขาก็ด้อยกว่ามาก จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายได้” เฉินซีถอนใจ
มันเป็นความจริงที่โหดร้ายแต่ก็ต้องยอมรับ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องแบ่งแยกระดับของราชวงศ์ที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลหรอก
ต่างระดับทำให้เกิดช่องว่าง และเป็นช่องว่างที่ลดได้ยากนัก
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มและพรรคพวกก็มาถึงหน้าประตูเมืองอันสูงตระหง่าน
ตอนนี้ยังมีคนอีกสองสามคนเดินทางมาถึงที่หน้าประตูเมือง ที่ดูเหมือนจะสร้างจากทองสัมฤทธิ์ พวกเขามีกลิ่นอายล้ำลึกหนาแน่น ซึ่งล้วนอยู่ขอบเขตจุติ เห็นได้ชัดว่ามาจากราชวงศ์อื่น
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ ประหลาดใจที่สุดก็คือที่หน้าประตูเมืองยังมีคนสิบกว่าคนยืนขวางอยู่ ด้านหลังมีธงปักพื้นไว้ บนธงคือภาพสายธารไหลราวกับมีชีวิตจริง
“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินซีชะลอฝีเท้าลง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“ประตูเมืองทั้งแปดของเมืองบรรพกาลสอดคล้องกับทิศทั้งแปด นี่คือประตูตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาล และดูจากธงแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกตระกูลซางแห่งแคว้นลั่วเหอยึดไปแล้ว” หลิงเจ๋อดูไม่ประหลาดใจและอธิบายผ่านกระแสปราณ “เมื่อกองกำลังเดินทางเข้าเมืองบรรพกาลแล้วรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งพอ ก็จะยึดประตูเมืองเพื่อแสดงอำนาจ และแน่นอนว่าเพื่อหาสมบัติได้เช่นกัน”
‘ตระกูลซางแห่งแคว้นลั่วเหอ…’ เฉินซีพึมพำในใจ ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันเข้าเมืองบรรพกาลก็ได้พบกับศิษย์ตระกูลซางแล้ว
“หาสมบัติหรือ? หมายความว่าอย่างไรกัน?” หลิงอวี๋ที่อยู่ไม่ไกลพึมพำออกมา
“เจ้าเห็นแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง” หลิงเจ๋อว่า
“สหายเต๋า ประตูเมืองนี้ถูกตระกูลซางแห่งแคว้นลั่วเหอของข้าครอบครองแล้ว หากอยากผ่านเข้าไป เช่นนั้นก็ต้องจ่ายของที่ไม่ด้อยไปกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดมา!” เมื่อหลิงเจ๋อพูดจบ น้ำเสียงเย่อหยิ่งเยียบเย็นก็ดังออกมาจากประตูเมือง เป็นเสียงที่เจือด้วยปราณแท้อันหนาแน่น จนทำเอาสีหน้าคนทั้งหลายเคร่งเครียดขึ้นทันที