บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 510 บุกตระกูลซางเพียงลำพัง
บทที่ 510 บุกตระกูลซางเพียงลำพัง
เนื้อหาของการสนทนาระหว่างซางเชวี่ยและซางผิง เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดเข้าใส่เฉินซีจนทำให้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย
ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่า ซางคุนจะวางแผนชั่วร้ายต่อชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง และถ้าซางคุนทำได้สำเร็จ พวกนางทั้งคู่ก็จะต้องพบกับจุดจบ!
ถึงแม้ความรู้สึกที่มีต่อชิงซิ่วอี้ของเขาจะซับซ้อนเพียงใด แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังคงเป็นมารดาของเฉินอัน แล้วถ้านางตาย เขาจะกล้าสู้หน้าเฉินอันในภายภาคหน้าได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น เขาก็รู้สึกเป็นห่วงเจิ้นหลิวชิงอย่างมากเช่นกัน หญิงสาวที่บริสุทธ์และสง่างามคนนี้ ได้ให้ความช่วยเหลือเขามากมายเมื่อตอนที่อยู่ในแผ่นดินซ่ง นอกจากนี้นางยังเผยความรู้สึกที่มีต่อเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง ความรู้สึกนี้หนักหนาจนชายหนุ่มไม่สามารถเพิกเฉยได้เช่นกัน
ในขณะนี้ ทั้งคู่กำลังตกอยู่ในอันตราย และเห็นได้ชัดว่าผลกระทบนี้ส่งผลต่อเฉินซีอย่างมาก
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ จิตใจของชายหนุ่มจึงสั่นไหวอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ร่องรอยความผันผวนปรากฏขึ้นในจิตสัมผัสเทพของเขา และซางเชวี่ยก็สังเกตเห็นมันได้
แต่เฉินซีก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากเขาถูกยั่วยุจนถึงจุดที่ไฟแห่งความโกรธลุกโชนราวกับสัตว์ร้ายที่คลุ้มคลั่ง เขาจึงทำลายประตูที่พำนักของตระกูลซางโดยตรง ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือด
เขาต้องการช่วยเหลือชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พวกมันก็ไม่สามารถขัดขวางฝีเท้าของเขาได้!
“ถ้า…ถ้าทั้งคู่โชคร้ายและถึงวาระจริง ๆ …ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำลายล้างตระกูลซางและฝังพวกมันทั้งหมดไปพร้อมกับพวกนาง!”
เฉินซีในขณะนี้โกรธจนถึงขีดสุด แต่นอกจากเปลวไฟแห่งความโกรธที่พลุ่งพล่านและลุกโชน มันก็ยังมีร่องรอยของความเฉยเมยในดวงตาของเขา
เฉินซีผู้รอดชีวิตจากการเข่นฆ่าและการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เพียงแค่มีเคล็ดวิชาต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น เขายังมีความตั้งใจอันแน่วแน่ในการต่อสู้อีกเช่นกัน
ความเฉยเมยและความโกรธของเขาไม่อาจส่งผลกระทบต่อพลังต่อสู้ แต่กลับกระตุ้นเจตนาฆ่าในอกอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
…
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ร่างจำนวนมากพุ่งออกมาจากตำหนักของตระกูลซาง และไปรวมตัวกับซางเชวี่ยซึ่งอยู่บนกลางอากาศ
ในฐานะตระกูลอันทรงเกียรติที่ลึกลับที่สุด ศิษย์ทั้งห้าสิบคนของตระกูลซางที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ ล้วนมีจำนวนมากกว่าราชวงศ์อื่น ๆ อย่างมาก และมีจำนวนคนมากกว่าสามราชวงศ์ระดับสูงสุดอยู่เล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ของตระกูลซางเหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม และการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่สาม พวกเขาจึงทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว
เป็นเพราะตระกูลซางมีกองกำลังและความแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถครอบครองอาณาเขตของประตูเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาลและขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวได้
มีเพียงสามราชวงศ์ระดับสูงสุด ตระกูลเซวีย และตระกูลเฟิงเท่านั้นที่สามารถเทียบกับตระกูลซางได้
“ผู้ใด?!”
“ไอ้สารเลวคนไหนที่หาเรื่องใส่ตัว”
“ไอ้บัดซบคนนี้กล้ารุกล้ำอาณาเขตของตระกูลซางของข้า มันจะต้องถูกทำลาย มิฉะนั้นตระกูลซางของข้าจะยืนหยัดอยู่ในเมืองบรรพกาลต่อไปได้อย่างไร?”
ในขณะเดียวกัน หลังจากได้ยินเสียงตะโกนอันกึกก้องของซางเชวี่ย ศิษย์ของตระกูลซางเหล่านี้ก็รีบมาจากทั่วทุกสารทิศทันที และพวกเขาทั้งหมดล้วนมีสีหน้าอาฆาตแค้นในขณะที่ดวงตาฉายประกายเย็นชา
ในฐานะศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครที่กล้าบุกรุกเข้ามาในฐานที่มั่นของพวกเขาและยังกล้าแสดงความโอหังออกมา
…คนผู้นี้คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่เป็นแน่!
“หุบปาก! พวกเจ้าทุกคนจงระมัดระวังตัวและเตรียมต่อสู้ซะ” ซางเชวี่ยชำเลืองมองไปยังเหล่าศิษย์ที่อยู่เคียงข้าง จากนั้นก็มองไปยังร่างกำยำที่พุ่งเข้ามาจากระยะไกล และคิ้วของเขาก็อดไม่ได้ที่ขมวดเข้าหากันแน่น
ทุกคนตกตะลึงและรู้สึกไม่เชื่อ ซึ่งในขณะนี้เอง พวกเขาก็สังเกตเห็นเฉินซีที่อยู่ห่างไกลออกไป มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจว่าเหตุใดน้ำเสียงของซางเชวี่ยจึงจริงจังมากเมื่อต้องจัดการกับศัตรูเพียงคนเดียว
“มันคือเฉินซี ผู้ได้อันดับหนึ่งในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม เมื่อครู่ที่ผ่านมา มันได้สังหารเหล่ายามรักษาประตูตะวันออกเฉียงเหนือเพียงลำพัง… แม้ว่าตระกูลซางของเราจะไม่เกรงกลัว แต่ก็ต้องระมัดระวังเมื่อต่อสู้กับมันเช่นกัน”
เมื่อเห็นความไม่แยแสของสหายรอบข้าง ซางผิงที่อยู่ใกล้เคียงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แล้วเตือนอย่างเร่งรีบ “ในตอนนี้ นายน้อยกำลังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะและไม่สามารถออกมาได้กลางคัน ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อทำลายล้างมัน พวกเจ้าคงตระหนักได้แล้วสินะว่า สถานการณ์นั้นรุนแรงเพียงใด”
หัวใจของทุกคนรู้สึกถึงความหนาวเย็น ทำให้สีหน้าของพวกเขากลายเป็นจริงจังอย่างพร้อมเพรียงกัน
“มันมาแล้ว! เตรียมตัวปะทะซะ!” ซางเชวี่ยกล่าวออกมาทันที
…
“จงบอกข้ามาซะ ไอ้สารเลวซางคุนนั่นอยู่ที่ใด มิฉะนั้นข้าจะไม่ปรานีพวกเจ้าแน่!” ร่างที่ตั้งตรงเหมือนกระบี่ของเฉินซีพลันหยุดลง ขณะเปล่งกลิ่นอายอันดุร้ายและน่าเกรงขามออกมา จึงทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนกับเทพมารที่จุติลงมายังโลก จากนั้นเขาก็กวาดสายตาอันเยือกเย็นไปยังเหล่าศิษย์ตระกูลซางที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดสะท้อนไปทั่วบริเวณโดยรอบ
“ไอ้บัดซบ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ศิษย์ของตระกูลซางคนหนึ่งได้ระเบิดความโกรธเมื่อเห็นว่าเฉินซีนั้นหยิ่งผยองมาก เขาจึงพุ่งออกไปทางชายหนุ่มในขณะที่ถือหอกที่มีแสงสีเขียวเปล่งออกมา
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เงาหอกพาดผ่านท้องฟ้าในขณะที่ประกายสีเขียวปะทุขึ้น มันดูเหมือนกับดอกไม้สีเขียวขจีนับไม่ถ้วนที่บานสะพรั่งอย่างรุนแรงขณะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน พลังที่รุนแรง รวดเร็วและน่าสะพรึงกลัวของหอกได้แทงทะลุท้องฟ้าจนแหวกออก ทำให้เกิดคลื่นกระแทกและเสียงดังฟุ่บก้องออกมา
นี่คือผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สาม แม้เขาจะไม่ได้โดดเด่นมากนักในหมู่ศิษย์ของตระกูลซาง แต่พลังที่ระเบิดออกมานั้นค่อนข้างน่าทึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรัพยากรและกองกำลังของตระกูลซางนั้นลึกล้ำเพียงใด
ตู้ม!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวนี้ เฉินซีเพียงยกมือขึ้นและชกออกไป ส่งหมัดอันทรงพลังซึ่งแฝงไปด้วยพลังของภูเขา มหาสมุทร กระแสน้ำ พระอาทิตย์และพระจันทร์ถาโถมลงมาจากกลางอากาศ ราวกับฟ้าดินกำลังพังทลาย แม้แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็ยังร่วงหล่นลงมาพร้อมกัน
เพลงหมัดมหาทำลายล้าง… ทลายโกลาหล!
ชายหนุ่มได้บ่มเพาะวิชาหมัดนี้เป็นพิเศษจนถึงระดับที่เชี่ยวชาญอย่างถ่องแท้มาตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในทะเลบรรพกาล และเขาได้ใช้มันสังหารอสูรทะเลที่แข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน ในขณะนี้ พลังหมัดของเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อเขาใช้มันออกไป จากนั้นมันก็ทำลายเงาหอกเหล่านั้นโดยตรง
ฟู่!
ศิษย์ของตระกูลซางที่พุ่งเข้าใส่เฉินซีถูกบดขยี้ด้วยพลังหมัดอันน่าสะพรึงกลัวนี้ และไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนที่ร่างของคนคนนั้นจะถูกบดขยี้จนกลายเป็นสายฝนสีแดงที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
ดวงตาของเหล่าศิษย์ตระกูลซางหดตัวเมื่อเห็นภาพนี้และพวกเขาตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ
“นี่มันสังหารสหายของเราด้วยกระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ?”
“ก่อขบวนทัพซะ! เราจะจู่โจมพร้อมกัน!” ซางเชวี่ยตะโกนออกมาราวกับเสียงระเบิด
ในช่วงเวลาต่อมา ศิษย์ของตระกูลซางทั้งสี่สิบคนก็แยกย้ายออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ปราณแท้ของพวกเขาส่งเสียงดังกึกก้องขณะที่วงล้อศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายบนท้องฟ้า และพวกเขาก็ก่อตัวเป็นขบวนทัพขนาดใหญ่ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่เฉินซี
ในทางกลับกัน ซางเชวี่ยกับซางผิงกลับล่าถอยห่างออกไป เพื่อควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
จากมุมมองของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาได้ส่งเหล่าศิษย์ออกไปจำนวนมาก และคนทั้งหมดก็มีฐานการบ่มเพาะที่สูงกว่าอีกฝ่ายมากถึงหนึ่งขั้น อีกทั้งยังก่อตัวเป็นขบวนทัพขนาดใหญ่ ดังนั้นต่อให้เฉินซีจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด วันนี้อีกฝ่ายจะต้องตายอย่างแน่นอน!
ครืน!
ขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากเหล่าศิษย์ของตระกูลซาง ได้เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราว ขณะที่พวกมันพุ่งตรงไปข้างหน้าและสั่นสะเทือนท้องฟ้า ราวกับเป็นพระอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับและค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา ทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะในเมืองบรรพกาลตกตะลึง จากนั้นจึงมองดูอย่างต่อเนื่อง
“ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวนัก ผู้ใดกำลังต่อสู้อยู่ตรงนั้นกันแน่?”
“ดูนั่นสิ! การต่อสู้เกิดขึ้นในตระกูลซาง หรือว่ากองกำลังชั้นนำกำลังเริ่มต่อสู้กันเองแล้ว?”
“ช้าก่อน การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลยังไม่เริ่มขึ้น ไม่มีใครโง่พอที่จะเริ่มการต่อสู้ในตอนนี้! มันน่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อล้างแค้น”
“ไปดูกันเถอะ! มิฉะนั้นเราจะไม่มีวันได้รู้ ถ้าหากไม่รีบมุ่งหน้าไป”
เมืองบรรพกาลในขณะนี้กำลังตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าผู้บ่มเพาะต่างมุ่งหน้าไปอย่างพร้อมเพรียงกัน การต่อสู้ได้เกิดขึ้นในตำหนักของตระกูลซาง และมันก็เป็นฉากที่ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ในเวลาไม่นาน พวกเขาสังเกตเห็นว่าไม่ใช่กองกำลังที่ต่อสู้กับตระกูลซาง แต่เป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น!
คนส่วนใหญ่ตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ การต่อสู้กับกองกำลังของตระกูลอันทรงเกียรติเพียงลำพังเช่นนี้ จะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ?
“โอ้สวรรค์! เป็นเฉินซีอีกแล้ว!”
“อะไรนะ? เป็นเขาอีกแล้วหรือ? คนผู้นี้ได้อันดับที่หนึ่งบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามทันทีหลังจากเข้าเมืองในวันนี้ อีกทั้งยังเข่นฆ่าคนจากราชวงศ์ระดับสูงทั้งสี่แห่งแล้วเข้าควบคุมอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือ และตอนนี้เขายังมาต่อสู้กับตระกูลซางอีก นี่มันบ้าไปแล้ว… ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี!”
“ตัวตนที่ร้ายกาจเช่นนี้กลับปรากฏตัวขึ้นในราชวงศ์ซ่ง ข้าสงสัยว่ามันเป็นคำอวยพรหรือคำสาปกันแน่?”
เมื่อรู้ว่าบุคคลที่กำลังต่อสู้กับตระกูลซางนั้นคือเฉินซี ผู้บ่มเพาะที่รีบรุดมาจากทั่วทุกสารทิศก็ตกอยู่ในความปั่นป่วน และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
แต่ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็ถูกดึงดูดโดยการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป
…
ในขณะนี้ เฉินซีได้กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงกว่ายี่สิบสามจั้ง มีสามเศียรหกกร มีดวงตาแนวตั้งเปิดอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา ในขณะที่พายุสายฟ้าอันพร่างพรายและเจิดจ้านับไม่ถ้วนปกคลุมอยู่รอบตัว ซึ่งเมื่อมองจากระยะไกล ชายหนุ่มก็ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งสายฟ้าที่ปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว…แผ่กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างทั่วทั้งฟ้าดินออกไปไกล
ทุก ๆ หมัดที่เขาชกออกไปนั้นส่งเสียงดังก้องดั่งฟ้าร้อง ในขณะที่พายุสายฟ้าก็โหมกระหน่ำใส่ฟ้าดินอย่างดุเดือด ทำให้ทุกหนทุกแห่งที่มันผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นกระบวนยุทธ์ สมบัติวิเศษ และพลังอิทธิฤทธิ์ใดก็ตาม ล้วนถูกบดขยี้และกลืนกินจนหายไปตรงหน้าเขาทันที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังศักดิ์สิทธิ์อันร้ายกาจที่ไม่มีใครเทียบได้
รูปร่างของชายหนุ่มสูงตระหง่านดุจขุนเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อความเร็วของเขาแต่อย่างใด ภายใต้การประสานของปีกนภาดารกะ ร่างของเฉินซีดุจพายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำใส่ทุกสิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง และอาละวาดอย่างรวดเร็วดั่งภูตผีที่เคลื่อนตัวผ่าน
เนื่องจากเขามีเนตรเทวะแห่งความจริง ชายหนุ่มจึงสามารถมองข้อบกพร่องต่าง ๆ ของศัตรูออกในทันที ก่อนที่จะทำการโจมตี ดังนั้น แม้ว่าขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นโดยเหล่าศิษย์ของตระกูลซางจะน่าสะพรึงกลัว แต่นานไปก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้ อีกทั้งยังถูกพายุสายฟ้าโหมเข้าใส่จนสั่นสะท้านและแทบจะพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ
เพราะนี่คือขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติกว่าสี่สิบคน และทุกคนล้วนมีฐานการบ่มเพาะที่สูงกว่าเฉินซีหนึ่งขั้น ทว่าพวกเขาในขณะนี้แทบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของชายหนุ่มได้เลย ดังนั้นจะไม่ทำให้ทุกคนตกใจได้อย่างไร?
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นที่สามารถสะท้านฟ้าดินได้บังเกิดขึ้น
ในขณะที่แสงพร่างพรายได้ระเบิดออกมาจากสนามรบและกวาดไปยังบริเวณโดยรอบ มันก็ทำให้ตำหนัก ก้อนหิน และพืชพรรณ …ล้วนถูกบดขยี้และสลายหายไปทันที เช่นเดียวกับบนพื้นที่ก็เกิดรอยแตกขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนเหมือนใยแมงมุม ทำให้หมอกฝุ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศและบดบังสายตาของทุกคน
ในช่วงเวลาต่อมา เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องออกมาจากหมอกฝุ่น และร่างนับสิบก็กระเด็นออกมาพร้อมกับกระอักเลือดเต็มปาก พวกเขามีสภาพที่ดูไม่ได้อย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฉากนั้นงดงามมาก ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติถูกบดขยี้ลงกับพื้นทีละคนและส่งเสียงร้องโหยหวนติดต่อกันออกมา ทำให้หัวใจของผู้เฝ้าดูอยู่ห่างไกลออกไปนั้นสั่นไหวอย่างมากและทำให้ขากรรไกรของพวกเขาอ้าออกอย่างไม่อาจควบคุม
“บอกข้ามาซะ ไอ้สารเลวซางคุนนั่นอยู่ที่ใด!” ภายในหมอกฝุ่นที่ปกคลุมท้องฟ้า เฉินซีผู้สูงดุจขุนเขาได้ปรากฏตัวขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของทุกคน สายตาของชายหนุ่มเย็นชา น้ำเสียงของเขาไม่แยแส และตัวคนก็พุ่งตรงไปยังศิษย์ของตระกูลซางที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสขณะกล่าวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ประกายแห่งความรู้สึกอันตรายได้พุ่งเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่ม ทำให้เฉินซีต้องหยุดการเคลื่อนไหวทันที จากนั้นจึงมองไปยังระยะไกลอย่างรวดเร็ว